สมัยผมเป็นเด็กยุคที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตการรับข้อมูลข่าวสาร ยังมีช่องทางในวงจำกัด สื่อมีเพียงไม่กี่ประเภท เช่น หนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ โดยไม่สามารถเลือกได้ตามชอบใจ แต่สิ่งสำคัญ คือ ข่าวต่างๆ จะถูกกลั่นกรองมาจากคนทำหน้าที่สื่อมวลชน มีจรรยาบรรณและมีความรับผิดชอบในวิชาชีพ บางครั้งเมื่อการลงข่าวผิดพลาดแม้แต่พิมพ์ชื่อคนผิดเราก็อาจเห็นการตีพิมพ์ข้อความขออภัย หรือหากเป็นความผิดพลาดอย่างรุนแรงก็อาจเห็นนักข่าวถูกปลดออกหรือถูกทำโทษ
ข้อมูลที่เผยแพร่ในวงจำกัด ต้องอ่านในหนังสือ ต้องเข้าห้องสมุดไปค้น และบางครั้งก็อาจไม่สามารถหาข้อมูลได้หากไม่มีหนังสือหรือเอกสารใดๆ ที่ตีพิมพ์ออกมา แม้ข้อมูลจะมีจำกัดแต่หนังสือเหล่านั้นส่วนใหญ่มีคุณภาพ มีกองบรรณาธิการทำหน้าที่กลั่นกรองข้อมูล มีสำนักพิมพ์รับผิดชอบในการตีพิมพ์ เราจึงมักได้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ต่างจากปัจจุบันที่เข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ต เราบอกว่าถ้าไม่รู้อะไรก็แค่กดถามอากู๋ (Google) เพียงเท่านั้นข้อมูลข่าวสารก็จะหลั่งไหลเข้ามามหาศาล เราอยู่ในยุคที่ข้อมูลล้นทะลัก มีให้เลือกอ่าน เลือกดู เลือกฟัง ได้มากมาย ใครๆ ก็สามารถสร้างข้อมูลในโลกอินเตอร์เน็ตได้ ยุคแรกๆ ก็อาจเป็นแค่การสร้างเว็บไซต์ หรือเขียนบล็อกต่างๆ แต่ในปัจจุบันเป็นโลกของโซเชียลมีเดียยุคของ เฟซบุ๊ค, อินสตาแกรม, ทวิตเตอร์ และยูทูบ ใครๆ ต่างก็มีช่องทางสื่อสารของตัวเอง จนทุกคนสามารถที่จะเป็นผู้สื่อข่าวหรือนักเขียนเองได้
ถ้าคนทุกคนมีความคิดดี มีความเป็นนักวิชาการ มีความเป็นสื่อมวลชนที่ดี เนื้อหาและข่าวสารที่ถูกสร้างขึ้นย่อมมีความถูกต้องแม่นยำ และมีประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่ในโลกความเป็นจริงแล้ว แต่ละวิชาชีพจำเป็นต้องมีการเรียนรู้ ต้องมีจรรยาบรรณ และต้องมีความรับผิดชอบ การสื่อสารและสร้างข่าวผิดพลาด แม้แต่เนื้อหาวิชาการที่ผิดพลาด หากทำขึ้นมาโดยขาดความรู้ที่ถูกต้องก็จะทำให้สังคมเข้าใจผิด และสุดท้ายก็อาจเกิดความเสียหายในสังคม
ยิ่งการที่มีคนบางกลุ่มพยายามสร้างข่าวลวง ซึ่งอาจเป็นเพราะความสนุก คึกคะนอง ความเกลียดชัง หรือหวังผลทางการเมือง ก็ยิ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้น ทุกวันนี้เราเห็นข่าวสารต่างๆ ถูกแชร์ออกมามากมายผ่านทางโซเชียลมีเดียล บ้างก็เป็นภาพที่บรรจงแต่งขึ้นมา บ้างก็เป็นข้อความ และเนื้อหาแนะนำเรื่องราวต่างๆ มากมายไปจนถึงทางด้านการแพทย์ ซึ่งส่วนมากไม่มีการระบุแหล่งที่มา หรืออ้างแหล่งที่ผิดๆ จนหลายคนไม่รู้ว่าข้อมูลเหล่านั้นถูกต้องหรือไม่
ยิ่งล่าสุดในสถานการณ์ของการระบาดไข้หวัดโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 เราจะเห็นข้อความถูกแชร์มาสารพัด บ้างก็ให้ความรู้ที่ไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือไม่ บ้างก็สร้างข่าวให้เกิดความตื่นตระหนกจนเกินเหตุ บ้างก็เจตนาหวังผลทางการเมือง จนรัฐบาลในหลายๆ ประเทศเริ่มมีความกังวลต่อการสร้างข่าวลวงเหล่านี้
เราอยู่ในสังคมของการ Click, Like และ Share ผู้คนจำนวนมากเลือกคลิกข้อมูลต่างๆ ขึ้นมาอ่านอย่างผิวเผิน มีการกด Like ด้วยความชื่นชม และบางครั้งก็ส่งข้อมูลที่อ่านคร่าวๆ เหล่านั้นแชร์ให้กระจายออกไป ในโลกออนไลน์การสร้างเนื้อหาต่างๆ เป็นเรื่องง่าย แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ผู้คนที่จะใช้โลกออนไลน์ได้มีประโยชน์ต้องมีภูมิคุ้มกันในการรับข้อมูลข่าวสารที่ดี และเลือกรับให้เป็น ถ้าสังคมมีความอ่อนแอขาดภุมิคุ้มกัน การมีข้อมูลมหาศาลจะกลายเป็นผลร้ายต่อสังคม ผู้คนเลือกบริโภคข้อมูลผิดๆ เกิดความผิดพลาด บางครั้งอาจทำให้ความเข้าใจองค์ความรู้บางอย่างผิดเพี้ยนไป
ดังนั้นหนึ่งในทักษะเชิงดิจิทัลที่ผู้คนควรมี คือทักษะด้านความสามารถการค้นหาและใช้ข้อมูล ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การค้นข้อมูลจาก กูเกิล หรือ เสิร์ช เอ็นจิ้น ต่างๆ เท่านั้น แต่ควรจะรวมไปถึงความสามารถในการวิเคราะห์และตัดสินจากข้อมูลที่มีคุณภาพในโลกอินเทอร์เน็ต รวมถึงทักษะในการอ้างอิงข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ และเข้าใจถึงลิขสิทธิ์ของข้อมูลและการนำไปใช้
ยิ่งในโลกปัจจุบันที่มีข้อมูลอยู่มากมาย เราจะสอนผู้คนให้ทราบได้อย่างไรว่า ข้อมูลใดถูกต้อง ดังนั้นทักษะเหล่านี้จะต้องถูกปูพื้นฐานตั้งแต่เด็กให้เข้าใจในเชิงเปรียบเทียบ วิเคราะห์แหล่งที่มาของข้อมูล หาแหล่งข้อมูลอ้างอิง การเรียนการสอนตั้งแต่ในระดับประถมศึกษาจึงจำเป็นต้องสอนให้เด็กสืบค้นข้อมูลออนไลน์อย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่สอนแค่ให้ค้นได้แล้วเอามาตัดปะมาส่ง แต่จะต้องฝึกเด็กให้คิดเชิงวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูลที่ถูกผิดได้ ซึ่งถ้าเราสามารถสอนคนให้รู้จักใช้ข้อมูลได้อย่างมีคุณภาพ ความกังวลเรื่องข่าวลวงต่างๆ ก็จะน้อยลงไป และสังคมออนไลน์ที่กด Click, Like และ Share ก็จะมีข้อมูลที่มีคุณภาพมากขึ้นด้วย
ธนชาติ นุ่มนนท์
IMC Institute
(บทความนี้ปรับปรุงจากคอลัมน์ประจำทุกวันศุกร์ที่ผมเขียนในกรุงเทพธุรกิจhttps://tinyurl.com/bkk-biznews)