ทุกๆปีทางบริษัท Rightscale จะออกรายงานผลการสำรวจสถานภาพการใช้ Cloud Computing ออกมา และสำหรับในปีนี้ทาง Rightscale ได้ออกรายงานเรื่อง RightScale 2017 STATE OF THE CLOUD REPORT เมื่อต้นเดือนมกราคมปีนี้ โดยเป็นการเปิดเผยข้อมูลการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 1,002 ตัวอย่างที่เป็นการสำรวจคนอาชีพไอทีในองค์กรต่างๆทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศในกลุ่ม APAC ที่มีจำนวน 14% จากกลุ่มตัวอย่าง ผลการสำรวจมีประเด็นที่น่าสนใจที่องค์กรต่างๆในบ้านเราควรนำมาพิจารณาปรับนโยบายในด้าน Cloud Computing ดังนี้
1) ควรกำหนด Cloud First Policy
ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าองค์กรส่วนใหญ่เกือบ 95% มีการใช้ Cloud อยู่โดยที่ 89% มีการใช้ Public Cloud, 72% ใช้ Private Cloud และ 67% ใช้ Hybrid Cloud โดยในจำนวนนี้ ที่ใช้ Public Cloud เพียงอย่างเดียวมีแค่ 22% หรือที่ใช้เฉพาะ Private Cloud มี 5% ซึ่งจะเห็นได้ว่าองค์กรมุ่งเน้นพัฒนาไอทีเป็นระบบ Cloud ด้วยเหตุผลต่างๆที่จะกล่าวต่อไป และแนวโน้มก็จะเป็น Hybrid Cloud ซึ่งจากข้อมูลจะเห็นว่าตัวเลขการใช้งาน และติดตั้ง Private Cloud มีสัดส่วนลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สุดท้ายเราจะเห็นได้ว่า IT Workload ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้ระบบ Cloud โดยมีเพียง 21% ที่เป็น Non-Cloud ดังนั้นองค์กรต่างๆควรกำหนดให้การใช้ไอทีขององค์กรมุ่งสู่ระบบ Cloud โดยจำเป็นต้องมีการพัฒนาทั้ง Private Cloud และใช้ Public Cloud
2) ต้องสนับสนุนการใช้ระบบ Cloud มากกว่าหนึ่งแพลตฟอร์ม
ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานมากกว่า 1,000 คน จะมุ่งสู่การสร้างระบบ Cloud แบบหลากหลายแพลตฟอร์ม จะเห็นได้ว่ามีเพียงต่ำกว่า 15% ที่ตอบว่าใช้ Cloud แบบแพลตฟอร์มเดียวที่อาจเป็น Single Private Cloud หรือ Single Public Cloud โดยส่วนมากจะเป็นการใช้ Hybrid Cloud หลากหลายแพลตฟอร์ม และก็มีการใช้ Public Cloud หลายราย ดังนั้นองค์กรต่างๆก็ควรจะมีนโยบายกำหนดให้มีการใช้ระบบ Cloud มากกว่าหนึ่งแพลตฟอร์ม
3) ต้องส่งเสริมให้ผู้ให้บริการ Cloud ในประเทศให้บริการที่มากกว่าการบริการ Virtual Server
ผลการสำรวจในแง่ของการใช้บริการ Public Cloud พบว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการแค่ใช้ Virtual Server ที่เป็น Linux หรือ Windows แต่จุดประสงค์การใช้งานมุ่งไปที่ PaaS โดยความต้องการ Database as a Service (DBaaS) อย่าง RDS ของ AWS สูงเป็นอันดับหนึ่ง หรือก็มีการใช้บริการอย่าง Data warehouse, Hadoop as a Service แต่ขณะที่ผู้ให้บริการ Cloud ในบ้านเรายังให้บริการเพียงแค่ IaaS เช่น Virtual Server พื้นฐาน จึงไม่แปลกใจที่ผู้ใช้บริการจะมุ่งเน้นไปที่บริการของ Cloud Provider ในต่างประเทศที่มีบริการหลากหลายกว่า ดังนั้นเราควรส่งเสริมให้ผู้ให้บริการ Cloud ในบ้านเราทำการวิจัยและพัฒนาสร้างบริการ Cloud ต่างๆที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้นอาทิเช่น DBaaS, Container as a Service, IoT Services
4) ต้องเร่งส่งเสริมความเข้าใจเรื่องการใช้ Cloud
ข้อมูลการสำรวจแสดงให้เห็นประโยชน์หลักของ Cloud ไม่ใช่การลดค่าใช้จ่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ และเป็นความเข้าใจผิดมาตลอด แต่ประโยชน์หลักๆคือความคล่องตัวในการทำงาน การที่จะเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว การขยายระบบได้อย่างมาก และพัฒนาระบบได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันถ้าพิจารณาถึงความท้าท้ายของการใช้ Cloud จะพบว่าเรื่องระบบความปลอดภัยไม่ใช่ประเด็นหลักสำหรับกลุ่มที่มุ่งเน้นการใช้ Cloud (Cloud Focused group) แต่กลับเป็นเรื่องของการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย และเรื่องของ Complicance โดยความกังวลเรื่องความปลอดภัยก็จะเป็นเฉพาะกลุ่มผู้เรื่มต้นใช้งาน (Cloud Beginner Group) แต่ในบ้านเราจะคิดว่าการใช้ Cloud Computing จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายและจะกังวลเรื่องความปลอดภัยสูงเกินไป จึงจำเป็นที่เราต้องส่งเสริมในเรื่องความเข้าใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นเราจะก้าวตามเทคโนโลยีไม่ทัน
5) ต้องเร่งพัฒนาคนด้าน Cloud Computing
ความท้าทายหลักๆของเรือง Cloud Computing คือการขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งบทบาทของไอทีในอนาคตจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่ต้องมาคัดสรรการใช้ Public หรือ Private Cloud กลายเป็นคนที่ต้องมากำหนดนโยบายการใช้ เป็นผู้ต้องมาบริหารและจัดการค่าใช้จ่าย ตลอดจนเป็นผู้ที่ต้องมาพัฒนา Private Cloud นอกจากตำแหน่งงานด้านหนึ่งที่กำลังเข้ามาคือ Cloud Architect ประเทศเรายังขาดบุคลากรไอทีที่มีความเข้าใจ Cloud Computing อยู่มากและแทบจะไม่มี Cloud Architect อยู่เลยดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องให้สถาบันการศึกษาเร่งพัฒนาหลักสูตรทางด้านนี้ให้มากขึ้น และต้องอบรมคนไอทีในปัจจุบันให้มีความเข้าใจเรื่อง Cloud Computing มากขึ้น
6) ต้องชักจูงให้ Cloud Provider จากต่างประเทศมาลงทุนในบ้านเรา
ตลาด Public Cloud ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นของผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง Amazon Web Services, Microsoft Azure และ Google Cloud ทั้งนี้เนื่องจากเขามีบริการที่หลากหลายตรงความต้องการของผู้ใช้มากกว่าโดยไม่ได้เน้นแค่บริการ Virtual Server นอกจากนี้บริษัทเหล่านี้ยังมีราคาค่าบริการถูกกว่ารายอื่นๆมากเนื่องจากมี Economy of Scale และที่สำคัญบริษัทเหล่านี้มีการทำวิจัยและพัฒนาที่จะออก Cloud Services ด้านใหม่ๆได้หลากหลายทั้ง IoT Services, Machine Learning as a Service, Big Data ซึ่งเราอาจจำเป็นต้องเรียนรู้จากเขา และต้องสร้างนโยบายให้เอื้อต่อการที่บริษัทเหล่านี้มาลงทุนให้ประเทศไทยเป็น Cloud Computing Hub อย่างญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ รวมถึงมีการทำวิจัยและพัฒนาบริการต่างๆในประเทศเรา
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ก็คือข้อเสนอแนะที่อยากให้ทุกฝ่ายได้นำไปพิจารณาในการปรับนโยบายขององค์หร หรือของประเทศเพื่อเราจะสามารถแข่งขันได้ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
ธนชาติ นุ่มนนท์
IMC Institiute