ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาการเติบโตทางเศรษฐกิจของบ้านเราค่อนข้างจะหยุดนิ่งเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนหนึ่งก็มาจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ อีกส่วนก็เป็นผลพวงมาจากปัญหาของเศรษฐกิจโลก แต่จุดหนึ่งที่เราปฎิเสธไม่ได้ก็คือมาจากการเปลี่ยนแปลงของโลกโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่หลายภาคส่วนของบ้านเราตามไม่ทัน การเปลี่ยนแปลงทำให้บริบทของการทำงานเปลี่ยนไป การเกิดธุรกิจใหม่ และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน จึงไม่แปลกใจที่เราเห็นตัวเลขของรายได้ในภาคการผลิตเมื่อเทียบกับรายได้ของประชากรต่อหัวในหลายๆประเทศสูงกว่าเรามาก
เรายังเน้นภาคการผลิตที่เป็นแรงงานคน เน้นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ปรับค่าแรงเป็น 300 บาท (หรือที่กำลังจะขอเป็น 350 บาท/วัน) หรือเงินเดือนขั้นต่ำเป็น 15,000 บาท แต่สิ่งที่เราไม่พยายามเน้นเลยคือการสร้างผลผลิตต่อหัวให้สูงขึ้น นำเทคโนโลยีมาใช้งาน มาสร้างนวัตกรรมใหม่ ผมเชื่อว่าถ้าเรามีผลผลิตต่อหัวที่ค่อนข้างสูงอย่าง Singapore เราก็คงไม่ต้องมาห่วงหรอกครับว่าเงินเดือนขั้นต่ำจะเป็นอย่างไร เพราะสูงแค่ไหนก็จ่ายได้ถ้ามีรายได้เข้าบริษัทมากขึ้น
ปัญหาอันหนึ่งที่น่าเป็นห่วงที่อาจทำให้ภาคการผลิตเราจะแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านลำบาก และยากที่จะเห็นตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเหมือนเดิม คือความไม่พร้อมของ SME ในการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจใหม่ของโลกที่กำลังกลายเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) แม้รัฐบาลชุดนี้จะมีนโยบายที่ดีในการเตรียมพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและประกาศให้เรื่อง Digital Economy แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ SME ส่วนใหญ่ในบ้านเรายังคิดแบบอนาล็อก (Analog) ยังใช้วิธีการเดิมๆในการทำธุรกิจ ยังขาดความมั่นใจในการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล ข้อสำคัญยังรีรอนโยบายจากภาครัฐ ทั้งๆที่โดยแท้จริงแล้วต่อให้รัฐบาลไม่ประกาศนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล โลกมันก็เปลี่ยนเป็นดิจิทัลอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ปรับตามเราก็จะแข่งขันในตลาดโลกไม่ได้
ดังนั้นถึงเวลาที่ SME จะต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล โดยมีข้อคิดที่สำคัญดังนี้
1) ผู้ประกอบการ SME ต้องติดตามข่าวสารการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยอาจต้องเข้าใจและเรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆที่สำคัญ อาทิเช่น Cloud Computing, Mobile Internet, Social Networks, Big Data หรือ Internet of Things ศึกษาการเข้ามาของเทคโนโลยีเหล่านี้ว่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร เราเห็นนวัตกรรมธุรกิจใหม่ๆที่เข้ามาในบ้านเรามากมายอาทิเช่น Grab Taxi, OokBee หรือ Hollywood HD ที่อาจสร้างผลกระทบต่อธุรกิจอย่าง Taxi, ร้านหนังสือ, ร้าน DVD, โรงหนัง หรือร้านถ่ายรูป การศึกษาเทคโนโลยีและผลกระทบจะทำให้เราเข้าใจและเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนอาจเป็นการเห็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรมธุรกิจใหม่
2) ผู้ประกอบการ SME จะต้องมี Digital Mindset หลายๆคนยังขาดจุดนี้ ส่วนหนึ่งเพราะยังไม่เชื่อในการเปลี่ยนแปลง ยังคิดแบบเดิมๆ บางคนไม่เชื่อเรื่อง Digital Banking บางคนก็ไม่มั่นใจในการซื้อของผ่านตลาด E-Commerce ทั้งๆที่ตลาดทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป ผู้ประกอบการหลายคนอาจมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่าง Smartphone หรือ Tablet แต่ยังเน้นเพื่อความบันเทิงมากกว่า เพื่อการทำงานหรือธุรกิจที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งก็อาจยังไม่ทราบว่าจะใช้ด้านธุรกิจอย่างไร บางส่วนอาจเพราะขาดความมั่นใจ ดังนั้นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องตระหนักไว้เสมอคือโลกในอนาคตคือโลกของดิจิทัล ถ้าเรายังไม่มี Digital Mindset เราก็จะตกขบวนและธุรกิจเราจะแข่งขันไม่ได้
3) ผู้ประกอบการ SME จะต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การใช้เทคโนโลยีไอทีจะช่วยทำให้ธุรกิจ ลดค่าใช้ ประหยัดเวลา และทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิเช่นการใช้โปรแกรม CRM ในการบริหารข้อมูลลูกค้า โปรแกรมบัญชี โปรแกรมคลังสินค้า โปรแกรมสำนักงาน Office Suite โปรแกรมการเก็บเอกสารบน Cloud หรือโปรแกรมในการติดต่อสื่อสารเช่น Skype ทั้งนี้ผู้ประกอบการต้องกล้าที่จะใช้งาน และยอมที่จะเสียค่าใช้จ่ายซึ่งการเข้ามาของซอฟต์แวร์ที่อยู่บน Cloud ทำให้ค่าใช้จ่ายของซอฟต์แวร์ถูกลงไปมาก ผู้ประกอบการต้องมองว่าค่าใช้จ่ายไอทีต่อเดือนก็เป็นต้นทุนเหมือนค่าสาธาราณูปโภคอื่นๆ นอกจากนี้ผู้ประกอบการก็ต้องมีความเข้าใจเรื่องความปลอดภัยของการใช้เทคโนโลยีไอทีด้วย
4) ผู้ประกอบการ SME ต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกัลเทคโนโลยีดิจิทัล โดยการทำงานอาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และลูกค้า หรือคู่ค้าเราจะมาจากที่ไหนก็ได้ คู่แข่งเราก็จะมีอยู่ได้ทุกที่ เราต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน หาลูกค้าใหม่ๆ สร้างนวัตกรรมใหม่ เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้การทำงานเน้นแบ่งบันมากขึ้น พลังของการแบ่งปัน (Power of Sharing) จะเป็นโอกาสต่อธุรกิจของเรา
5) ผู้ประกอบการ SME ต้องเน้นการทำธุรกรรมออนไลน์มากขึ้น ทั้งนี้ผู้ประกอบการต้องตระหนักเสมอว่าลูกค้าเราในอนาคตมาได้จากทุกที เราจึงต้องใช้ช่องทางออนไลน์ช่วยในการประกอบธุรกิจของเรา ไม่ว่าจะเป็นการทำ E-Commerce และอาจรวมไปถึงการทำ M-Commerce นอกจากนี้อาจจำเป็นต้องทำช่องทางการชำระเงินออนไลน์ (Online Payment)
6) ผู้ประกอบการ SME ต้องทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น ซึ่งเราคงต้องพูดถึงตั้งแต่การทำเว็บไซต์ การใช้ Social Media Marketing ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook หรือ Instagram หรือแม้แต่การทำประชาสัมพันธ์ผ่าน EDM (Electronic Direct Mails)
7) ผู้ประกอบการ SME ต้องเน้นการใช้ Mobile Internet ซึ่งหมายถึงการใช้อุปกรณ์ไอทีต่างๆอาทิเช่น Notebook, Smartphone หรือ Tablet รวมไปถึงการใช้ Application ทีอยู่บน Cloud ซึ่งจะทำงานข้อมูลถูก Sync ไปทุกที่ ทุกอุปกรณ์ และทำให้สามารถทำงานแบบ Mobility ได้
ธนชาติ นุ่มนนท์
IMC Institute
Reblogged this on KRADARD.