การใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนทั้งเรื่องการทำงานและเรื่องส่วนตัวล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างข้อมูลใหม่ขึ้นมา ตั้งแต่เราตื่นนอนก็อาจมีเวลาที่เราตื่น การทานอาหารที่ใด ไปที่ไหน การทำงานก็มีข้อมูลตลอดว่าเราทำอะไร ส่งเอกสารหาใคร เขียนข้อความอะไร หน่วยงานทุกแห่งล้วนมีข้อมูลจำนวนมากจากการทำงาน การติดต่อลูกค้า และการทำธุรกรรมต่างๆแต่ในอดีตข้อมูลเหล่านี้ไม่ถูกบันทึกในรูปแบบของดิจิทัลทั้งหมดทั้งนี้เพราะมีข้อจำกัดในเรื่องเทคโนโลยี
การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่อย่าง Internet of Things หรืออุปกรณ์ต่างๆ ประกอบกับการเปลี่ยนของเทคโนโลยีในการเก็บข้อมูล ที่รูปแบบข้อมูลเปลี่ยนไป และราคาที่ถูกลง รวมถึงการที่คอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้เราสามารถบันทึกข้อมูลต่างๆในการทำงาน การใช้ชีวิตประจำ ลงไปได้มากขึ้น และเก็บรวบรวมเป็นข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่แตกต่างจากการเก็บข้อมูลเพียงแค่ในฐานข้อมูลแบบเดิมที่เป็น Database หรือ Datawarehouse ในอดีตที่จะต้องเลือกเก็บข้อมูลบางอย่าง ไม่ใช่ Big Data ที่ควรจะเป็น
เมื่อหน่วยงานมี Big Data ที่สามารถรวบรวมข้อมูลจำนวนมากลงมาในรูปแบบของ Data Lake ก็เกิดความท้าทายขึ้นมาว่า แล้วเราจะนำข้อมูลเรานั้นมาวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์อย่างไร กล่าวคือการทำ Big Data Analytics หลายๆหน่วยงานเข้าใจแต่เพียงว่าคือการนำมาสร้างรายงานให้เห็นข้อมูลต่างๆในรูปแบบของ Business Intelligence และไปเข้าใจว่าการทำ Digital Transformation ของหน่วยงานคือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ แล้วนำรายงานที่ได้จาก Big Data มาใช้ประโยชน์
จริงๆทุกวันนี้เราพูดถึงคำว่า Digital Disruption เราพูดคำว่า Industry 4.0 แล้วก็บอกว่า Robot หรือ Artificial Intelligent / Machine Learning กำลังเข้ามา เราเห็นธุรกิจหลายอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไป แต่เราไปคิดว่ามันก็คือแค่การใช้ดิจิทัล การหาซอฟต์แวร์เข้ามาใช้งาน หลายหน่วยงานก็พยายามจะปรับหน่วยงานไอทีในองค์กร หานักพัฒนาซอฟต์แวร์ ลงทุนฮาร์ดแวร์เพิ่มด้วยความเข้าใจว่า เราต้องทำ Digital Transformation หรือพยายามเต้นตามกระแส Industria; 4.0/ Thailand 4.0 อย่างไม่เข้าใจ
แต่จริงๆแล้วธุรกิจหลายๆอย่างที่กำลังทำให้เกิด Digital Disruption อย่าง Amazon.com, Alibaba, Uber, AirBnb, eBay หรือ Facebook ล้วนแต่เกิดการจากการนำ Big Data องค์กรที่ได้จากการบันทึกข้อมูลจากการทำงานมาใช้เช่นข้อมูลการทำธุรกรรมของลูกค้าในการทำธุรกรรมมาวิเคราะห์ หน่วยงานเหล่านี้ต่างมีทีมงาน Data Scientist จำนวนมาก มีแผนก Data Science ที่คอยคิดวิเคราะห์ว่าจะนำ Big Data มาเปลี่ยนแปลงธุรกิจได้อย่างไร จะนำมาสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ๆได้อย่างไร และก็มีผลทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทำให้รุกคืบเข้าไปเปลี่ยนธุรกิจต่างๆ ทำให้ธุรกิจที่ไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูลแข่งขันไม่ได้
ดังนั้นการรู้จักนำ Big Data มาใช้ในองค์กร ที่สำคัญคือการรู้จักใช้หลักการของ Data Science มาเพื่อทำการคาดการณ์ธุรกิจ ซึ่งนอกเหนือจากจะทำให้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว ที่สำคัญคือ Big Data อาจทำให้เกิด Digital Disruption อาจทำให้เห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆที่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ โดยใช้หลักการของ Machine Learning หรือการนำข้อมูลมาใช้โดยทีมงาน Data Scientist แล้วอาจทำให้โอกาสใหม่ๆดังเช่นบริษัทที่กล่าวข้างต้น และก็จะทำให้หน่วยงานสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้
แต่ Big Data ไม่ใช่แค่เรื่องของ Business Intelligence ไม่ใช่งานแบบเดิมๆของหน่วยงานอย่าง Datawarehouse ไม่ใช่แค่ใช้ทักษะของนักพัฒนาโปรแกรม หรือคนดูแลฐานข้อมูล แต่เป็นงานของคุนกลุ่มใหม่ที่องค์กรจะต้องกล้าและต้องสร้างทีมใหม่ขึ้นมา ข้อสำคัญBig Data ไม่ใช่ Quick win ไม่ใช่โปรเจ็คระยะสั้น แต่มันคือการลงทุนเพื่ออนาคต ลงทุนคน ลงทุนเทคโนโลยีใหม่ แล้วต้องหวังผลระยะยาว มันคือคำถามที่ว่าผู้บริหารระดับสูงจะกล้าเสี่ยงไหม เพื่อเห็น Digital Disruption ขององค์กร
วันนี้ผมขอเริ่มต้นแค่นี้ก่อน แล้วจะมาต่อเป็นประเด็นต่างๆทีควรทำในครั้งหน้า
ธนชาติ นุ่มนนท์
IMC Institute
เมษายน 2560