กลยุทธ์ Big Data สำหรับประเทศไทย

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา IMC Institute จัดแถลงข่าวเรื่อง Big Data Trends โดยผมได้ชี้ให้เห็นว่าในช่วง 2-3 ปีนี้เราจะเห็นถึง Mega-Trends ทางด้านไอทีอยู่  3 อย่างคือ

Screenshot 2015-01-25 16.04.17

รูปที่ 1  IT Mega Trends 2015

  • Internet of Things  อุปกรณ์ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะไม่จำกัดอยู่แค่ เครื่องพีซี Smartphone หรือ  Tablet แต่จะรวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆตั้งแต่นาฬิกา, wearable technology, เครื่องใช้ไฟฟ้า และสิ่งของต่างๆ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะมีอุปกรณ์เหล่านี้ถึง 50,000 ล้านชิ้นในปี 2020
  • Cloud Computing ระบบการประมวลผลจะขึ้นบนอินเตอร์เน็ตมาจากที่ใดก็ได้ และข้อมูลจะตามเราไปทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์
  • Big Data เมื่อมีอุปกรณ์ต่ออินเตอร์เน็ตมากขึ้น ข้อมูลก็จะมากขึ้น จะมีหลายรูปแบบ และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการคาดการณ์ว่าจะมีข้อมูลมากถึง 35 ZByte ในปี 2025 ดังนั้นต่อไปใครที่สามารถนำข้อมูลมหาศาลเหล่านี้มาวิเคราะห์ได้ก็จะได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

กระแสเรื่อง Big Data เป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ Big Data ไม่ใช่แค่เรื่องของไอที ไม่ใช่แค่มองเรื่องของการเก็บข้อมูล แต่เป็นเรื่องของทางด้านธุรกิจและผู้ใช้ที่จะมองวิธีการในการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และคาดการณ์ต่างๆเพื่อให้ได้ประโยชน์ จึงไม่แปลกใจที่เห็นบริษัท E-Commerce รายใหญ่ๆในโลกสามารถวิเคราะห์ข้อมูลคาดการณ์นำเสนอขายสินค้าให้กับลูกค้าได้ ธนาคารบางแห่งสามารถใช้ Big Data มาช่วยในการวิเคราะห์เครดิตของลูกค้าที่จะขอสินเชื่อ หรือแม้แต่บริษัทผู้ให้บริการมือถือก็สามารถใช้ Big Data มาช่วยในการแบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation)

IDC ได้คาดการณ์มูลค่าตลาดของ Big Data ในปี 2014  ว่าสูงถึง 16.1  พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์ตลาดของ Big Data ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกโดยไม่รวมประเทศญี่ปุ่นในปีนี้ไว้ที่  1.61  พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งโตกว่าปีที่แล้วถึง 34.7% นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์จากบริษัทวิจัยอย่าง Researchbeam ระบุว่ามูลค่าตลาดของ Hadoop หนึ่งในเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำ Big Data จะโตจาก 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2012 เป็น 50.2 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020

แต่ปัญหาที่หน่วยงานต่างๆจะเจอในเรื่องของ Big Data คือการขาดบุคลากรและขาดข้อมูล Gartner เองระบุว่าในปีนี้จะมีตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ Big Data ทั่วโลกถึง 4.4 ล้านตำแหน่ง แต่คงสามารถที่จะหาคนเข้าทำงานได้เพียง 1 ใน 3 ของตำแหน่งงาน และทาง IDC ก็ระบุถึงตำแหน่งงานทางด้าน Analytics ในสหรัฐอเมริกาว่าจะมีถึงสองแสนตำแหน่งในปี  2018 นอกจากนี้ยังพบว่าในปัจจุบันองค์กรใหญ่ๆเกือบ 70% ต้องซื้อข้อมูลจากภายนอกมาวิเคราะห์และคาดว่าในปี 2019 ทุกองค์กรใหญ่ๆคงต้องซื้อข้อมูล

เรื่อง Big Data ก็เป็นเรื่องที่ประเทศใน  ASEAN ให้ความสำคัญ รัฐบาลสิงคโปร์ตั้งเป้าตั้งแต่ปลายปี  2013 ว่าจะเป็นฮับทางด้านนี้โดยเฉพาะการทำ Big Data Analytics โดยมีการตั้ง Big Data Innovation Center  ส่วนทางนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย Najib Razak  ก็ได้ประกาศนโยบาย Big Data Analytics (BDA)ในปลายปี 2014  โดยวางแผนการทำ Pilot Project ในปีนี้ 4 เรื่อง และวางแผนระยะยาว 7 ปีดังรูป

Screenshot 2015-01-25 17.45.00

รูปที่  2  แผนด้าน Big Data Analytics ของประเทศมาเลเซียเริ่มต้นปี  2014

สำหรับประเทศไทยผมคิดว่าเราคงต้องมีนโยบายอยู่สามด้านตามรูปที่ 3 (ต้องขอขอบคุณ  PostToday  ทีวาดภาพกราฟฟิกนี้สรุปให้)

  1. ภาครัฐและเอกชน
    • Big Data ยังเป็นตลาดใหม่มีการแข่งขันไม่สูงนัก (Blue Ocean) ทุกองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนต้องรีบวางกลยุทธ์เรื่องนี้โดยเร็ว มิฉะนั้นแล้วเราจะเสียเปรียบคู่แข่งเชิงธุรกิจ
    • Big Data จะช่วยสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจให้กับคู่แข่งในภูมิภาค ต้องเอาเรื่องนี้เดินควบคู่กับนโยบาย Digital Economy
    • เรื่องข้อมูลจะเป็นเรื่องจำเป็น จึงต้องเร่งส่งเสริมให้มีการทำ Open Data เพื่อให้เกิดการต่อ ยอดนำข้อมูลไปใช้งาน
  2. เทคโนโลยี
    • เทคโนโลยีด้านนี้จะมีการลงทุนที่ค่อนข้างสูง ภาครัฐเองควรจะส่งเสริมให้มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้าน Hardware/Software
    • การตั้ง Cloud Platform สำหรับ Big Data Technology เช่น  Hadoop as a Service เป็นเรื่องจำเป็น ภาครัฐอาจต้องหาหน่วยงานเช่น สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (สรอ.) มาช่วยดำเนินงาน  หน่วยงานในภาครัฐหรือบริษัทขนาดกลางและเล็กจะได้สามารถใช้งานได้โดยมีค่าบริการที่ถูกลง
  3. การพัฒนาบุคลากร
    • ต้องเร่งพัฒนาบุคลากรทางด้านนี้ โดยเฉพาะผู้ที่จะมีความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูล
    • ระยะเริ่มต้นอาจต้องนำผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาทำ Pilot Project  ในลักษณะ On the job training

Screenshot 2015-01-25 17.51.09รูปที่  3  ข้อเสนอแนะกลยุทธ์ Big Data สำหรับประเทศไทย

Big Data คือเรื่องใหม่และไม่ใช่เรื่องแค่ไอที ตอน Cloud Computing เข้ามาประเทศเราก็ช้าไปและตกขบวนไปแล้ว แม้ Cloud กลายเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน แต่ทุกวันนี้ยังมีอุตสาหกรรมไอทีหรือซอฟต์แวร์ไทยจำนวนมากยังไม่เข้าใจเรื่อง Cloud ดีพอ ถ้าเราช้าไปเรื่อง Big Data งวดนี้จะไม่ใช่แค่ตกขบวนไอทีแต่เผลอๆจะตกขบวนทางธุรกิจแข่งกับเขาในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนไปไม่ได้

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

มกราคม 2558

การเรียนการสอนด้านคอมพิวเตอร์ของสถาบันอุดมศึกษาต้องเปลี่ยนแปลง

Screenshot 2015-01-13 07.45.22

ผมเคยสอนหนังสือสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มาสิบกว่าปี และเคยมีส่วนร่วมในการพิจารณาหลักสูตรทั้งทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ หลายๆมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ก็จะพบว่าหลักสูตรยังคล้ายๆกันและเหมือนเดิม โดยไม่ได้แตกต่างกับที่ผมเคยสอนเมื่อสิบกว่าปีก่อนมากนัก หลายๆครั้งก็มักจะได้ยินอาจารย์บอกว่าสถาบันการศึกษามีหน้าที่สอนพื้นฐานความรู้ให้กับนักศึกษา แต่ถ้าเป็นเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆที่อาจผูกติดกับ Vendor ก็ต้องไปเรียนรู้เมื่อเข้าไปทำงาน บ่อยครั้งก็บอกว่าหลักสูตรเราก็เป็นไปตามหลักสากล เป็นไปตามมาตรฐานของ ACM

แต่ขณะเดียวกันเราเห็นการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีด้านไอทีอย่างมากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ไอทีกำลังเปลี่ยนยุคจากยุคของอินเตอร์เน็ตมาสู่ยุคของ Cloud, Internet of Things และ Big Data คำถามที่เกิดขึ้นว่าแล้วพื้นฐานทางด้านไอทีเหมือนเดิมไหม เช่นวิชาด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ วิชาด้าน Data Comunication/Network วิชาด้าน Database หรือด้านอื่นๆยังเหมือนเดิมหรือไม่ ถ้ายังเหมือนเดิมจริงแล้วทำไมเรามักจะเจอเสียงสะท้อนจากภาคอุตสาหกรรมเสมอว่า เด็กที่จบออกมาพื้นฐานไม่ดีและไม่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ผมก็ยังเห็นในมหาวิทยาลันต่างประเทศเอาเทคโนโลยีใหม่ๆมาสอนเสมอ

ComputerScienceCloud-1024x418

ในฐานะของคนที่ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และยังอยู่ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษา ผมมีความเห็นว่าการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเพื่อให้บัณฑิตพร้อมที่จะออกมาทำงาน และมีพื้นฐานที่ดีพอที่จะเรียนรู้เทคโนโลยีไอทีใหม่ๆที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผมคงไม่สามารถระบุได้ว่าเราควรปรับหลักสูตรทั้งหมดอย่างไร แต่ขออาศัยประสบการณ์ของตัวเองมาแนะนำสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงในบางสาขาวิชาดังนี้

1) ด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ผมคิดว่าบัณฑิตที่จบทางด้านไอทีทุกคนควรจะต้องเขียนโปรแกรมภาษาใดภาษาหนึ่งเป็น มหาวิทยาลัยอาจจะเลือกที่จะสอนภาษาใดภาษาหนึ่งก็พอแล้ว ซึ่งจะต้องภาษาด้าน OOP ที่อาจจะเป็น Python, Java หรือ C# การสอนเราต้องเน้นหลักวิธีคิดในการพัฒนาโปรแกรม ไม่ใช่สอนให้นักศึกษาจำคำสั่ง Syntax ในการเขียนโปรแกรม และ อย่าต้องให้นักศึกษาต้องมาเรียนการเขียนโปรแกรมหลายภาษา แต่สิ่งสำคัญที่นักศึกษาจะต้องทำได้คือมีตรรกะในการเขียนโปรแกรม บัณฑิตที่จบออกมาต้องเขียนโปรแกรมได้มากกว่าแค่โปรแกรม HelloWorld และต้องพร้อมที่จะเรียนรู้การพัฒนาโปรแกรมภาษาอื่นบน Platform อื่นๆ รวมถึง Mobile Application

2) การพัฒนาซอฟต์แวร์ Enterprise Application ในวันนี้โลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์มีความซับซ้อนกว่าเดิม พื้นฐานที่นักศึกษาควรจะมีขั้นพื้นฐานก็คือการพัฒนา Web Application ซึ่งไม่ใช่แค่การเขียนเว็บเพจโดยใช้ HTML หรือ Scripting Languange แต่นักศึกษาควรจะต้องเรียนการเขียนโปรแกรมเชื่อต่อกับฐานข้อมูล การพัฒนาและเรียกใช้ Web Services รู้จักการเขียนโปรแกรมเพื่อจะใช้ APIs ต่างๆอาทิเช่น Facebook หรือ Google APIs รวมถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์บน Cloud โดยใช้ Platform as a Service (PaaS)

3) Cloud Computing นักศึกษาที่ต้องเรียนวิชาทางด้าน System Administration ควรที่จะต้องเข้าใจเรื่องของ Infrastructure as a Service เรียนรู้เรื่องของ Virtualization การ config ระบบ Cloud ต่างๆ ถ้าเป็นไปได้ควรให้นักศึกษาได้เรียนรู้การออกแบบ Large IT Architecture ผ่านระบบ Cloud ที่อาจใช้ IaaS ของบาง Vendor เช่น Amazon Web Services

4) Software Development Methodology กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากที่จะสอนนักศึกษาที่ยังไม่มีประสบการณ์การพัฒนาซอฟต์แวร์มามากนักให้เข้าใจ แต่เราจำเป็นจะต้องสอนให้พวกเขาเข้าใจพื้นฐานการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบใหม่ไม่ใช่แค่พูดถึง Waterfall Model แต่ควรรวมถึงหลักการของ Agile Software Development และควรจะปูพื้นฐานเรื่อง Software Testing

4) Database เรื่องของ Big Data กำลังเข้ามา บัณฑิตที่จบออกไปในวันนี้ควรจะมีความรู้เรื่องฐานข้อมูลมากกว่า RDBMS หรือการใช้คำสั่ง SQL แต่พวกเขาควรจะต้องเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ๆอย่าง NoSQL หรือ Hadoop ด้วย เพื่อที่จะสามารถออกแบบ Information Infrastructure ในอนาคตได้

ทั้งหมดที่กล่าวมาก็อาจเป็นเพียงแค่มุมมองของผม แต่ผมคิดว่ามีความจำเป็นที่เราต้องรีบปรับเนื้อหาการสอนของเราในบางวิชา มิฉะนั้นแล้วอุตสาหกรรมไอทีจะยิ่งแข่งขันกับเขาลำบาก และควรจะไม่มีแล้วครับกับคำพูดที่ว่าบัณฑิตด้านคอมพิวเตอร์จบออกมาแล้วเขียนโปรแกรมไม่ได้

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

อนาคตของเทคโนโลยีฐานข้อมูล (The Future of the Database)

 

วันก่อนได้เห็น Infographic ตามรูปข้างล่างนี้ที่ชื่อว่า The Future of the Database ของ Robin Puro ที่โพสต์ใน  Wired Information Insights ผมว่าเป็นรูปที่เล่าประวัติและคาดการณ์อนาคตของเทคโนโลยีด้านการเก็บข้อมูลได้เป็นอย่างดี

ในรูปเล่าให้เห็นตั้งแต่เทคโนโลยีเก็บข้อมูลในยุคเริ่มต้นในทศวรรษ 1960 แต่ก็จะเน้นให้เห็นถึงในยุคทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นของเทคโนโลยีด้าน Relational Database (RDBMS) ทุกคนก็จะเริ่มให้ความสนใจกับเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลที่ใช้ภาษา SQL ระบบจะเป็นแบบ Scale Up คือหาเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่เข้ามาช่วยในการเก็บข้อมูล จึงเขียนในรูปว่าเป็น Single Instance Relational Database เราจะเห็นโซลูชั่นของ Vendor หลายใหญ่อย่าง Oracle ที่เป็น Commerical Database ตัวเแรก, IBM  ที่ใช้ DB2 หรือ SyBase

ในปลายยุค 1970 และช่วง 1980 ก็มีความพยายามทีจะทำ Entity Relational Database และ Object Oriented Database เพื่อที่จะมาแทนที่ RDBMS แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จและก็หยุดการพัฒนาไป

จากรูป Infographic เราก็จะเห็นว่า มีอีกเทคโนโลยีที่เข้ามาในปลายยุค 1980 ก็คือ Dataware House เพื่อที่จะรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลจำนวนมาก ส่วนหนึ่งก็ทำหน้าที่เป็น ETL ของฐานข้อมูลต่างๆ ซึ่ง Dataware House ก็เป็นระบบขนาดใหญ่ที่เป็นเทคโนโลยีแบบ Distributed ที่จะเริ่มใช้ Server หลายๆตัว แต่ก็ยังเป็น SQL โดยมี Vendor อย่าง Teredata เป็นผู้ผลิตโซลูชั่นทางด้านนี้

พอเข้าสู่ยุคของอินเตอร์เน็ตบูมในช่วงปลายทศวรรษ 1990  ข้อมูลเริ่มมีจำนวนมากขึ้น การจะใช้ Server ขนาดใหญ่เพียงเครื่องเดียวเก็บข้อมูลก็เริ่มจะมีปัญหา และต้องใช้ทรัพยากรเช่น CPU หน่วยความจำ หรือ  Storage มากขึ้น การทำวิเคราะห์ข้อมูลอย่างการทำ Business Intelligence หรือ Analytics ก็เริ่มมีมากกว่าการใช้ Transactional Database

ดังนั้นพอขึ้นในยุคทศวรรษ 2000 ก็เริ่มที่จะมีเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะเก็บข้อมูลใหญ่ๆได้อย่าง Distrubuted SQL ที่ใช้เครื่อง  Server หลายๆเครื่องอย่าง Clustrix หรือ  NuoDB และก็ Dataware House ใหม่ๆที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบ MPP (Massively Palallel Processing) เช่นของ Netezza, Microsoft,  Oracle หรือ IBM มีเทคโนโลยีอย่าง NoSQL ที่ไม่ได้เป็น RDBMS และสามารถเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ได้เช่น Google BigTable, MongoDB และ Cassandra และในปลายยุค 2000 ก็มีเทคโนโลยีใหม่อย่าง Hadoop ที่สามารถเก็บข้อมูลที่เป็นแบบ unstructure ได้เป็นจำนวนนับ  Petabyte

มาในยุคปัจจุบันที่กำลังเข้าสู่ Big Data ข้อมูลเริ่มมีขนาดใหญ่ มีหลากหลายรูปแบบไม่ใช่เฉพาะ structure และข้อมูลเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว   (3V: Volume, Variety, Velocity) ทำให้การใช้เทคโนโลยีที่เป็น SQL แบบ Scale Up มีราคาที่แพงขึ้นในขณะที่ระบบแบบ Scale Out ที่เป็น Distributed SQL จะช่วยทำให้เก็บข้อมูลได้มากขึ้น และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Real-Time ตามความต้องการของธุรกิจได้ และก็เริ่มมีการนำเทคโนโลยีใหม่ที่เป็น MPP มาใช้ใน Distributed SQL รวมถึงโซลูชั่นใหม่ๆอย่าง SAP HANA ที่เป็น in-Memoery Database หรือ  Oracle ExaData นอกจากนี้เราก็ยังเห็นการพัฒนาการของเทคโนโลยีอย่าง Hadoop ที่มีการใช้ภาษาใหม่อย่าง Hive, Pig หรือการพัฒนา Hadoop เวอร์ชั่น 2 ที่มีเทคโนโลนีอย่าง YARN  ที่ช่วยทำให้ประมวลผลแบบ Real-time ได้

สุดท้ายในอนาคต แนวโน้มของ Database ก็จะมี Platform หลักๆอยู่สามตัวที่จะรองรับข้อมูลหลายหลายที่มีขนาดใหญ่คือ  NoSQL, Hadoop  และ  Distributed SQL ทั้งนี้ Single Instance SQL จะมีปัญหาเรื่องการ Scale Up เพื่อรองรับข้อมูลขนาดใหญ่และ Dataware House เองถ้าจะนำมาใช่ในการทำ Analytics ก็จะถูกแทนที่ด้วย Distributed SQL ที่สามารถนำมาใช้ประมวลผลแบบ Real-time  ได้

FutureofDatabase

ธนชาติ นุ่มมนท์

IMC Institute

มกราคม 2558

อาชีพโปรแกรมเมอร์ งานที่ท้าทาย รายได้ดี และมีอนาคตที่ดี จริงหรือไม่

เราต้องยอมรับครับว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์บ้านเราโตได้ยาก จะไปแข่งกับประเทศอื่นๆคงลำบากเพราะเราขาดนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เก่งๆมากพอ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) หรือโปรแกรมเมอร์ (Programmer) เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ถ้าเรามีจำนวนไม่มากพอก็เหมือนขาดวัตถุดิบในการผลิตก็จะแข่งขันลำบาก ที่น่าตกใจกว่านั้นเด็กรุ่นใหม่ที่มาเรียนสายคอมพิวเตอร์บอกว่าไม่อยากเขียนโปรแกรม ส่วมมากเขียนโปรแกรมไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ไม่เก่งพอ แต่ที่แปลกใจคือจำนวนหนึ่งบอกว่าอาชีพโปรแกรมเมอร์ไม่ก้าวหน้า รายได้ไม่ดี

Screenshot 2015-01-05 22.25.16

ผมค่อนข้างงงกับที่คนเข้าใจว่าอาชีพนี้ไม่มีเส้นทางอาชีพที่ดี มีรายได้ไม่ดี เพราะผมเองก็ยังคิดอยู่เสมอว่าตัวเองคือโปรแกรมเมอร์ คนที่ผมรู้จักมากมายทั้งไทยและต่างชาติที่ทำงานด้านการพัฒนาโปรแกรม ผมก็เห็นเขามีอนาคตที่ดี หลายคนมีรายได้เป็นแสนบาทต่อเดือน หลายคนก้าวขึ้นสู่การเป็น  CTO (Chief Technology Officer) มีเงินเดือนหลายแสนบาท แม้แต่เด็กจบใหม่ 4-5 ปีที่มีทักษะการพัฒนาโปรแกรมที่ดี มองเป็น  Architect Programmer เข้าใจการพัฒนาโปรแกรมแบบ Enterprise Application ก็มีเงินเดือน 7-8  หมื่นบาท

ใช่ครับอนาคตของอาชีพโปรแกรมเมอร์ไม่ใช่เป็นแค่คนเขียน Code ไปตลอดชีวิต เส้นทางของอาชีพนี้มีสิ่งใหม่ที่จะต้องเรียนรู้ตลอด เราไม่ได้พูดถึงคนที่เขียนแค่โปรแกรมง่ายๆอย่างมาทำหน้าเว็บ ใช้ Tool เขียน script ง่ายๆ หรือเขียนโปรแกรมบนมือถือแค่บางภาษา แต่อาชีพโปรแกรมเมอร์คือเส้นทางสู่ความเป็น IT Architecture และ Chief Technology Officer มันมีความท้าทาย และความยากของการพัฒนาซอฟต์แวร์ตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปตลอด อาชีพนี้เป็นอาชีพที่สนุกและรายได้ดี แต่แน่นอนถ้าตัวเองเป็นแค่ coder  จมปลักอยู่กับแค่การเขียนโปรแกรมภาษาใดภาษาหนึ่ง เขียนโปรแกรมซ้ำซากๆ เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน เราก็อาจขาดความก้าวหน้า

แม้ผมจะทำงานบริหารแต่ผมนิยามตัวเองเสมอว่าผมยังเป็นโปรแกรมเมอร์ ทุกวันนี้ผมยังเขียนโปรแกรม แต่เปลี่ยนตามเทคโนโลยี และเป็น IT Architecture สมัยผมเรียนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยผมเรียนโปรแกรมเพียงภาษาเดียวครับคือ Fortran IV สมัยนั้นผมไม่มีคอมพิวเตอร์ในห้องเรียนหรอกครับ เราเรียนแบบแห้งแต่เวลาทำการบ้านเราต้องมาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบเจาะบัตร  วิชา Computer Programming  ตัวนี้ละครับที่เปลี่ยนชีวิตผม เพราะผมเรียนภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าก่อนลงทะเบียนวิชานี้ เกรดผมย่ำแย่มาตลอดส่วนหนึ่งอาจเพราะบ้ากิจกรรมและสอบเทียบมาเลยเรียนไม่ทันเพื่อน แต่เพราะวิชานี้ละครับทำให้ผมค้นพบตัวเอง สนุกกับการเรียนและรู้ว่าการเขียนโปรแกรมคือทักษะของผม ผมได้ A วิชานี้วิชาแรกในการเรียนมหาวิทยาลัย และเป็นกำลังใจให้ผมได้เกรด A อีกหลายๆวิชาและเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วย GPA ที่ดีขึ้น

ที่ผมชอบวิชา Computer Programming เพราะมันเป็นความท้าทายที่อยากจะเขียน ดีบัก และดูผลรันโปรแกรม มันคือความภูมิใจที่เราแก้ปัญหาต่างๆได้ด้วยการเขียนโปรแกรม พอตอนผมขึ้นชั้นปีที่  3 พ่อผมซื้อเครื่องคิดเลข Casio ที่สามารถโปรแกรมภาษา Basic ได้มาให้ผม ผมสนุกกับมันมากและก็ได้เขียนโปรแกรมรถถังยิงปืนใหญ่ในเครื่องนั้น แม้จะไม่มีรางวัลหรือการประกวดอะไรจากโปรแกรมที่ผมเขียน แต่คิดว่ามันได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผมรักที่จะเขียนโปรแกรมมากขึ้น และตอนปีสามผมยังได้เลือกเรียนวิชาภาษา  Assembly ทำให้เข้าใจหลักการพื้นฐานของการเขียนโปรแกรมมากขึ้น

จบปริญญาตรีมาใหม่ๆ ผมก็เริ่มศึกษาภาษา Pascal นั่งเขียนโปรแกรมหมากรุกความยาวเป็นหมื่นบรรทัด แต่ก็ไม่เห็นมันคำนวณหรือชาญฉลาดอะไรมากมาย เพราะความรู้เรื่อง Algorithm  ของผมมีไม่มากพอ สุดท้ายผมอยากให้มันมีเรื่องของ Artifical Intelligence ก็เลยไปศึกษาภาษา Prolog ช่วงก่อนไปเรียนต่อปริญญาโท-เอกเมืองนอกแล้ว ผมเริ่มเป็นอาจารย์เด็กๆเขามอบหมายให้สอนวิชา Computer Programming รู้สึกเป็นวิชาที่สนุกและสอนง่าย เพราะเรามีทักษะการเขียนโปรแกรมแล้ว

ทักษะด้านการเขียนโปรแกรมนี่ละครับ ทำให้ผมจบปริญญาเอกได้ มีรายได้เสริมจากงานวิจัยที่ให้เราไปเขียนโปรแกรม ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่อาจารย์ที่ปรึกษาให้งาน ผมกลับไปนั่งเขียนโปรแกรมภาษา  C ซักสองชั่วโมงแล้วเดินกลับมาบอกอาจารย์ว่าเสร็จแล้ว ที่เสร็จเร็วเพราะว่ามันสนุกและท้าทาย แต่อาจารย์ที่ปรึกษาตกใจเพราะคิดว่าน่าจะใช้เวลาทำซักสองอาทิตย์ ตอนเรียนปริญญาเอกต้องทำเรื่อง Parallel Genetic Algorithm ต้องเขียนโปรแกรม MPI บนเครื่องคอมพิวเตอร์ MASPAR มันยิ่งท้าทายเข้าไปอีก และทำให้เข้าใจหลักการทำงานของ Parrallel Computer

จบกลับมาก็ยังสอนหนังสือด้านการเขียนโปรแกรม มาหัดเขียนภาษา C++ และมาเริ่มเรียนภาษา Java ภาษานี้ละครับทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปอีก ผมยอมจ่ายเงินเองหลายหมื่นบาทเพื่อไปเรียนและสอบเป็น Certified Java Programmer ซึ่งตอนนั้นอาจเป็นคนแรกของประเทศไทยด้วยซ้ำไป ความเป็นอาจารย์และเป็นนักพัฒนาโปรแกรมภาษาใหม่ๆในตอนนั้นได้ ทำให้งานการสอนการเขียนโปรแกรม Java  เข้ามาอย่างมากมาย ยังจำได้เลยว่าตอน Nokia  จะออกโทรศัพท์ Java Phone รุ่นแรก (Nokia 7650) มีตัวแทนของ Nokia ต้องบินมาหาผมเพื่อช่วยให้มาสอนและตั้งทีมพัฒนา Java ME ทั่วประเทศ

ความท้าทายของการพัฒนาโปรแกรมทำให้ ผมก็ต้องไปเรียนรู้สิ่งต่างๆอีกมาก พอมันเป็นยุคของ Enterprise Application ผมก็ต้องมาหัดเรียน Java Web Programming อย่าง Java Servlet หรือ JSP แล้วก็ก้าวข้ามมาเขียน EJB และเรียน Web Framework ต่างๆทั้ง Struts, JSF หรือ Hibernate การเรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านั้นทำให้ผมเข้าใจ  IT Architecture ได้ดีขึ้น เข้าใจการออกแบบ Larger Scale Enterprise Application และเข้าใจเรื่อง Web Server ต่างๆ ทั้ง Tomcat, JBoss หรือ WebLogic นี่ครับเส้นทางของคนมีอาชีพโปรแกรมเมอร์ พอจับเรื่องยากๆขึ้นก็เป็นข้อดีเพราะน้อยคนที่จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้

พอเรื่องของ Web Services เข้ามามันก็ยิ่งเป็นความท้าทายให้เราเขียนโปรแกรมแบบ APIs มาทำเรื่องของ Application Integration แล้วพอเป็นยุคของ SOA ที่ถึงแม้จะเป็นเรื่องของ Architecture แต่คนที่มีพื้นฐานมาจากการเขียนโปรแกรมจะได้เปรียบ ที่จะเข้าใจ IT Architecture ได้ดีกว่า แม้ผมจะจับ Backend ข้างล่าง แต่การพัฒนาโปรแกรม Front ข้างหน้าอย่างการเขียน Web หรือ Smartphome App อย่างภาษาจาวาบน Android ก็อยู่ในความสนใจผม ตอนหลังมีเรื่องของ Wearable Devices ก็เริ่มไปหาข้อมูลการเขียนโปรแกรมบน  Smartwatch

พอมายุคของ Cloud  ในฐานะของคนพัฒนาโปรแกรมเราก็ต้องศึกษาด้านนี้โดยผมเริ่มพัฒนาและสอยการเขียรโปรแกรมบน Platform as a Service (PaaS)  ตั้งแต่ 4-5 ปีก่อน โดยเริ่มพัฒนาโปรแกรมบน  Google App Engine ตอนหลังก็หันมาดู Platform อื่นอย่าง Heroku,  Force.com และก็มาใช้ IaaS อย่าง Amazon Web Services (AWS) ความเป็นโปรแกรมเมอร์ทำให้เข้าใจ Architecture ได้ดี ก็เลยเรียนรู้ Cloud Architecture อย่าง AWS ได้ง่ายขึ้น

สุดท้ายวันนี้เทคโนโลยีอย่าง Big Data เข้ามา คนเริ่มพูดถึง Hadoop มากขึ้น ก็เพราะความเป็นโปรแกรมเอร์อีกนั้นละ ทำให้เราพัฒนา Application บน Hadoop อย่าง Map/Reduce และเข้าใจเทคโนโลยีอื่นๆของ Hadoop  ได้ดีขึ้น มาวันนี้เรากำลังพูดถึง Data Science ความเป็นโปรแกรมเมอร์ทำให้เราเข้าใจการพัฒนาโปรแกรมโดยใช้  Mahout และพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ทำให้เข้าใจเรื่อง Data Science และผมก็เริ่มสังเกตุว่าเพื่อนๆต่างชาตืที่เป็นโปรแกรมเมอร์วันนี้เขาก็เริ่มมาใช้ Hadoop อย่างจริงจัง ใช่คร้บอาชีพโปรแกรมเมอร์นี่ละครับทำให้เรามีเส้นทางสู่ Architecture และ  CTO

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพียงเพื่ออยากบอกทุกคนที่กำลังจะเรียนหรือสนใจเรียนสาขาคอมพิวเตอร์ว่า ต้องเรียนเขียนโปรแกรมครับ อาชีพโปรแกรมเมอร์ไม่ใช่เป็นแค่  Coder  แต่เป็นงานที่ท้าทายและสนุก มีรายได้ดีและมีเส้นทางสู่  CTO แต่ถ้าคนที่ขาดพื้นฐานที่ดีเขียนแค่เว็บหรือ  Script บางอย่าง ไม่เข้าใจ Architecture  อันนั้นไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ครับ เขาเลยคิดว่าอาชีพน่าเบื่อรายได้ไม่ดี แต่อาชีพโปรแกรมเมอร์ต้องเรียนรู้อยู่ตลอด พยายามทำสิ่งใหม่ๆที่คนยังไม่ทำกันหรือเป็นคนกลุ่มแรกๆครับอนาคตจะดีมาก มาเรียนโปรแกรมกันครับหัวใจของงานด้านไอทีคือ Programming  ครับ

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

Screenshot 2015-01-05 22.42.27

10 ตัวอย่าง เมื่อโลกดิจิทัลได้เปลี่ยนชีวิตผม

Screenshot 2015-01-05 09.05.10

ผมเป็นคน Generation X เกิดในยุค 2508-2522 แต่ผมทันที่จะเรียนชั้นมัธยมศึกษา (ม.ศ.) รุ่นสุดท้าย เริ่มได้ดูทีวีขาวดำตอนเด็กๆ ตื่นเต้นเมื่อได้ดูฟุตบอลโลกนัดชิงคู่เยอรมันตะวันตกกับฮอล์แลนด์ที่ถ่ายทอดสดมาเพียงคู่เดียวในปี 2517 ตอนชั้นประถมปลายพ่อสอนให้ฟังวิทยุคลื่นสั้นช่อง BBC ถ้าอยากฟังข่าวฟุตบอลอังกฤษ ตอนมัธยมต้นผมชอบนั่งรถเมล์จากนครปฐมไปหอสมุดแห่งชาติเพื่อไปค้นคว้าหาหนังสือพิมพ์เก่าๆสมัยยุค 2510 อ่าน จำได้ว่าตอนม.ศ.3 ผมตอบคำถามกีฬาของหนังสือพิมพ์ Bangkok Post แล้วได้รางวัลชนะเลิศเพราะผมขยันไปค้นข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติ พ่อและแม่มี Encyclopedia ที่ซื้อมาในยุค 1966 ชุดหนึ่งที่ผมชอบมาเปิดอ่านมา เหมือนกับหนังสือ Almanac ที่เก็บสถิติต่างๆที่ผมชอบอ่าน

ชีวิตคน Gen X รุ่นแรกอย่างผม ในวัยเรียนจะมีความสุขกับการรอรับจดหมาย เวลารอเงินจากที่บ้านพวกเราต้องไปรอที่ไบรษณีย์ของมหาวิทยาลัย เพื่อรอรับธนานัติ ถ้ามีเรื่องด่วนเราก็ต้องส่งโทรเลข นานๆทีเราจะได้ใช้โทรศัพท์ทางไกลซักครั้ง เพราะการโทรทางไกลมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก จำได้ว่าตอนไปเรียนต่างประเทศนับครั้งได้ที่โทรศัพท์กลับเมืองไทย สมัยนั้นตอนอยู่เมืองนอกการติดต่อสื่อสารทางจดหมายใช้เวลาเป็นเดือน ข่าวสารจากเมืองไทยต้องอ่านจากจดหมาย หรือพูดคุยกับเพืรอนฝูงที่เพิ่งกลับมาจากเมืองไทย ความสุขอย่างหนึ่งในสมัยเรียนคือการดูทีวีในช่วง Prime Time จะเดินทางไปไหนมาไหนสมัยนั้นต้องวางแผนล่วงหน้าเป็นเวลานานต้องไปหาซื้อตั๋วผ่าน Travel Agent และต้องเตรียมแผนที่ซึ่งเป็นกระดาษไว้เสมอเผื่อหลงทาง จำได้ว่าตอนก่อนวันสิ้นปี 2530 ผมจะเดินทางกลับบ้านต้องไปถอนเงินล่วงหน้าที่ธนาคารแห่งเดียวในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่สมัยนั้นยังไม่มีตู้ ATM ต้องยืนรอคิวนานถึงเกือบ 4 ชั่วโมง

smart-hand-hold-the-digital-world

ผมเกริ่นมาตั้งนาน เพียงพอจะบอกว่าวันนี้โลกดิจิทัลได้เปลี่ยนชีวิต ผมไปอย่างมากมาย หลายๆอย่างที่ผมเคยทำ ผมเลิกทำมานานแล้ว วันนี้จะขอยกตัวอย่างสิ่งต่างๆ10 อย่างที่โลกดิจิทัลได้เปลี่ยนชีวิตผม

ปรษณีย์: สมัยเด็กๆเราจะตื่นเต้นทุกครั้งที่บุรุษไปรษณีย์มาส่งจดหมาย เราจะต้องรอคอยทุกวันว่าไปรษณีย์มายัง แต่ตอนนี้ผมจำไม่ได้ว่าผมเขียนหรือส่งจดหมายครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่ผมใช้อีเมล์มา 20 กว่าปี ยิ่งตอนหลังๆมาทำงานภาคเอกชนผมแทบไม่ได้รับจดหมายเลย งานไปรษณีย์ต้องเปลี่ยนรูปแบบ แต่โชคดีที่ไปรษณีย์ไทยมีผู้บริหารที่เก่งสามารถปรับบริการได้ทันและเหมาะสม

หนังสือพิมพ์: แต่ก่อนผมชอบซื้อหนังสือพิมพ์มาก แต่ละวันหลายฉบับทุกเช้าต้องรอคนมาส่งหนังสือพิมพ์ ตั้งแต่ผมมี iPad เครื่องแรก 4-5 ปีก่อน ผมเลิกซื้อหนังสือพิมพ์ที่เป็นกระดาษ แต่ผมอ่านหนังสือพิมพ์ที่เป็นฉบับผ่านโปรแกรม E-Book ยิ่งระยะหลังผมซื้อหนัวสือพิมพ์และนิตยสารแบบบุฟเฟ่ต์ผ่าน OokBee ทำให้ทุ่นค่าหนังสือพิมพ์ไปได้มา และทุกเช้าผมก็ยังได้อ่านหนังสือพิมพ์วันละ 4-5 ฉบับผ่าน iPad

ห้องสมุด: จากเด็กที่ชอบขึ้นรถเมล์ข้ามจังหวัดไปห้องสมุด คนที่ชอบนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด กลายเป็นคนที่ไม่เข้าห้องสมุด ผมจำได้ว่าเมื่อต้นปีที่แล้วผมมีโอกาสไปบรรยายการประจำปีของสำนักวิทยบริการที่ดูแลห้องสมุดของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทย ผมเกริ่นให้ผู้ฟังว่าทุก;yนนี้ผมไม่ได้เข้าห้องสมุด เพราะผมไม่ทราบจะเข้าไปค้นอะไรเหมือนเก่า เพราะห้องสมุดของผมตอนนี้คือ Internet ผมค้นคว้าและอ่านหนังสือจากในนั้น ห้องสมุดที่ผมจะเข้าต้องมีชีวิตชีวา มีที่ให้ผมทานกาแฟ ที่ประชุม ที่ให้พบปะกับเพื่อนฝูง หรือมีในสิ่งที่ผมต้องการเช่นดูหนัง ดู YouTube พร้อมทั้งยกตัวอย่างห้องสมุดที่ NIDA หรือร้านขายหนังสือที่ไต้หวัน

ธนาคาร: ทุกวันนี้นานๆทีผมจะเข้าธนาคาร ผมเชื่อว่าอีก 10-15 ปี จำนวนสาขาจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ธนาคารในอนาคตจะไม่ใช่ที่รับฝากและถอนเงิน แต่จะช่วยให้คำปรึกษาเรื่องการลงทุน อาจเป็นที่ประชุมให้คนมานั่งพูดคุยหรือทานกาแฟกัน ทุกวันนี้ผมใช้ Internet Banking , Online Credit Card Services เพื่อตรวจสอบข้อมูลการใช้ผ่านบัตร และ Online AssetManagement เพื่อซื้อขายหน่วยลงทุนมากกว่า 10 บัญชี

ร้านถ่ายรูป: แม้ผมจะไม่ใช่คนชอบ Selfie หรือชอบถ่ายรูปมากนัก แต่ผมเลิกถ่ายรูปหรืออัดรูปที่เป็นกระดาษมานานมากแล้ว ตั้งแต่เริ่มใช้ Smartphone รุ่นแรก Nokia 7650 เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว รูปที่ถ่ายก็อยู่บน Cloud ไม่ได้เก็บในเครื่องตัวเอง ไม่ห่วงว่าจะหายไปเหมือนเก็บใส่เครื่องคอมพิวเตอร์หรือ Harddiskและนานๆครั้งจะไปร้านถ่ายรูป เพื่ออัดรูปมาใส่กรอบรูป

Prime Time TV: จากคนที่ชอบดูทีวี โดยเฉพาะหนังช่วง Primetime หรือดูการถ่ายทอดกีฬาทุกสัปดาห์ เดี๋ยวนี้นานๆครั้งผมจะดูรายการถ่ายทอดสด ไม่ดูแม้แต่ข่าวทีวีจากทีวี แต่ละวันแทบไม่ได้ดูทีวี ทีวีของผมในวันนี้คือเครื่องอะไรก็ได้ ตั้งแต่คอมพิวเตอร์, Smart TV, Tablet  หรือ  Smartphone ผมเลือกที่จะดู YouTube หรือรายการข่าวผ่านอินเตอร์เน็ตเสียมากกว่า และจะเลือกดูที่ไหน เวลาใด หรือ อุปกรณ์ใดก็ได้ เมื่อยากดู ไม่ต้องรอช่วง  Prime Time แบบเดิม

Travel Agent: แม้ผมจะเดินทางบ่อยแต่ผมไม่เคยซื้อตั๋วผ่าน Travel Agent มานานมากแล้ว ผมซื้อทางออนไลน์มาเกือบสิบปีแล้ว แม้แต่แผนที่ที่เป็นกระดาษทุกวันนี้ก็เลิกใช้ไป 4-5 ปีแล้ว ตั้งแต่ยุคที่ 2.75 G บ้านเราดีๆก็ใช้ Google Map ผ่านมือถือแทน

Call Center: เป็นอีกอย่างที่ถ้าไม่จำเป็นผมไม่ใช้บริการ เพราะล่าช้า และเลือกที่จะหาข้อมูลหรือสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตมากกว่า แม้แต่จะสั่งซื้อ Pizza ก็ไม่เลือกที่จะโทร Call Center

Encyclopedia: สมัยเด็กๆผมชอบทีทจะหาอ่านข้อมูลต่างๆผ่าน Encycpedia มาก แม้แต่ยุคแรกๆของอินเตอร์เน็ตผมยังไปซื้อ CD โปรแกรม Encyclopedia Britannica มาใชั แต่โลกของการค้นคว้าผมทุกวันนี้กลายเป็น Wikipedia

โทรทางไกล: คำๆนี้ผมแทบไม่รู้จักแล้ว เพราะมือถือทำให้ไม่มีเรื่องของการโทรข้ามจังหวัด ทุกอย่างสมัยนี้อัตราเดียวกันหมด แม้แต่การโทรไปต่างประเทศผมก็เลือกที่จะใช้ Skype โทรผ่านอินเตอร์เน็ต

สุดท้ายนี้แม้โลกดิจิทัลได้เปลี่ยนชีวิตผมอย่างมาก แต่ความที่เกิดมาเป็นคน Gen X ที่เกือบเข้ายุค Baby Boom ทำให้ผมต้องใช้ชีวิตในวัยเด็กในยุคที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ ของเล่นตอนผมอยู่ ป.2-ป.3 คือผมใช้สมุดเล่มหนึ่งมาจดทะเบียนรถที่ผ่านหน้าบ้านผมในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทุกคัน อย่างสนุกสนานตามประสาเด็กๆที่สมัยนั้นไม่มีเทคโนโลยีให้เล่น ความเป็นเด็กอาจไม่ได้รู้จักวิชาสถิติไม่ทราบว่าจดไปแล้วนับไปเพื่ออะไร แต่ทักษะแบบอนาล็อกอย่างนี้ละครับทำให้ผมโตขึ้นมาอย่างเข้าใจตัวเลขในยุคดิจิทัล และก็ทักษะที่เข้าไปค้นหนังสือในหอสมุดแห่งชาตินี้ละครับที่สอนให้ผมรู้จักค้นคว้าอะไรต่างๆอย่างมีเหตุผลในโลกอินเตอร์เน็ต คงต้องขอบคุณพ่อและแม่ที่ท่านช่วยสอนให้เรามีทักษะของการเรียนรู้ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนจาก Analog สู่ Digital หรือเข้าสู่ยุคใดก็ตาม ทักษะ Learn to learn คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

Big Data Use Cases: ในอุตสาหกรรมต่างๆ

Big Data  เป็นเรื่องที่กำลังอยู่ในความสนใจอย่างมาก เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ความสำคัญไม่ได้อยู่เพียงแค่จะใช้เทคโนโลยีใหม่อย่างไร หรือจะเก็บข้อมูลอย่างไร แต่เป็นเรื่องของการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ทำให้ เกิดประโยชน์ทางธุรกิจอย่างไี โดยเฉพาะเรื่องของการทำ Analytics เพราะการมีข้อมูลขนาดใหญ่ย่อมทำให้การคาดการณ์ต่างๆมีความแม่นยำขึ้น ซึ่งเมื่อมีการพูดถึงการประยุกต์ใช้งาน Big Data  บางท่านก็อาจนึกในด้านการหาข้อมูลของลูกค้าหรือสินค้า เราลองมาดูว่า Big Data สามารถนำมาทำอะไรได้บ้างดังตัวอย่างในรูปข้างล่างของ  IBM ที่พูดถึงประโยชน์สำหรับกลุ่มคนหรือส่วนงานต่างๆดังนี้

Screenshot 2015-01-03 16.26.30

  • Branch Management:  Big Data สามารถช่วยระบุได้ว่าสินค้าใดหรือสาขาใดขายดีที่สุด
  • Relationship Management:  Big Data สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงและคาดการณ์รายได้จากลูกค้าเมื่อเรานำเสนอสินค้าใหม่ๆได้
  • Marketing:  Big Data  สามารถช่วยทำให้เรานำเสนอสินค้าให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าในเวลาที่เหมาะสม
  • Payment: Big Data สามารถช่วยตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงการชำระเงินออนไลน์
  • Executive Leader:   Big Data  สามารถช่วยให้ผู้บริหารมีข้อมูลที่ถูกต้องในการตัดสินใจ ในช่วงเวลาต่างๆ
  • Risk and Finance: สามารถช่วยทำให้การปฎิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆขงอธุรกิจไปได้ด้วยยิ่งขึ้น เพราะจะช่วยลดความเสี่ยง

ในแง่ของการนำ Big Data มาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เราอาจยกตัวอย่างการใช้งานได้ดังนี้

1) Telecommunication: อุตสาหกรรมกลุ่มนี้น่าจะมีข้อมูลที่เป็น Big Data จริงๆ เพราะมีจำนวนลูกค้าที่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์อยู่เป็นหลักสิบล้าน และในแต่ละวันจะมีข้อมูลที่เป็น Transaction จากการใช้โทรศัพท์จำนวนมาก ข้อมูล CDR (Call Detail Record) ของผู้ให้บริการโทรศัพท์ในแต่ละวันจะมีขนาดหลาย TB ซึ่งถ้าสามารถนำมาวิเคราะห์ได้จะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย อาทิเช่นการวางแผนการติดตั้งเครือข่าย การวิเคราะห์การใช้งาน การลดการย้ายค่าย ตัวอย่างการนำ Big Data มาใช้งานทางด้านนี้มีดังตารางข้างล่างนี้

Screenshot 2015-01-03 21.14.53ตัวอย่างการนำ Big Data มาใช้งานทางอุตสาหกรรม Telecommunication [Source: Monetizing Big Data at Telecom Service Providers]

2) Banking/Insurance: อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร ก็เป็นอีกกลุ่มที่มีข้อมูลขนาดใหญ่ และ Transaction  ต่อวันมีจำนวนมหาศาล ยิ่งมีการใช้งาน Internet/Mobile Banking มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้มีจำนวน Transaction สูงขึ้น Big Data สามารถนำมาใช้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงได้การชำระเงิน, หรือช่วยในการประเมินความเสี่ยงของลูกค้าที่มากู้ยืมเงิน, หรือช่วยในการประเมินอัตราค่าบริการประกันภัยของลูกค้าแต่ละราย หรือช่วยในการแบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation) ตัวอย่างของการนำ Big Data มาใช้งานทางด้านนี้มีดังตารางข้างล่างนี้

Screenshot 2015-01-03 21.22.59

ตัวอย่างการนำ Big Data มาใช้งานทางอุตสาหกรรม Finance [Source: IDC Financial Insights]

3) Retails: อุตสาหกรรมค้าปลีกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายของทางe-Commerce มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำ Big Data เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ อาทิเช่น การทำ  Customer Segmentation, การนำเสนอสินค้าให้กับลูกค้า (Next Product to Buy), การศึกษาพฤติกรรมลูกค้า หรือแม้แต่ใช้ในการกำหนดราคาสินค้า (Pricing Optimization) เราจะเห็นว่าผู้ค้าปลีกหลายใหญ่ๆต่างก็พยายามจะเก็บข้อมูลการบริโภคของลูกค้า เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ ยิ่งเป็น E-Commerce รายใหญ่ๆอย่าง Amazon หรือ eBay ก็ยังมีความสามารถที่จะไปดึงข้อมูลภายนอกอาทิเช่นจาก social media มาวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้ ตัวอย่างของการนำ Big Data มาใช้งานทางด้านนี้มีดังตารางข้างล่างนี้

Screenshot 2015-01-03 21.43.11

ตัวอย่างการนำ Big Data มาใช้งานทางอุตสาหกรรม Retails [Source: http://www.crmsearch.com]

นอกจากนี้ ยังมีการนำ Big Data มาใช้ในอุตสาหกรรมอาทิเช่น งานภาครัฐบาล (Government), งานด้านวิทยาศาสตร์, งานด้านสื่อ (Media)  ซึ่งสามารถสรุปตัวอย่างได้ดังรูปข้างล่างนี้

Screenshot 2015-01-03 21.47.09

ตัวอย่างการนำ Big Data มาใช้งานทางอุตสาหกรรมต่างๆ [Source: Big Data Analytics with Hadoop: Phillippe Julio]

ตัวอย่างต่างๆที่พูดถึงวันนี้ เป็นการเกริ่นนำ แต่ผมจะเขียนกรณีศึกษาทางด้านนี้บางกรณีเพิ่อให้เข้าใจเทคโนโลยี และเทคนิคที่เขาใช้ว่า ทำได้อย่างไรในบทความต่อๆไป

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

มกราคม 2558

ปี 2015 จะเป็นปีเริ่มต้นของ Big Data Analytics

10687216_434767803337232_5541506154205665487_n

เผลอแป๊ปเดียวก็ผ่านไปอีกปีแล้ว เวลามันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็นึกเสียดายบางช่วงเวลาที่คิดว่าเราน่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้ แต่สิ่งที่ผ่านไปแล้วมันก็คงต้องปล่อยให้มันผ่านไป เราแก้ไขอดีตไม่ได้แต่เราสามารถที่จะทำให้อนาคตดีขึ้นได้ ในฐานะของคนไอทีเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีมันมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ถ้าใครอยู่นิ่งไปจมอยู่กับอดีตไม่มองถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงก็จะลำบาก บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนอาชีพอื่นเขาต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆมากมายตลอดเวลาเช่นนี้ไหมและต้องไล่ล่ากับอนาคตเพื่อให้อยู่รอดในวิชาชีพอย่างคนไอทีหรือเปล่า

20  ปีที่ผ่านมาเราเห็นการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผมเองก็ต้องคอยเรียนรู้และก้าวให้ทันกับสิ่งใหม่ๆเสมอ คงไม่ต้องบอกว่าผมเรียนรู้คอมพิวเตอร์มาจากยุคเจาะบัตรด้วยภาษา  Fortarn IV ต้องมาใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ยุคที่ยังไม่มี Harddisk เชื่อครับมีคนในอุตสาหกรรมหลายคนในปัจจุบันทีมาจากยุคเก่ากว่าผมอีก แต่ผมอยากตัดบทไปถึงแค่สิบห้าปีก่อน จำได้ว่าตอนนั้นภาษา  Java กำลังเข้ามา ผมเองก็ต้องขนขวายเสียเงินทองไปเรียนและสอบ Certifiied Java Programmer พอยุค Web Server/App Server มาก็ต้องมานั่งศึกษา Java EE มาเรียน Enterprise Application ทำให้เข้าใจ IT Architecture มากขึ้น พอยุค Smart Mobile  รุ่นแรกเข้ามาเมื่อสิบปีก่อนก็ต้องมาเรียนรู้ Java ME เขียนโปรแกรมบน Nokia 7650 และไปอบรมคนทั่วประเทศ

พอถัดมาคนมาพูดถึง Web Services ก็ต้องมาเรียนกันใหม่ มามองเรื่อง Cross Platform และก็ต้องพูดถึง Application Programming Interfaces (APIs) แล้วก็ต้องมาว่ากันถึงเรื่องของ Service Oriented Architecture (SOA) และก็เริ่มมอง Programming Language ที่หลายหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Python, Ruby และก็ต้องดู Web Framework ต่างๆ จะเห็นได้ว่าคนไอทีแทบไม่เคยได้ต้องหยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ห้าปีก่อนพอเรื่อง  Cloud Computing เข้ามา ผมก็เป็นคนแรกๆในบ้านเราที่ไปบรรยายเรื่องนี้ และทดลองเล่น  Cloud Platform ต่างๆทั้ง IaaS, SaaS  และ PaaS พยายามจะบอกกับหลายๆคนว่าวันนี้ไอทีต้องไป Cloud  และตอนนั้นก็เป็น ผอ. Software Park ก็พยายามจัดสัมมนาและร่วมกลุ่มพันธมิตรทางด้าน Cloud Computing  เพื่อชี้ให้เห็นว่า Cloud Computing transforms IT และอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์จะต้องขึ้น Cloud ในยุคที่ผมเป็นผอ. Software Park นอกจาก Cloud แล้วก็จะพูดถึงเรื่อง Mobile เพราะเชื่อว่า Devices กำลังจะเปลี่ยนสู่ยุคของ Smartphone/Tablet  จนมีคนแซวผมว่าหน้าผมคือ  Cloud and Mobile

ทันทีที่ผมก่อตั้ง IMC Institute เมื่อสองปีที่ก่อน ผมเริ่มที่จะจัดอบรม Big Data และพยายามจะจัดสัมมนาด้านนี้มากขึ้นเพราะผมเชื่อว่าเรื่องนี้กำลังจะมา และเราจำเป็นต้องสร้างบุคลากรทางด้านนี้ โดยผมเน้นเรื่องของเทคโนโลยี Hadoop ที่สามารถเก็บ Unstructure Data ได้มหาศาล ช่วงเวลาสองปีทาง IMC Institute ก็ได้อบรมคนไปหลายร้อยคน และก็ได้ช่วยทำให้คนเข้าใจเทคโนโลยีนี้มากขึ้น

กระแส Big Data กำลังมาอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้จำนวน Devices ทั่วโลกมีหลายพันล้าน คนใช้อินเตอร์เน็ตมีมากขึ้น มีการใช้ Social Network มีมากขึ้น และเรื่องของ Internet of Things  กำลังมา สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแต่มีการสร้างข้อมูลใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา จำนวนข้อมูลมากขึ้นทุกวันและมีข้อมูลที่เป็น Unstructure จำนวนมาก จึงมีความจำเป็นต้องหาเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล ผมเชื่อว่าในปี 2015 นี้เรื่องของ Big Data Analytics จะมีความสำคัญมากขึ้น เพราะธุรกิจต่างๆจะมีการแข่งขันกันมากขึ้น ใครก็ตามที่สามารถจะนำข้อมูลขนาดใหญ่มาวิเคราะห์ได้คนนั้นจะได้เปรียบเหนือคู่แข่ง Big Data transform Business

ภาพโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล (Information Infrastructure) ในอนาคตขององค์กรจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะขนาดข้อมูลที่ใหญ่ขึ้น และชนิดข้อมูลที่หลากหลาย เราน่าจะเป็นโครงสร้างที่ใช้เทตโนโลยีต่างๆมากขึ้นดังตัวอย่างในรูป

Screenshot 2015-01-02 21.52.09

รูปตัวอย่าง Information Infrastructure ขององค์กร

ปี  2015 เราควรจะต้องเตรียมพร้อมอย่างไรบ้างกับเรื่องของ Big Data Analytics

1) องค์กรต้องมี Big Data Strategy: ฝั่งธุรกิจและไอทีคงต้องมาร่วมกันในการวางแผนที่จะนำข้อมูลมาใช้ในการสร้างความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้เข้าใจและคาดการณ์ข้อมูลลูกค้า สินค้า หรือคู่แข่งได้ดีขึ้น โดยต้องสามารถที่จะใช้ข้อมูลจากขั้น Business Intelligence ไปสู่ Predictive Analytics

2) องค์กรต้องมีการวางแผนด้าน Information Infrastructure ใหม่: ข้อมูลในอนาคตจะมีขนาดใหญ่มาก การจะวางโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลขององค์กรให้ขึ้นกับ Database หรือ  Enterprise Datawarehouse (EDW) แต่อย่างเดียวคงไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะค่าใช้จะสูงมาก คงต้องเริ่มพิจารณาเทคโนโลยีอย่าง Hadoop หรือ NoSQL ด้วย

3)  องค์กรต้องเร่งพัฒนาบุคลากรด้านข้อมูล: เทคโนโลยีด้านนี้จะเปลี่ยนไปมาก องค์กรจำเป็นต้องพัฒนาบุคลากรทั้งที่จะเป็น  Chief Data Office, Data Architecture, IT Profeession, BI Analysis และ Data Scientist

ครับเราคงต้องเริ่มที่จะต้องเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุคของ Big Data Analytics  กันแล้ว

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

มกราคม 2558

หนึ่งปีที่ผ่านมากับเรื่องราวเด่นต่างๆของวงการไอทีไทยในมุมมองของผม

Screenshot 2015-01-24 22.30.12

ในรอบปี 2557 มีเหตุการณ์หลายอย่างที่สำคัญต่อวงการไอทีของประเทศไทย ผมคงไม่สามารถจะเขียนสรุปจัดอันดับเหตุการณ์สำคัญในฐานะตัวแทนคนไอทีได้ แต่ผมอยากจะสรุปเรื่องราวต่างๆที่ทางผมและสถาบันไอเอ็มซีได้เจอมาและเห็นว่ามีความสำคัญต่อวงการไอทีในรอบปี 2557 ดังนี้

1) การประกาศนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาล ทันทีที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาประกาศว่าจะเน้นนโยบายเรื่อง Digital Economy เพื่อใช้ไอซีทีมาเป็นรากฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี มรว. ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นผู้รับผิดชอบผลักดันในเรื่องนี้พร้อมกับมีทีมที่ปรึกษาที่เป็นกูรูในวงการไอซีทีที่เป็นคนที่วงการไอทีรู้จักดีเข้ามาช่วย นโยบายนี้ก็ได้สร้างความหวังให้กับคนในอุตสาหกรรมไอซีทีเป็นอย่างมาก เพราะรัฐบาลที่ผ่านๆมาไม่เคยให้ความสำคัญกับด้านนี้มาก่อน จึงเป็นโอกาสอันดีของวงการไอทีที่จะนำเสนอเรื่องต่างๆ ทั้งทางด้านธุรกิจและกฎหมาย ข้อสำคัญเราก็เห็นความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลนี้ในการทำ Digital Economy ที่ต่างกับรัฐบาลนักการเมืองส่วนใหญ่ที่มักออกนโยบายสวยหรูทแต่ไม่เคยปฎิบัติจริง โดยล่าสุดรัฐบาลก็ผ่านความเห็นชอบร่างพรบเปลี่ยนชื่อกระทรวงไอซีทีเป็นกระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพื่อนำเสนอสภานิติบัญญติแห่งชาติ พร้อมทั้งยังมีนโยบายและโครงการอื่นๆอีกมาก จนมีบางท่านบอกว่าโอกาสดีๆอย่างนี้มีไม่บ่อยนักคนไอซีทีอยากจะเสนออะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติควรรีบทำ เพราะการรัฐประหารไม่ได้มีบ่อยนัก 

ETDA2

2) การรวมตัวของคนไอทีในกิจกรรมการเมือง ปกติคนไอทีมักจะไม่ค่อยยุ่งกับเรื่องทางการเมืองมากนัก แต่ในปีที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มกปปส.ที่ออกมาสนับสนุนให้มีการปฎิรูปก่อนเลือกตั้งโดยมีการชุมนุมต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนและมีกิจกรรมต่างๆมากมาย คนวงการไอทีจำนวนมากก็เข้ามาร่วมในกิจกรรมดังกล่าว หลายๆครั้งจะเห็นคนไอทีมากหน้าหลายตาผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาร่วมกิจกรรม มีตั้งแต่ระดับคนทำงานไปจนถึงเจ้าของบริษัทโดยไม่ได้เกรงกลัวต่ออำนาจภาครัฐ ซึ่งก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าคนไอทีส่วนใหญ่ไม่ได้แค่สนใจแต่เรื่องเทคโนโลยี แต่ถ้าเป็นเรื่องของบ้านเมืองเรื่องความถูกต้องคนไอทีส่วนมากก็ยินดีจะเข้ามาร่วมเพื่อช่วยเหลือประเทศชาติ กิจกรรมที่สำคัญอันหนี่งที่คนไอทีทำคือการจัดรวมตัวกันของกลุ่มวิชาชีพวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และไอซีที ที่จัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มกราคม และมีคนวงการไอทีมาร่วมหลายพันคน

1499623_801929639836621_764316460_n

3) ภาคเอกชนร่วมกันนำเสนอกลยุทธ์ Digital Economy เมื่อรัฐบาลประกาศนโยบาย Digital Economy  คนในภาคเอกชนที่ประกอบด้วยตัวแทนจากสมาคมต่างๆก็จัดระดมความเห็นเพื่อนำเสนอข้อคิดเห็นของภาคเอกชนโดยจัดให้มี Workshop 6-7 ครั้ง และเริ่มประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม จนสุดท้ายได้เป็นข้อเสนอ 4 ด้านของสมาคมสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย (TFIT)  ยื่นต่อภาครัฐบาลและได้แถลงข่าวให้สื่อมวลชนทราบเมื่อต้นเดือนธันวาคม

10361985_398007750346571_3482526127724671760_n

10847902_424636234350389_3483319182901888954_n

4) Start-up ของไทยยังแรงอย่างต่อเนื่อง ปีนี้เป็นอีกปีที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทยที่เป็นกลุ่มบริษัทเกิดใหม่  (Start-up Company) ได้รับความสนใจมากมายจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตามกระแสของกลุ่ม Start-up ทั่วโลก ในปีนี้ยังมีกิจกรรมประกวด Start-up Software จากหลายๆหน่วยงานทั้งจาก  DTAC, AIS, True และ  Samart และยังมีบริษัทไทยหลายๆบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนจากนักลงทุนทั่วโลกอาทิเช่นเช่น Page 365, Computerlogy, ถามครู (Taamkru), OokBee, Wongnai และ  ClaimDi เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอีกมากมายสำหรับกลุ่ม  Start-up ดังที่ทาง Thumpsup สรุปไว้ในรูป

Screenshot 2014-12-29 17.04.51

5) การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารไอทีภาครัฐ ภายหลังการรัฐประหารก็มีคำสั่งของคสช.เปลี่ยนปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศจากคุณสุรชัย ศรีสารคามที่ข้ามมาจากผู้ว่าราชการในกระทรวงมหาดไทยมาเป็นคุณเมธินี เทพมณี ผู้ตรวจราชการของกระทรวงที่ทำงานอยู่กับกระทรวงมายาวนานและเป็นผู้หนึ่งที่มีความเข้าใจและใก้ลชิดกับวงการไอทีดี นอกจากยังมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาต และผู้อำนวยการ NECTEC ก็หมดวาระลง พร้อมทั้งได้ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เป็นนักวิจัยอย่าง ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร เข้ามาดำรงตำแหน่งแทน นอกจากนี้คนในวงการไอทีหลายท่านก็ยังได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาดำรงตำแหน่งที่สำคัญในทางการเมืองอาทิเช่น ดร.โกศล  เพ็ชร์สุวรรณ์ (อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง และอดีตนายกสมาคมโทรคมนาคม) และ คุณสุรางคณา วายุภาพ (ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)) ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  (สนช.)

6) กระแส Big Data กำลังมาแรง ในปีนี้หน่วยงานหลายๆแห่งเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องของ Big Data  มีการจัดสัมมนากันหลายครั้งโดยหน่วยงานต่างๆทั้งจากVendor ภาครัฐและภาคเอกชน ในแง่ของภาครัฐบาลโดยการนำของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (EGA) ก็เริ่มมีการพูดถึงเรื่องของ Open Data ทาง IMC Institute ก็มีจากอบรมหลักสูตรทางด้าน Big Data สำหรับทั้งกลุ่มผู้บริหารและหลักสูตรด้านเทคนิคอย่าง Hadoop Technology โดยมีผู้ผ่านการอบรมร่วม 300 คน

1510488_375876575893022_4906313227950881334_n

7) สมาคมไอทีไทยยังแข็งแกร่งและคุณบุญรักษ์ สรัคคานนท์ขึ้นเป็นประธาน ASOCIO ปีนี้สมาคมคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆอย่างสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) ครบรอบ 25 ปี และได้มีการจัดงานฉลองการครบรอบดังกล่าวมีผู้คนร่วมจำนวนมากทำให้เห็นถึงความสามัคคีและแข็งแกร่งของกลุ่มอุตสาหกรรมไอทีไทย แมัจะมีสมาคมไอทีเกิดใหม่อย่างสม่ำเสมออาทิเช่นล่าสุดในปีนี้มีการจัดตั้งสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ (Thailand Tech Startup Association) แต่ก็จะเห็นได้ทุกสมาคมต่างก็มีจุดมุ่งหมายทีดีเพื่ออุตสาหกรรม และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องรวมตัวกันก็สามารถช่วยงานกันได้เป็นอย่างดี ล่าสุดก็มีการผลักดันจะจัดตั้งสภาไอซีทีโดยมีสมาคมสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย (TFIT) ที่รวมกันถึง 14  สมาคมเป็นผู้เริ่มขับเคลื่อน นอกจากนี้ในปียังมีข่าวดีในวงการอุตสาหกรรมไอทีไทยเมื่อคุณบุญรักษ์ สรัคคานนท์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นนายก ASOCIO  (Asian-Oceanian Computing Industry Organization) นับเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้รับตำแหน่งสำคัญนี้

10670001_387788211368525_6092266115346062879_n

8) สามบริษัทไทยชนะเลิศรางวัล APICTA 2014 Asia Pacific ICT Awards (APICTA) เป็นงานประกวดผลิตภัณฑ์ทางด้านซอฟต์แวร์ของประเทศในกลุ่ม Asia Pacific โดยมีประเทศสมาชิก 16 ประเทศ ในปีนี้จัดขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซียมีบริษัทไทย 3  บริษัทที่ได้รับรางวัลชนะเลิศคือ บริษัท Siam Square Technology จากประเภท Finacial Industry Application; บริษัท EcartStudio จากประเภท Application and Tool Platform และบริษัท Mobility(Stamp) จากประเภท Start-up นอกจากนี้ยังมีทีมที่ได้รางวัล Merit อีกสี่รางวัลคือ Success Strategy Solution Co.Ltd. จากประเภท Retails & Logistic Supply Chain; จากประเภทนักศึกษา 2 รางวัลที่มาจาก ม.มหิดล และ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าบางมด และประเภทนักเรียน 1 รางวัลจากโรงเรียนเซ็นต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์

aptica_thumbnails

9) ตลาด Cloud Computing ในประเทศไทยเริ่มเป็นที่นิยมขึ้น จากที่เราเคยถกเถียงกันว่า  Cloud Computing  จะมาหรือไม่มา ตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าคนไอทีเริ่มเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีนี้มากขึ้น ปีนี้เริ่มเห็นว่าหน่วยงานต่างๆในประเทศมีการนำเทคโนโลยี Cloud Computing มาใช้มากขึ้น มีทั้งการทำ Private Cloud และการใช้ Public Cloud หลายๆหน่วยงานรวมถึงหน่วยงานใหญ่ๆทั้งภาครัฐและเอกชนจัดหาซอฟต์แวร์ที่เป็น SaaS มากขึ้นเช่น Google Apps, Office 365  และ Salesforce ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์จำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่ม Start-up ก็ต่างหันมาใช้ Public IaaS หรือ PaaS แทนการจัดหาเครื่อง Server เอง ยิ่ง Vendor หลายใหญ่ๆอย่าง Microsoft นำซอฟต์แวร์ Office ขึ้น Cloud แล้วก็ยิ่งชัดเจนว่าคนไทยต้องมาใช้ Cloud มากขึ้น

10) ปัญหาการขาดบุคลากรด้านซอฟต์แวร์รุนแรงกว่าเดิม สุดท้ายปัญหาเรื่องการขาดแคลนบุคลากรด้านไอทีก็ยังคงอยู่ และดูเหมือนว่าจะหนักกว่าเดิมเพราะเด็กรุ่นใหม่ๆเริ่มไม่สนใจที่จะเข้าเรียนทางด้านไอทีเหมือนแต่ก่อน จำนวนมากไม่อยากเรียนเขียนโปรแกรม เด็กรุ่นใหม่ที่จบมาและพร้อมที่จะทำงานเลยก็มีไม่มากนัก จำนวนหนึ่งก็สนใจจะเป็น Freelance หรือทำ Start-up ของตัวเอง ทำให้บริษัทซอฟต์แวร์ต่างๆขาดแคลนโปรแกรมเมอร์และต้องแย่งตัวคนทำงานกัน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาทางสถาบันการศึกษาต่างๆก็เริ่มถกกันว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้คงต้องดูกันต่อว่าแต่ละฝ่ายจะช่วยกันอย่างไร

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

ต้องเร่งปฎิรูประบบราชการสู่ยุคดิจิทัล มิฉะนั้นแล้วนโยบาย”ดิจิทัลอีโคโนมี”จะกลายเป็นแค่”มโนอีโคโนมี”

ผมเคยอยู่ในระบบราชการมาเกือบยี่สิบปี ทำงานตั้งแต่เป็นอาจารย์เด็กๆไปจนถึงเข้ามาทำงานบริหาร เมื่อย้ายมาภาคเอกชนก็ยังมีโอกาสไปทำงานกับหน่วยงานราชการเป็นประจำ ผมจำได้ว่าตอนรับราขการผู้ใหญ่มักจะสอนผมว่า “เราจะทำถูกหรือผิด ไม่สำคัญเท่ากับทำให้เอกสารถูกต้อง” ผมว่าราชการเสียเวลาไปมากกับเรื่องของเอกสารและกฎระเบียบ แม้กระทั่งในปัจจุบันราชการเองยังขาดการทำงานเป็นดิจิทัลทั้งวิธีคิดและกระบวนการในการทำงาน พอรัฐบาลนี้บอกว่าจะส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจดิจิทัล  (Digital Economy) มันก็จุดประกายความฝันของผมอีกครั้งหนึ่งที่ภาคราชการกำลังจะเปลี่ยนยุค เมื่อที่ผมเคยฝันเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนรัฐบาลทักษิณจัดตั้งกระทรวงไอซีทีและพยายามผลักดันโครงการไอทีต่างๆ ร่วมทั้งโครงการอย่าง ICT City ในสามจังหวัด แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงไหนส่วนหนึ่งก็เพราะการขาดความเอาจริงจังของนักการเมืองที่ไม่ได้จัดสรรงบประมาณมาให้ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะความคิดที่ไม่เคยเป็นดิจิทัลของภาคราชการเอง

พอเรื่องของดิจิทัลอีโคโนมีเข้ามารอบใหม่ ภาครัฐและภาคเอกชนงวดนี้ก็ระดมความเห็นอีกครั้ง ดูเหมือนคราวนี้ภาครัฐเองจะจริงจังมากกว่าครั้งเก่า คราวนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อและโครงสร้างของกระทรวง แต่ก็ยังมีแนวคิดดีๆและออกมาผลักดันอีกหลายๆเรื่องทั้งทางด้านกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที และก็ยังเห็นข่าวๆจากหลายๆภาคส่วนว่าจะตั้งเร่งปฎิรูปภาคราชการให้เข้าสู่ความเป็นดิจิทัล

แต่บังเอิญมันมีเรื่องของ Uber และก็ Co-Working Space ที่ยังคาใจผมในวิธีคิดของภาคราชการ ผมไม่ได้คัดค้านนะครับว่า Uber  ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย หรือการที่คนต่างชาติมานั่งทำงานใน Co-Working Space มันถูกต้องตามกฎหมาย แต่มันสะกิดผมให้เห็นว่าความคิดของภาคราชการที่ผมเคยทำงานมานี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าโลกจะหมุนเปลี่ยนไปเพียงใด ราชการยังเอากฎระเบียบมากางดูทีละข้อแล้วก็จะบอกว่าทำไม่ได้ และไม่คิดหรอกว่าจะหาแนวทางแก้ไขยังไง ทุกวันนี้เห็นราชการทำงานด้านเอกสารแล้วปวดหัว ต้องส่งหนังสือเวียนกันวุ่นวายไปหมด จะประชุมแต่ละทีก็มีเอกสารหนาเป็นบึกส่งมาให้เปลืองกระดาษ ผมประชุมบางทีเสียเวลากับการรับรองรายงานการประชุมเป็นขั่วโมง การทำงานราชการเสียเวลากับการเขียนหนังสือราชการซักเรื่องเป็นชั่วโมง คนราชการวันนี้ทำงานตามตัวอักษรจะเชิญผมมาประชุม มาบรรยายต้องส่งหนังสือที่เกษียณมาจากผู้มีอำนาจสูงสุดของหน่วยงาน ยังต้องมาถามหาเบอร์เพื่อที่จะส่ง Fax ขอบัตรประชาชนผมเพื่อไปทำเรื่องเข้าประชุมแล้วก็มา  Xerox แล้วก็ต้องให้ลงนามว่าสำเนาถูกต้อง ข้าราชการที่เก่งมีความก้าวหน้าจำนวนหนึ่งคือคนที่เก่งในการเกษียณหนังสือ รู้จักกฎระเบียบและวิธีการปฎิบัติในหน่วยงานอย่างดี แต่ไม่ใช่เรื่องของนวัตกรรมนะครับ

Digital Economy คือการพูดถีงเศรษฐกิจใหม่ จะมีนวัตกรรมอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นอีกเยอะ แต่แน่นอนถ้าจะต้องปฎิบัติตามระเบียบราชการและข้อกฎหมายเราจะต้องตอบทันทีว่า การทำงานหรือทำธุรกิจตามนวัตกรรมใหม่ๆหลายอย่างทำไม่ได้ เพราะขัดระเบียบและข้อกฎหมาย ถ้าภาคราชการไม่เข้าใจและใช้วิธีการทำงานแบบเดิมๆก็คงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะวิธีคิดแบบเดิมๆคือการทำตามระเบียบพอทำไม่ได้ก็ไม่พยายามหาทางช่วยให้เห็นช่องทางที่จะให้ทำได้

Screenshot 2014-12-28 18.12.19

ในเรื่องของ Digital Economy ผมเองก็ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมได้ช่วยกันจัด  Workshop  กันหลายรอบจนนำไปสูjของสมาคมสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศ (TFIT) ดังรายละเอียดตามเอกสารนี้ (ข้อเสนอเพื่อการพัฒนานโยบาย Digital Economy ของ TFIT )  โดยแบ่งเป็นสี่ด้านคือ 1) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2) ด้านธุรกิจและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 3) ด้านการพัฒนาบุคลากร และ 4) ภาครัฐบาล ซึ่งข้อเสนอบางอย่างรัฐบาลชุดนี้ก็ได้วางแผนจะทำแล้ว แต่สิ่งที่ผมห่วงสุดคิอด้านอื่นๆจะไม่ขยับได้เลยถ้า ภาคราชการยังไม่ปฎิรูป และปรับ Mindset ให้เป็นยุคดิจิทัล ถามผมว่าผมอยากเห็นอะไรกับการเปลี่ยนแปลงกับภาคราชการผมอยากเสนอข้อคิดให้เปลี่ยนแปลงดังนี้

1)   คนราชการจะต้องเลิกกลัวการใช้เทคโนโลยี บางท่านอาจเถียงผมว่าข้าราชการก็ใช้  smartphone, Tablet  เล่น Facebook, Line  หรือ YouTube  เป็นประจำ ใช่ครับเราใช้เทคโนโลยีเพื่อความบันเทิงเยอะมาก แต่เราไม่ค่อยใช้เทคโนโลยีในการทำงาน ภาคราชการจำนวนยังไม่กล้าที่จะใช้ e-commerce, Internet Banking  จำนวนมากไม่รู้จักการใช้  File Sharing อย่าง Dropbox, Google Drive  ไม่เคยได้ใช้โปรแกรมอย่าง  Evernote, Google Docs  หรือ Office 365 ข้อสำคัญราชการต้องอย่ากลัวว่าการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจะทำให้ข้อมูลของราชการรั่วไหล จนทำให้เราไม่สามารถที่จะใช้เทคโนโลยีได้เลย

2) ภาคราชการจะต้องปรับกระบวนการทำงานให้เป็นดิจิทัล การทำงานภาคราชการต้องมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้งานมากขึ้น ต้องลดการใช้เอกสาร ระบบดิจิทัลไม่ใช่หมายความว่าแค่การใช้ Word, Excel ส่งอีเมล์หรือการใช้ Line แต่มันหมายถึงทุกขั้นตอนตั้งแต่การขออนุมัติเรื่องต่างๆที่ต้องเป็นระบบดิจิทัล มีการใช้ระบบ Digital Workflow การประชุมที่จะต้องเป็นแบบ paperless มีระบบคลังข้อมูลดิจิทัลในการค้นหาเอกสารต่างๆแทนที่จะต้องมาเก็บแฟ้มเอกสารมากมาย การประชุมก็ต้องเลิกแจกเอกสารหนาๆ ต้องเลิกส่งจดหมายเชิญต่างๆ ส่งหนังสือเวียน หรือมาถามหาเบอร์ fax

3) คนราชการต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในโลกยุคใหม่ ข้าราชการมักจะมีความคิดว่าการทำงานราชการมีความมั่นคง มองการทำงานแบบมีเวลาการทำงานที่แน่นอนตามระบบราชการ ทั้งๆที่วันนี้ โลกกำลังเข้าสู่การไร้พรมแดน ไม่มีขอบเขตเรื่องเวลาการทำงาน เราอยู่ในยุค 24×7 การทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้ คนทำงานอาจอยู่คนที่ละที่ มีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นมากมายได้เสมอโดยที่อาจไม่อยู่ภายใต้กรอบเดิมๆ โลกมีการแข่งขันสูงขึ้น เราต้องเน้นวัดการทำงานของราชการที่ Performance Base มันหมดยุคที่จะต้องลงชื่อเข้าทำงาน เข้าประชุม และต้องลดระบบอาวุโส ต้องทำองค์กรให้แบบราบขึ้น (Flat Organization) มีสายการบังคับบัญชาที่น้อยลง โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ และส่งเสริมให้มีการสร้างนวัตกรรมมากขึ้นในระบบราชการ

4) ภาคราชการต้องปรับบริการประชาชนให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น เราต้องยอมรับว่า e-service ของภาครัฐบ้านเรามีน้อยมาก ที่เด่นๆก็เป็นแค่ระบบการชำระภาษีของกรมสรรพากร บริการส่วนใหญ่ก็เป็นแค่การให้ข้อมูลทางเว็บไซต์ผ่านพีซี บริการที่เป็น Mobile Web หรือระบบอย่าง Government Portal ก็ยังไม่มีมากนัก ทั้งๆที่เรามีการลงทุนซื้อโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีมาก แต่ก็ติดกฎระเบียบหลายๆอย่างที่ออกมานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจการขอบริการต่างๆจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการจดทะเบียนธุรกิจการค้า การขอคืนภาษี การประมูลจัดซื้อจัดจ้าง การบริการกรมที่ดิน ของบ้านเราจะใช้เวลานานกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนและเต็มไปด้วยการขอเอกสารที่ซ้ำซ้อนไปหมด ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ควรหมดไปหากจะก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

5) ภาคราชการต้องเปิดกว้างในเรื่องข้อมูล หน่วยราชการต้องเปิดกว้างด้านข้อมูลข่าวสาร ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ โดยเฉพาะการทำ Open Data ที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลต่างๆในรูปของดิจิทัลเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ การเปิดข้อมูลนอกจากจะช่วยทำให้เกิดความโปร่งใสในการทำงานแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้ภาคประชาชนนำข้อมูลของรัฐไปสร้างบริการหรือนวัตกรรมใหม่ๆได้ เช่นข้อมูลด้านการจราจร ข้อมูลด้านธุรกิจการค้าต่างๆ ข้อสำคัญภาครัฐต้องตระหนักว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นสมบัติของประชาชนไม่ใช่ข้อมูลของหน่วยงานตัวเอง และต้องเปิดกว้างให้ทุกๆภาคส่วนนำข้อมูลที่ไม่ใช่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่เป็นความลับทางราชการนำไปใช้ได้

6) ภาคราชการต้องเน้นการทำงานแบบร่วมกัน การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ระบบราชการ มันจะทำให้เกิดบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่ากรแชร์ไฟล์ การทำเอกสารร่วมกัน การส่งเอกสารแบบใหม่ผ่านระบบ Cloud  การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแบบใหม่นี่จะเกิดประโยชน์อย่างมากถ้าภาคราชการฝึกการทำงานแบบ  Colaboration จะทำให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น

สุดท้ายถ้าราชการยังคิดแบบเดิม ยังไม่ปรับตัวเองตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในโลกยุคใหม่แล้วผมเชื่อว่าดิจิทัลอีโคโนมีคงไปได้ไม่ถึงไหน เผลอๆคงต้องยืมคำพูดของคุณปรีดา ยังสุขสภาพร ที่เขียนบทความในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่าระวังนะครับ ดิจิตอลอีโคโนมีของเราจะเป็นได้อย่างมากก็เพียง “มโนอีโคโนมี” เท่านั้นเอง

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

Screenshot 2014-12-28 18.22.17

รางวัลชนะเลิศการประกวดซอฟต์แวร์เอเซียแปซิฟิก (APICTA) กับความจริงด้านศักยภาพการแข่งขันอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยบนเวทีโลก

Screenshot 2014-12-13 21.47.44

โซลูชั่นของคุณตกลงเป็นของประเทศไหนกันแน่” ผมถามผู้ประกวดรายหนึ่งเพราะเห็นในเว็บไซต์ระบุ สำนักงานตั้งอยู่หลายๆประเทศ “เรามี Headquarter อยู่ที่สิงคโปร์ แต่มี สำนักงานขายที่ ออสเตรเลีย, มาเลเซีย และอีกหลายประเทศ แต่เราเป็นโซลูชั่นจากศรีลังกา เรามีทีมงานพัฒนาที่นั้น 400 คน” บริษัทซอฟต์แวร์จากศรีลังการายนั้นตอบคำถามผม

ระบบเราติดตั้งใช้งานเกือบทุกธนาคารในปากีสถาน ขายไปทั่วในตะวันออกกลาง และแอฟริกา มีหลายธนาคารใน Dubai ก็ใช้ระบบของเรา เรามีทีมนักพัฒนาซอฟต์แวร์อยู่ที่ปากีสถานมากกว่า 500 คน และเรามี Sales Headquarter อยู่ที่ลอนดอน” ผู้เข้าแข่งขันอีกทีมจากปากีสถานนำเสนอผม

บริษัทเรามีสำนักงานที่สหรัฐอเมริกา และก็ขายสินค้ามามากกว่า 1ล้านชิ้นแล้ว” อีกบริษัทจากประเทศมาเลเซีย

เป็นเรื่องที่ผมได้ยินประจำจากการนำเสนอผลงานประกวด APICTA (Asia Pacific ICT Awards) ของผู้เข้าแข่งขันจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่มาจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอย่าง Australia, Hong Kong, Singapore หรือ Pakistan หลายชาตินอกจากมีการนำเสนอที่ดีแล้ว เรายังเห็นว่าโซลูชั่นของเขาก้าวเข้าไปสู่ระดับสากลจริงๆ เป็นเรื่องปกติที่จะได้ยินโซลูชั่นของเขานำไปขายทั่วโลก มีทีมนักพัฒนาเป็นหลายร้อยคน มีสำนักงานในต่างประเทศ มีเทคโนโลยีในการพัฒนาทีน่าสนใจและมีการทำ R&D ที่ดี

ผมตัดสิน APICTA มาสิบปีเห็นโซลูชั่นของประเทศไทยเข้าประกวดมากมาย และมีหลายผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ซึ่งผมเคยสรุปให้เห็นว่า จากการจัด 14 ครั้งที่ผ่านมาโดยในแต่ละครั้งอาจมีการประกวด 15-17 หมวดเราเคยได้รางวัลชนะเลิศถึง 21 ผลงาน บางท่านดูจากผลงานที่เราได้รางวัล APICTA แล้วอาจจะรีบสรุปว่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทยเจ๋ง เราเก่งกว่าชาติอื่นๆและควรรีบผลักดันให้ซอฟต์แวร์ไทยไปสู่ระดับโลก แต่ถ้าเราไปตามดูผลงานที่ชนะเลิศได้รับรางวัลเราจะพบว่ามีไม่กี่ผลงานที่เราสามารถนำไปขยายตลาดได้ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ แต่บางรายก็อาจจะโชคดีที่ได้เวที APICTA ช่วยผลักดันให้บริษัทมีชื่อเสียงยิ่งขึ้น เราต้องยอมรับครับว่าหลายๆผลงานเราเด่นในการประกวดตรงใจกรรมการ แต่อาจไม่ใช่ผลงานที่มีจำนวนลูกค้าอยู่มาก ข้อสำคัญผู้เข้าประกวดไทยที่ชนะเลิศบางรายอาจได้รับรางวัลเพราะเด่นด้านนวัตกรรม แต่ถ้าถามถึงความเข้มแข็งของทีมนักพัฒนา และความเป็นไปได้ในการขยายตลาดยังเป็นไปได้ยาก แม้ระยะ 3-4 ปีหลังเราเริ่มเห็นผลงานที่เราชนะเลิศมีโอกาสในตลาดต่างประเทศมากขึ้น และเป็นผลงานชนะเลิศที่มีความโดดเด่นจริงๆ แต่เมื่อเทียบกับโซลูชั่นของประเทศอื่นๆแล้วเรายังสู้ในแง่ของการตลาดไม่ได้ และอาจขาดนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในการขยายให้โตขึ้น

ปัญหาที่บริษัทซอฟต์แวร์เราสู้เขาไม่ได้ส่วนหนึ่งเราต้องยอมรับครับว่า เราขาดความเป็นสากล การนำเสนอโซลูชั่นเราไม่ว่าจะวิธีการพูด การทำเว็บไซต์ การทำเอกสาร เราสู้ชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักไม่ได้ อีกข้อหนึ่งเราขาดนักพัฒนาซอฟต์แวร์ครับ การมีนักพัฒนาซอฟต์แวร์จำนวนนับร้อยคนในบริษัทของประเทศอื่นๆที่มาประกวดบางทีเป็นเรื่องปกติขณะที่บริษัทของเราพูดกันเป็นหลักสิบเท่านั้น อีกอย่างการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆของเขาเป็นเรื่องปกติ เราจะเห็นซอฟต์แวร์มีการนำเทคโนโลยีอย่าง RESTful, Cloud หรือเทคนิคการพัฒนาซอฟต์แวร์ล่าสุดต่างๆมาใช้ในโซลูชั่นอย่างกลายเป็นเรื่องธรรมดา อาจเป็นเพราะว่าเขามีทีมงาน R&D ในบริษัท ข้อสำคัญอีกประการคือบริษัทของเขามีเป้าหมายการตลาดและจำนวนลูกค้าทั้งภายในประเทศและออกตลาดต่างประเทศที่ชัดเจน

ผมอยากสรุปให้เห็นว่าประเทศต่างๆที่มาแข่ง APICTA แต่ละแห่งมีความโดดเด่นอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางให้เราต้องเร่งพัฒนาคนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ถ้าเราหวังว่าจะแข่งในระดับสากลได้ในอนาคต แต่อย่าหวังนะครับว่าจะสร้างนโยบายแบบนักการตลาดเป็น Quick Win เพราะการสร้างคนต้องใช้เวลาครับ ไม่ใช่จะประสบความสำเร็จได้ทันที

  • Australia ต้องยอมรับเรื่องนวัตกรรมที่ค่อนข้างเด่นของเขา เขามีการนำเสนอที่ดี มีตลาดในระดับโลก ข้อสำคัญตลาดในประเทศเขาเองด้านซอฟต์แวร์ก็ขนาดใหญ่มาก
  • Hong Kong เขาถูกฝึกมาให้เป็นนักธุรกิจ ตลาดเขาค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะตลาดขนาดใหญ่ในประเทศจีน แม้แต่ในฮ่องกงเอง ตลาดก็ค่อนข้างใหญ่มาก จุดเด่นอีกอย่างของเขาคือการทำ R&D และการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาพัฒนาซอฟต์แวร์
  • Malaysia เขามีการผลักดันจากภาครัฐที่ดี บริษัทมีการวางแผนการตลาดที่ดี มีหลายๆแห่งที่บุกตลาดในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ หรือแม้แต่ในเอเซีย และเนื่องจากเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษทำให้มีการนำเสนอผลงานที่ดี อีกอย่างบริษัทของเขามีนักพัฒนาซอฟต์แวร์จำนวนมาก
  • Singapore บริษัทจากประเทศนี้มีความเป็นสากลมาก เขามองตลาดในระดับโลก มีการทำแผนการตลาดที่ดี ข้อสำคัญโซลูชั่นเขาจะใช้นวัตกรรมที่ค่อนข้างเด่น
  • Sri Lanka ค่อนข้างแปลกที่เวลาเห็นบริษัทในศรีลังกาจะมีนักพัฒนาซอฟต์แวร์จำนวนมาก มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เขามุ่งบุกตลาดค่อนข้างชัดในกลุ่มประเทศทีใช้ภาษาอังกฤษ
  • Pakistan เป็นอีกประเทศที่บริษัทแต่ละแห่งมีขนาดใหญ่ หลายๆบริษัทมีสำนักงานในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา มีลูกค้าในตะวันออกกลางและแอฟริกา
  • Taiwan บริษัทจะเด่นเรื่องนวัตกรรมและมีตลาดชัดเจนที่จะมุ่งไปที่ลูกค้าในประเทศจีน

แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็ใช่ว่า บริษัทซอฟต์แวร์ไทยจะสู้ประเทศอื่นๆไม่ได้ เรายังเด่นกว่าประเทศอย่าง

  • Vietnam ที่แม้ว่าจะมีจำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์อยุ่มาก แต่บริษัทส่วนใหญ่ยังเป็น SI หรือทำ Outsourcing ทำให้ไม่ได้มีโซลูชั่นที่เด่นชัด
  • Indonesia ผลงานยังไม่โดดเด่นกว่าบริษัทบ้านเรานัก แต่เขาอาจได้เปรียบเรื่องภาษาอังกฤษที่ดีกว่า แต่เรายังมีความเด่นกว่าเรื่องจำนวนนักพัฒนาและขนาดของตลาดในประเทศ ข้อสำคัญโซลูชั่นเขาก็ไม่ได้บุกไปต่างประเทศมากมายนัก
  • Brunei, Macau สองประเทศนี้ยังเล็กเกินไป และมีจำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์และบริษัทไม่มากนักส่วนประเทศอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึงอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลี หรืออินเดีย เขาถือว่าเขาอยู่ในระดับโลกและไม่ได้เข้ามาร่วมประกวด APICTAการประกวดมันคือเกมส์การแข่งขันอย่างหนึ่งที่อาจไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงในอุตสาหกรรมมากนัก เรามีนักเรียนไทยที่ได้เหรียญทองการแข่งขันโอลิมปิควิทยาศาสตร์เป็นประจำทุกปี แต่ก็ต้องยอมรับกันว่าโดยเฉลี่ยนักเรียนบ้านเราอ่อนทางด้านวิทยาศาสตร์ เราขาดการลงทุนและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ที่ดี เช่นเดียวกันครับเราอาจได้รางวัลการประกวดซอฟต์แวร์มากมาย มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์หลายคนเก่งระดับโลก แต่ก็ใช่ว่าโดยเฉลี่ยอุตสาหกรรมด้านนี้เราเข้มแข็ง และก็ไม่ใช่ว่าเรามีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพจำนวนมากสุดท้ายอยากจะบอกว่าเราเองก็มีหลายบริษัทที่มีความโดดเด่น โดยเฉพาะบริษัทที่เป็น Start-up แต่ถ้าจะสร้างอุตสาหกรรมด้านนี้ให้โตเราต้องเน้นการพัฒนาให้ถูกทาง สิ่งที่สำคัญในวันนี้ที่จำเป็นอย่างยิ่งคือการพัฒนานักซอฟต์แวร์ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ทุกวันนี้เราหานักพัฒนาซอฟต์แวร์ดีๆได้ยากขึ้นเรื่อย จำนวนคนเรียนทางด้านนี้ก็น้อยลงทุกๆปี มันคือวิกฤตของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ เพราะงานทางด้านนี้คือเราจะต้องอาศัยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญจำนวนมากพอ ถ้าเราไม่มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพมากพออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เราจะโตได้อย่างไร

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

Screenshot 2015-01-25 18.22.23