Open Government Data กับการปฎิรูปประเทศไทย

กระแสการปฎิรูปประเทศไทยมีการพูดถึงกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมของกปปส.จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารของคสช.และกำลังจะมีการตั้งสภาปฎิรูปขึ้น โดยตั้งเป้าหมายที่จะปฎิรูปไว้ 11 ด้าน ซึ่งส่วนหนึ่งก็จะเน้นถึงปัญหาที่เกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นในบ้านเราที่เป็นรากฐานของปัญหาต่างๆ หลายๆคนมองว่าการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลา ในแง่ของคนไอทีเรามองว่าการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการทำงานจะมีส่วนช่วยในการสร้างธรรมภิบาลในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของ  “Open Data” แต่เมื่อไปพิจารณาโครงสร้างการปฎิรูปที่วางแผนไว้ทั้ง 11  ด้านจะเห็นได้ว่าเราไม่มีการพูดถึงเรื่องไอทีเลยทั้งๆที่เป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุดในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ

UN E-Government Index

หากเราได้ศึกษาการสำรวจด้าน E-Government ขององค์การสหประชาชาติที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2001  จากรายงาน United Nation E-Government Survey ที่ออกมาทุกสองปี เราจะเห็นได้ว่าบริบทของการสำรวจ เปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีและการสร้างธรรมาบิบาล รวมถึงพิจารณาการมีส่วนรวมของภาคประชาชนดังแสดงในรูปที่ 1  ที่เราจะเห็นได้ว่าในครั้งแรกปี 2001  E-Government อาจจะเน้นเรื่องของการพัฒนาเว็บไซต์ของภาครัฐ แล้วเปลี่ยนมาเน้นในเรื่องของการใช้  Social Media ของภาครัฐในปี 2004/2006 และกลายมาเป็นเรื่องของ Cloud Computing/Smartphone ในปี 2010 และรายงานล่าสุดการสำรวจจะเน้นเรื่องของ Open Government Data/Linked Data

e-GovSurvey

รูปที่  1 การสำรวจ UN E-Government Survey

ผลการสำรวจด้าน E-Government ขององค์การสหประชาชาติก็จะสอดคล้องกับดัชนีความโปร่งใสของประเทศ ซึ่งเราจะพบว่าประเทศที่มีอัตราการคอร์รัปชั่นน้อยก็จะมีอันดับ E-Government ที่สูง ซึ่งการสำรวจล่าสุดในปี 2014 ก็จะเน้นเรื่อง Big Data และ  Open Government Data และพบว่าประเทศที่มีการเปิดข้อมูลในภาครัฐก็จะมีคะแนนค่อนข้างสูง โดยประเทศเกาหลีใต้ก็มีอันดับที่หนึ่งอย่างต่อเนื่องมาสามสมัยทั้งนี้เพราะประเทศเขาได้ปรับระบบ E-Government มาตลอดเพื่อเน้นให้เกิดการทำงานภาครัฐที่รวดเร็วและโปร่งใส ส่วนประเทศไทยเราจะพบว่าอันดับด้าน E-Government ของเราตกลงมาตลอด ส่วนหนึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาครัฐ แต่เป็นเพราะดัชนีการคอร์รัปชั่นของประเทศสูงขึ้น ก็ทำให้การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นไปได้ยาก เพราะผู้บริหารประเทศก็ย่อมไม่อยากให้เกิดการตรวจสอบโดยง่า เราจะเห็นได้ในรูปที่ 2  ว่าประเทศไทยมีอันดับด้าน E-Government ตกลงมาในอันดับที่ 102 และมีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกและภูมิภาคเอเซีย

Thailand-Index

รูปที่  2 E-Government Index ของประเทศไทย

Open Government Data

Open Government Data (OGD) คือการความพยายามของทั่วโลกที่จะเปิดข้อมูล (และ Information) ของรัฐบาลและองค์กรสาธารณะต่างๆซึ่งไม่ใช่ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาขน ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเปิด (Open Format) ไม่ใช่มาตรฐานเฉพาะ (Proprietary format)  เพื่อคนหรือหรือเครื่องคอมพิวเตอร์อ่านได้ แล้วนำไปใช้หรือต่อยอดในการพัฒนาข้อมูลอื่นๆต่อไปได้  การเปิดข้อมูลจะเป็นการลดอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลของภาคประชาชนและยังช่วยทำให้เกิดการนำไปใช้ในด้านอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อไป

UNData

รูปที่  3 เว็บไซต์ data.un.org

ในปัจจุบันมีหลายๆประเทศและองค์กรที่พยายามสร้าง Open Data  อาทิเช่นองค์การสหประชาชาติได้สร้าง Portal ที่ชื่อ data.un.org หรือทางสหราชอาณาจักรก็มีเว็บไซต์อย่าง data.gov.uk ที่มีข้อมูลของภาครัฐด้านต่างๆรวมถึงข้อมูลการใช้จ่ายของภาครัฐ และก็มีการนำข้อมูลไปพัฒนา Application ต่างๆถึง  300 กว่า  App ประเทศในเอเซียหลายๆประเทศทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ต่างก็พัฒนา Portal สำหรับ  Open Data  หลายประเทศก็ได้ออกกฎหมายให้มีการเปิดข้อมูลภาครัฐให้เป็นมาตรฐานที่คนอื่นๆอ่านได้ ทางสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโอบามาก็ได้ประกาศนโยบาย Open Data เมื่อเดือนพฤษภาคม  2013 และมีการประกาศเรื่อง  Data Act  ในเดือนพฤษภาคม  2014

UKData

รูปที่  4 เว็บไซต์ data.gov.uk

หลักการของ OGD จะมี 8 ด้านดังนี้

  • Completeness ข้อมูลภาครัฐทั้งหมดที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลหรือความมั่นคงจะต้องถูกเปิด
  • Primacy ข้อมูลที่จะถูกเปิดจะเป็นรูปแบบเดียวกับที่ถูกเก็บไว้ โดยไม่มีการปรับปรุงและแก้ไขก่อนเปิด
  • Timeliness ข้อมูลจะถูกเปิดโดยทันทีทันใด
  • Ease of Physical and Electronic Access ข้อมูลถูกเปิดเพื่อให้ผู้ใช้ที่หลากหลายและมีจุดประสงค์ต่างกัน
  • Machine readability  ข้อมูลจะต้องอยู่ในรูปแบบที่นำไปประมวลผลได้โดยอัตโนมัติ
  • Non-discrimination ทุกคนสามารถนำข้อมูลไปใช่้ได้ โดยไม่ต้องมีการลงทะเบียนผู้ใช้
  • Open formats ข้อมูลต้องเป็นมาตรฐานที่เปิด
  • Licensing  ข้อมูลจะต้องไม่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ในการใช้งาน

ประโยชน์ของ Open Government Data

การทำ OGD นอกเหนือจากการสร้างความโปร่งใสและทำให้เกิดธรรมาภิบาลในการบริหารงานภาครัฐ เพราะข้อมูลของภาครัฐในด้านต่างๆเช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การใช้จ่ายเงินงบประมาณ ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ยังทำให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกดังแสดงในรูปที่ 5  คือการช่วยทำให้บริการของรัฐดีขึ้นอาทิเช่น การเปิดเผยข้อมูลจราจรทำให้เกิดบริการสาธารณะที่ดีขึ้น การเปิดเผยข้อมูลอาชญกรรมก็จะช่วยลดปัญหาต่างๆ ดังแสดงตัวอย่างของการสร้าง Mobile App ที่เป็นประโยชน์จากการเปิดข้อมูลในประเทศอังกฤษดังแสดงในรูปที่ 6

OpenDataBenefit

รูปที่  5 ประโยชน์ของการทำ Open Government Data

UKApp

รูปที่  6 ตัวอย่างการบริการภาครัฐที่ดีขึ้นจาก OGD ของสหราชอาณาจักร

นอกจากนี้ OGD ยังทำเกิดธุรกิจต่างๆขึ้นมากมายและเป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยมีรายงานระบุว่าการทำ  OGD ในกลุ่มประเทศยุโรปทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 4 หมื่นล้านยูโรต่อปี การเปิดข้อมูลพยากรณ์อากาศในสหรัฐอเมริกาทำให้เกิดบริษัทใหม่ๆถึง 400 บริษัทและมีการว่าจ้างงานใหม่ถึง  4,000  ตำแหน่ง สำหรับประเทศสเปนการเปิดข้อมูลทำให้เกิดธุรกิจถึง 600 ล้านยูโรและตำแหน่งงานใหม่มากกว่า 500 ตำแหน่ง

ล่าสุดการเลือกตั้งประธาธิบดีในประเทศอินโดนีเซีย ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งของเขาได้เปิดข้อมูลการนับคะแนน ทำให้เกิดการเลือกตั้งที่โปร่งใสยิ่งขึ้นและเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า  Crowdsourcing ที่ภาคประชาชนจากที่ต่างๆมาร่วมกันตรวจสอบและนับคะแนนการเลือกตั้ง

บทสรุป

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า ถ้าเราจะปฎิรูปประเทศไทย และให้เกิดความโปร่งใส แล้วยังได้บริการภาครัฐที่ดีขึ้น รวมถึงประโยชน์เชิงธุรกิจ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องผลักดันให้เกิดกฎหมาย Open Government Data   ที่สอดคล้องกับหลักการทั้ง  8 ข้อของการเปิดข้อมูลภาครัฐ

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

สิงหาคม 2557

บุคลากรไทยกับความพร้อมสู่การเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์

ต้องยอมรับว่าไม่ได้เขียนบล็อกมานานมาก อาจเพราะนอกจากวุ่นกับงานและสถานการณ์บ้านเมืองทำให้ไม่มีเวลาจะมาเขียนบล็อกหรือบทความแม้จะถูกทวงถามมาหลายครั้งแล้วก็ตาม มาช่วงนี้เริ่มว่างขึ้นและก็มีโอกาสเข้าไปบรรยายพูดคุยกับสถาบันการศึกษาและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์มากขึ้น ตลอดจนได้อ่านความเห็นต่างๆทาง Social Media เกี่ยวกับบุคลากรทางด้านไอที ก็มักจะได้ยินปัญหาเดิมว่า “สถาบันการศึกษาผลิตคนไม่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม” “บริษัทหาคนเข้าทำงานได้ยากมาก” แต่ขณะเดียวกันก็กลับได้ข่าวมาอีกด้านว่าหนึ่งในสาขาที่มีบัณทึตตกงานมากที่สุดก็คือทางด้านคอมพิวเตอร์

ดูข้อมูลอย่างนี้แล้วมันเหมือนกับว่า Demand และ Supply ไม่สอดคล้องกัน อุตสาหกรรมก็บ่นว่าหาคนไม่ได้ เด็กที่จบมาก็บ่นว่าหางานทำไม่ได้ สถาบันการศึกษาก็ตั้งหน้าผลิตบัณฑิตออกมา บังเอิญสัปดาห์ก่อนได้มีโอกาสร่วมวงเสวนากับคณาจารย์ด้านวิศวกรรมและวิทยาการคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยชั้นนำ และเอกชนที่ต้องการบัณฑิต มาถกปัญหากันเรื่องนี้ ผมฟังแล้วเลยสรุปเองว่า จริงๆหลักสูตรของสถาบันการศึกษาดีๆส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ผิดอะไร เราทำตามมาตรฐานสากล แต่เราผิดที่ไปตั้งความคาดหวังสูงเกินไป เราทำตัวเป็นนักการตลาดพยายามจะสร้างภาพว่า เราจะก้าวเป็นผู้นำอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์โลกโดยไม่ดูความจริง เลยรับนักศึกษามามากไปบนความไม่พร้อม

คุณภาพของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา

ผมจบมหาวิทยาลัยสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าในปี 2529 สมัยนั้นมีคณะวิศวกรรมศาสตร์อยู่เพียงแค่ 8 สถาบันรวมบัณฑิตทางด้านทั้งหมดไม่เกิน 2 พันคน ผมเองจบมาก็ไม่ได้มีความพร้อมหรือมีทักษะตรงกับที่อุตสาหกรรมต้องการทันที จบไปก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมครับ และถ้าพูดถึงทางด้านคอมพิวเตอร์ผมก็เรียนมาแค่วิชาเดียวคือ การเขียนโปรแกรมภาษา  Fortran IV  สมัยนั้นยังเจาะบัตรอยู่เลยครับ เครื่องเป็นแบบในรูปนั้นละครับ มาปีสุดท้ายถึงจะเริ่มเห็นเครื่องพีซีเครื่องแรก แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้จากหลักสูตรคือวิขาคณิตศาสตร์ ที่เรียนมา 8-9 วิชา และก็ผมถูกสอนให้เรียนรู้เพิ่มเติมครับ คือ Learn to Learn ก็ไม่ต้องแปลกใจครับ แม้ผมจะเรียน Programming มาตัวเดียว แต่เพราะพื้นฐานคณิตศาสตร์ที่ดีืทำให้ผมสามารถเขียนโปรแกรมภาษาใหม่ เรียนรู้วิชาตามเทคโนโลยีใหม่ๆได้ดี มาวันนี้พอพูดถึงการเขียนโปรแกรมบน  Cloud Computing   หรือ Hadoop Big Data ผมก็ยังเขียนได้อยู่

NEAC220

 รูปที่ 1 เดรื่องคอมพิวเตอร์ NEAC 2200 / 200 

ผมสอนนักศึกษามาเกือบ 30 ปีและวิชาหนึ่งที่สมัยก่อนสอนนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์เป็นประจำก็คือวิชา Basic Programming ที่เราเปลี่ยนภาษามาสอนตลอดจาก Fortran เป็น Pascal  เป็น  C เป็น C++ เป็น  Java แต่ไม่ว่าจะสอนภาษาอะไรก็ตาม พอตัดเกรดนักศึกษาที่ไรก็ตกเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่ตอนนั้นนักศึกษาเราเมื่อเทียบกับสถาบันอื่นๆใก้ลเคียงกันจัดอยู่ในกลุ่มค่อนข้างเก่ง แต่เมื่อตอนหลังๆพอเราเริ่มมีการรับนักศึกษามากเข้า สถาบันการศึกษาหลายๆแห่งที่มีคะแนนสูงกว่าเพิ่มจำนวนรับนักศึกษา จำนวนนักศึกษาวิศวฯที่ตกวิชา Basic Programming ก็เพิ่มขึ้นตาม บางครั้งเกือบ 50% บางทีเราก็ต้องชี้แจงให้ฟังว่า ทีมที่สอนไม่ได้โหด ข้อสอบก็เหมือนเดิมเผลอๆง่ายกว่าสมัยก่อนด้วยซ้ำไป แต่เรารับนักศึกษามาเยอะไปและนักศึกษาอ่อนวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเขียนโปรแกรม ดังนั้นไม่แปลกใจข้อสอบที่ออกให้หาค่าเฉลี่ยหรือผลรวมข้อมูลบางอย่างนักศึกษาจะทำไม่ได้ ก็เพราะนักศึกษาไม่เข้าใจเรื่อง ตรรกะศาสตร์ อนุกรม ดีพอ แล้วจะเขียนโปรแกรมได้อย่างไร

ยิ่งเมือเห็นคะแนนคณิตศาสตร์ของเด็กไทยที่ตกยกชั้น ก็ยิ่งไม่แปลกใจหรอกครับว่าทำไมเด็กเราถึงมาเป็น Programmer ไม่ได้ ก็คณิตศาสตร์เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาโปรแกรม แต่ทางแก้ของเรากลับเป็นว่า นักศึกษาเรียนไม่ไหวก็ลดวิชาทางคณิตศาสตร์ไป จัดหลักสูตรให้ง่ายขึ้นเอาคนนอกวงการศึกษาที่ไม่ได้พัฒนาซอฟต์แวร์มาพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาซอฟต์แวร์ อ้างว่าต้องการให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมทั้งๆที่หลักสูตรพื้นฐานเป็นเรื่องจำเป็น เราไม่สามารถที่จะสอนเพียงเพื่อให้รู้อะไรเพียงผิวเผิน หรือฝึกทำตาม Tool บางอย่างได้ พอเทคโนโลยีเปลี่ยนไปเราจะพบว่าคนเหล่านั้นก็จะทำงานไม่ได้เพราะขาดพื้นฐานการเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ดีพอ

ins01

 รูปที่ 2 จำนวนวิชาคณิตศาสตร์ที่มาตรฐานหลักสูตร ACM ให้ศึกษา

อีกประเด็นที่สำคัญคือปัจจุบันอุดมศึกษามีตัวชีวัดที่จำนวน ตอนหลังเราตั้งเกณฑ์มาว่าสถาบันการศึกษาจะต้องไม่ตกออกเยอะ จำนวนผู้สำเร็จการศึกษาต้องมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงเมื่อเทียบกับจำนวนนักศึกษาที่รับเข้ามา ดังนั้นอาจารย์ยิ่งไม่กล้าที่จะทำให้นักศึกษาสอบตกวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นจำนวนมากๆ เพราะกลัวจะตกคะแนนตัวชี้วัด ซึ่งต่างกับสมัยก่อนที่หลายๆวิชามีนักศึกษาตกเกือบยกชั้นทั้งๆที่คุณภาพนักศึกษาเก่งกว่าปัจจุบัน ยิ่งในช่วงหลังเมื่อสาขาไอทีได้รับความสนใจมากขึ้น สถาบันการศึกษาต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างก็เปิดหลักสูตรทางด้านไอทีและเพิ่มจำนวนรับ มีทั้งสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ สารสนเทศ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ เกม แอนนิเมชั่น สารพัดชื่อที่คิดมาได้ แต่พอมาดูเนื้อหาและผู้สอนแล้วก็ไม่แน่ใจว่ามีคุณภาพดีพอที่จะเปิดไหม

จำนวนบัณฑิตและสถาบันอุดมศึกษาด้านไอที

ปัจจุบันเรามีสถาบันอุดมศึกษาร้อยกว่าแห่งที่เปิดรับนักศึกษาทางด้านไอที รับนักศึกษาต่อปีมากกว่า 20,000 คน คำถามจึงมีว่าเรารับคนมาเยอะเกินไปหรือเปล่า? เรากำลังคิดว่าคนทุกคนสามารถจบมาทำงานด้านไอทีได้ สามารถจบมาเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ได้ เราคิดว่าคนทุกคนเขียนโปรแกรมได้ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง คนทุกคนไม่สามารถเป็นหมอได้ ไม่สามารถเป็นนักดนตรีหรือนักกีฬา แต่ละอาชีพต้องการคนที่มีทักษะและพื้นฐานความรู้ที่ต่างกัน  ถ้าเรารับนักศึกษามาเยอะๆแล้วตั้งตัวชี้วัดว่าจะต้องมีเปอร์เซ็นต์จบออกไปจำนวนมากๆ ก็ไม่แปลกใจหรอกครับที่เราจะเห็นบัณฑิตที่ไม่มีคุณภาพจบออกไปจำนวนมาก สมัยที่ผมยังสอนหนังสือในสถาบันอุดมศึกษาอยู่และเราเริ่มรับนักศึกษามาเยอะไป ผมยังจำคำพูดของอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกไว้ว่า “ผมไม่สามารถสอนลิงชิมแปนซีให้เป็นวิศวกรได้” ก็เพราะตอนนั้นท่านบอกว่าเรารับคนมาง่ายไป คะแนนแค่ 20-30%  ก็เข้าได้แล้ว โดยไม่ดูคะแนนวิชาพื้นฐานต่างๆ

ในปัจจุบันถ้าเราแบ่งกลุ่มของอุดมศึกษาด้านไอทีออกมาตามคุณภาพของนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ เราอาจแบ่งได้สามกลุ่ม

  • กลุ่ม  Top คือสถาบันที่มีภาควิชาที่มีนักศึกษาพร้อมที่จะเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์กลุ่มนี้มีไม่เกิน 10 แห่ง กลุ่มนี้นักศึกษาส่วนมากเก่งจำนวนรวมกันอาจประมาณไม่เกิน  1.000 คน แต่พบว่าจำนวนมากเมื่อจบออกมาก็ไม่ได้ทำงานด้านไอที และหลายๆคนไปศึกษาต่อสาขาอื่น
  • กลุ่มระดับกลางอาจมีประมาณ 20  แห่ง ซึ่งจะได้นักศึกษาที่มีคุณภาพพอใช้ได้ในห้องประมาณ  20-30%ซึ่งจำนวนคนเหล่านี้มีประมาณรวมกันซัก  1,000 คน แต่ที่เหลือก็ไม่เก่งพอและขาดพื้นฐานที่ดี
  • กลุ่มสุดท้ายซึ่งเป็นสถาบันส่วนใหญ่ที่เปิดสอน จะมีนักศึกษาที่มีคุณภาพน้อยมาก บางทีทั้งห้องหานักศึกษาที่พร้อมจะทำงานและเรียนทางด้านไอทีไม่เกิน 3-5  คนในชั้นเรียน

จากจำนวนที่กล่าวมาจะเห็นว่ารวมๆต่อปีเรามีบัณฑิตที่พร้อมจะเข้าสู่วิชาชีพประมาณ 2  พันคนแต่เราเล่นผลิตบัณฑิตด้านนี้ออกมาเป็นหมื่น ดังนั้นจึงไม่แปลกใจหรอกครับว่าทำไม บัณฑิตจำนวนมากไม่มีคุณภาพ ไม่เก่ง และบางทีเราก็ได้ยินบ่อยๆว่าจบไอทีเขียนโปรแกรมไม่เป็น บางครั้งก็เป็นแค่  Superuser หลักสูตรของสถาบันในกลุ่ม Top ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอกครับ บัณฑิตอาจไม่ได้พร้อมทำงานทันทีแต่พอเขามีพื้นฐานที่ดี เขาก็พร้อมจะปรับตัวเรียนรู้สิ่งใหม่ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงของเด็กเก่งคือแนวคิดที่เปลี่ยนไป การเปลี่ยนงานง่าย ความซื่อสัตย์และจริยธรรมที่น้อยลง ส่วนหนึ่งก็เพราะสังคมที่เปลี่ยนไปและเขาเห็นแบบอย่างที่ไม่ดี

ความต้องการบัณฑิตของภาคเอกชน

ผมมีโอกาสสอนคนมาเป็นจำนวนมาก หลังๆเปิดสอนหลายหลักสูตร มีโอกาสไปบรรยายให้กับสถาบันต่างๆจำนวนมาก เคยสอนทั้งอาจารย์ บัณฑิต คนทำงานและนักศึกษา ยอมรับครับว่าคุณภาพของบุคลากรด้่นไอทีเราน่าเป็นห่วง แต่จะโทษสถาบันอุดมศึกษาฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกครับ ภาคเอกชน อุตสาหกรรมเองเราก็มีความต้องการที่ไม่ถูกต้องหนัก เราจะพบว่าอุตสาหกรรมไอทีเราเป็น Follower  ที่ค่อนข้างช้ามาก

เราตามแนวโน้มของเทคโนโลยีไม่ทันในด้านการวิจัยและพัฒนา เราต้องการบัณฑิตที่ไม่ได้   Hi-Tech  อะไรมากมายหรอกครับ จึงไม่แปลกที่บัณฑิตเก่งๆในสถาบัน  Top   จบออกมาเมื่อได้งานทำไม่ตรงกับความถนัดของตัวเอง เขาก็ต้องออกมาเป็น Freelance ทำงานเอง เปิด  Start-up เอง แม้จะมีบริษัทชั้นนำที่ทำซอฟต์แวร์บางแห่งก็ใช้เทคโนโลยีชั้นนำแต่กลุ่มเหล่านี้ก็มีจำนวนจำกัด ซึ่งบัณฑิตเก่งๆเข้าไปทำงานเมื่อได้เรียนรู้เทคโนโลยีเหล่านี้ บางทีก็จะย้ายงานเพื่อให้ได้รายได้และโอกาสที่ดีกว่า

แต่บริษัทจำนวนมากยังไม่ได้ตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป จึงต้องหาคนเข้าทำงานจากบัณฑิตในสถาบันกลุ่มที่สองหรือสามและเมื่อถามว่าต้องการบัณฑิตไปทำอะไรก็จะพบว่าไปเขียน  Web Programming ที่ไม่ซับซ้อนนักเป็น  Java, PHP ที่อาจไม่ท้าทายกับกลุ่มแรกนัก แต่กลุ่มที่สองก็พอทำได้บ้างแต่ต้องเรียนรู้อีกมาก เราจึงเจอโจทย์บ่อยว่าหาคนไม่ได้ และเมื่อคนเหล่านี้เริ่มเก่งขึ้นก็อยากทำงานที่ท้าทายกว่าเดิม

TDRI-SWEng

รูปที่ 3 ข้อมูลจาก TDRI ประมาณการจำนวนบุคลากรในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และบริการในประเทศไทย ในปี 2556

ข้อมูลจาก TDRI  เมื่อเร็วๆนี้ระบุว่าประเทศไทยมีพนักงานด้านพัฒนาซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ไม่เกิน  40,000  คน ซึ่งถ้าดูจำนวนบัณฑิตที่จบมาในสาขานี้จะไม่แปลกใจที่พบว่า จำนวนมากไม่เข้าสู่อุตสาหกรรม ทั้งนี้ก็เพราะว่าแต่ละปีมีเพียงแค่ไม่กี่พันคนที่จะทำงานได้

แนวทางการแก้ปัญหา

จากที่กล่าวมาทังหมดนี้ ปัญหาอยู่ที่เราไม่อยู่กับความจริง ไม่อยู่กับข้อมูลและตัวเลข เราไปสร้างภาพและการตลาดว่าเราจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไงละครับในเมื่อเด็กเราอ่อนคณิตศาสตร์ บัณฑิตเราเขียนโปรแกรมไม่เป็น มีบัณฑิตที่มีคุณภาพจำนวนไม่เกิน  2 พันคนต่อปี ทางแก้ก็คือยอมรับความจริงและวางแผนสร้างคนในอนาคต

  • เราต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านนี้ตามแนวทางทีถูกต้อง ถ้าต้องการโปรแกรมเมอร์มากๆในระยะนี้เราอาจต้องไปทำในต่างประเทศหรือต้องออกกฎหมายให้เอื้อต่อโปรแกรมเมอร์ต่างชาติ มาทำงานในไทยได้ง่ายขึ้นและจะต้องจ่ายเงินสูงๆ ซึ่งอาจเป็นเรื่องยาก
  • เรามีกลุ่มเด็กเก่งๆจำนวนหนึ่งที่กำลังจะสร้างธุรกิจตัวเอง พัฒนาโปรแกรม เราต้องส่งเสริมคนเหล่านี้ให้เขาไปสู้บนเวทีโลก แต่เมื่อเขาต้องการขยายบริษัทต้องการโปรแกรมเมอร์จำนวนมากๆเราอาจต้องหนุนให้ไปทำที่อื่นครับ จนกว่าเราจะพร้อม
  • เราต้องลดการรับนักศึกษาเข้าเรียน ปีหนึ่งรวมกันไม่ควรเกิน  4-5 พันคน และต้องปิดหลักสูตรทางด้านนี้ในหลายๆสถาบันครับ เพื่อลดปัญหาการมีบัณฑิตจบออกมามากอย่างขาดคุณภาพ
  • หากเราต้องการสร้างบุคลากรทางด้านนี้ต้องวางแผนในระยะยาว ส่งเสริมการเรียนคณิตศาสตร์  วิทยาศาสคร์ ตั้งแต่เด็กๆครับ ต้องใช้เวลา  15  ปีเป็นอย่างน้อยในการสร้างคนรุ่นใหม่ออกมา

ความเข้าใจผิดบางประการเกี่ยวกับ Cloud Computing

แม้เรื่องของ Cloud Computing จะเริ่มมีการพูดกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น แต่เมื่อถามความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านนี้ ก็จะพบว่ามีหลายคนมีความเข้าใจผิดในเรื่องของ Cloud Computing  ในหลายๆเรื่องดังนี้

20140315-160401.jpg

  • Cloud Computing ก็คือการใช้โปรแกรมบนอินเตอร์เน็ตข้อนี้หลายๆคนเข้าใจว่า  Cloud Computing ก็คือ Web/Internet Technology เสมือนการใช้โปรแกรมเว็บโดยทั่วไป แต่จริงๆแล้ว Cloud Computing  หมายถึงระบบขนาดใหญ่ที่ผู้ใช้ไม่จำต้องสนใจว่า Server อยู่ที่ไหน แล้วก็มีคุณสมบัติที่สำคัญอยู่ 5 ด้านคือ  สามารถเรียกใช้งานได้เองตามต้องการ (On Demand Self Service) สามารถเรียกใช้งานจากที่ไหนหรืออุปกรณ์ใดๆก็ได้  (Broad network access) ใช้ทรัพยากรร่วมกันกับระบบอื่นๆ  (Reseource Polling) ระบบมีความยืดหยุ่นสูงที่จะรองรับผู้ใช้จำนวนมากได้ (Elasticity) และสามารถวัดการใช้งานได้ (Measured Service)
  • Cloud Computing ก็คือ Virtualization หลายๆคนจะสับสนระหว่างคำว่า Cloud Computing กับ Virtualization จริงๆแล้ว Virtualization คือเทคโนโลยีที่ซ่อนระบบฮาร์ดแวร์ไว้จากระบบซอฟต์แวร์ ผู้ใช้สามารถที่จะเรียกใช้ระบบปฎิบัติการหรือซอฟต์แวร์ โดยไม่จำเป็นต้องติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง และสามารถที่จะใช้ระบบปฎิบัติการที่หลากหลายจากฮาร์ดแวร์ชุดเดียวกัน โดยมาก Virtualization จะถูกนำมาใช้ในการทำ Server Consolidation ส่วน Cloud Computing จะเป็นรูปแบบการดำเนินการทางธุรกิจ (Business Model) โดยอาจใช้เทคโนโลยีอย่าง Virtualization ในการติดตั้ง ทำให้ผู้ใช้ไม่สนใจว่าระบบอยู่ใด ซึ่งก็เป็นที่มาของคำว่า Cloud Computing ที่หมายถึงระบบประมวลผลที่อยู่บนก้อนเมฆ

images

  • Cloud Computing เป็นแค่รูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ของบริษัทไอที หลายๆครั้งบริษัทด้านไอทีมักจะมีคำพูดการตลาดๆใหม่ออกมาเสมอ บางคนเลยเข้าใจว่ากรณีของ Cloud Computing ก็น่าจะมาในทำนองเดียวกัน แต่จริงๆแล้ว Cloud Computing เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมไอทีอย่างมาก บริษัทและบุคลากรด้านไอทีจะไม่สามารถพัฒนาธุรกิจในรูปแบบเดิมได้ และบุคลากรจำเป็นต้องเรียนรู้ทักบะใหม่ๆหลายๆด้าน อุตสาหกรรมไอทีกำลังเปลี่ยนเข้าสู่อุตสาหกรรมด้านบริการอย่างเต็มรูปแบบ
  • Cloud Computing จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับองค์กร ข้อความนี้อาจไม่เป็นจริงเสมอไป เพราะ Cloud Computing อาจช่วยลดการลงทุนเริ่มต้น (Capital Expense) เช่นการซื้อเครื่องฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรือค่าติดตั้ง Data Center แต่ Cloud Computing จะมีค่าใช้จ่ายในการใช้งาน (Operation Expense) ที่แปรผันกับปริมาณการใช้งาน ดังนั้นหากขาดการควบคุมและตรวจสอบที่ดี มีปริมาณการใช้งานมากเกินไปก็อาจทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลายได้ แต่อย่างไรก็ตาม Cloud Computing ก็ยังเหมาะกับองค์กรขนาดเล็กที่ไม่ต้องการลงทุนด้านไอทีมากนัก
  • Cloud Computing จะทำให้คนไอทีไม่มีงานทำ หลายๆคนคิดว่าการที่หน่วยงานนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กร โดยเฉพาะการใช้ Public Cloud จะทำให้ตำแหน่งงานต่างๆด้านไอทีลดน้อยลง จริงๆแล้ว Cloud Computing จะมีส่วนช่วยในการเพิ่มตำแหน่งงานใหม่ๆให้กับคนไอที และคนไอทีจำเป็นต้องมีการปรับทักษะใหม่ๆในบางด้านเช่น การต่อรองทางด้านเทคนิคกับผู้ให้บริการ การดูแลและควบคุมระบบ การพัฒนาซอฟต์แวร์
  • Cloud Computing เป็นระบบที่ขาดความปลอดภัย ระบบ Cloud Computing ก็เหมือนระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ที่หากขาดการควบคุมและดูแลที่เหมาะสมแล้วก็จะมีความเสี่ยงทางด้านความปลอดภัย แม้ระบบคอมพิวเตอร์ของ Cloud Computingโดยเฉพาะแบบ public cloud อาจไม่ได้อยู่ในความดูแลขององค์กรเราโดยตรงและบางอย่างเราไม่สามารถควบคุมได้ แต่มีข้อตกลงการบริการ (SLA) ที่เหมาะสมและพิจารณาเรื่องความเสี่ยงที่ดี องค์กรก็สามารถที่จะใช้ระบบ Cloud Computing ที่มีความปลอดภัยเหนือกว่าการพัฒนาระบบเองภายในองค์กรได้
  • Cloud Computing ไม่เหมาะในการใช้งานกับองค์กรขนาดใหญ่ หน่วยงานที่มี Data Center หรือบุคลากรด้านจำนวนมาก อาจสามารถที่จะพัฒนา private cloud ในองค์กรเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้ระบบไอที นอกจากนี้องค์กรขนาดใหญ่อาจนำ Public Cloud มาใช้ในบางงานอาทิเช่นด้าน SaaS (Software as a Service) สำหรับกรณีของแอปพลิเคชั่นอย่าง อีเมล์ หรือนำระบบ IaaS (Infrastructure as a Service) และ PaaS (Platform as a Service) มาใช้ใน Test Environment
  • องค์กรต่างๆสามารถเป็นผู้ให้บริการ Cloud Computing ได้โดยง่าย ในปัจจุบันมีหลายองค์กรในประเทศระบุว่าเปิดให้บริการ Cloud Computing แต่จริงๆแล้วการเปิดให้บริการ Cloud Computing จะต้องมีการลงทุนมูลค่าสูงมาก เพื่อให้ครอบคลุมคุณสมบัติของ Cloud Computing โดยเฉพาะในด้าน Elasticity และระดับของการให้บริการ Cloud ก็มีอยู่หลายระดับซึ่งผู้ให้บริการในประเทศส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ในขั้นเริ่มต้น เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการต่างประเทศรายใหญ่ๆเช่น Amazon Web Services, Salesforce หรือ Microsoft Azure ที่มีระดับการให้บริการอยู่ในขั้นสูง
  • Cloud Computing เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นโดยอัตโนมัติ แม้ในหลักการ Cloud Computing จะมีคุณลักษณะ Elasticity ที่จะรองรับผู้ใช้จำนวนมากได้ แต่ก็เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการที่จะต้องคาดการณ์และเตรียมทรัพยากรหรือระบบเช่น Server Storage และ Network Bandwidth ให้เพียงพอต่อความต้องการเอง ถ้าขาดการวางแผนที่ดีระบบ Cloud Computing ก็จะขาดคุณลักษณะ Elasticity

เทคโนโลยี Big Data: Hadoop, NoSQL, NewSQL และ MPP

ผมเคยเขียนบล็อกอธิบายความหมายของ Big Data และได้บอกว่าความหมาย Big Data ไม่ได้มีความหมายแค่ข้อมูลมันใหญ่ แต่เรากำลังพูดถึงเทอม 3V  คือ Volume, Velocity และ Variety ซึ่งจะทำให้เราไม่สามารถที่จะใช้เทคโนโลยีฐานข้อมูลแบบเดิมวิเคราะห์ข้อมูลได้ทั้งหมด และอาจต้องพิจารณาเทคโนโลยีใหม่ๆเช่น Hadoop เข้ามาใช้งานในองค์กร (เนื้อหาสำหรับบล็อก Big Data และเทคโนโลยี Hadoop กับการพัฒนาองค์กรด้านการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถดูได้ที่ tinyurl.com/pa2av55)

แต่ถ้าพูดถึงเทคโนโลยีสำหรับ  Big Data แล้วเราอาจเห็นเทคโนโลยีใหม่ๆอีกหลายอย่างที่อาจแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มดังรูป

  • Hadoop คือเทคโนโลยีที่รองรับ Unstructure Data  ที่มีขนาดใหญ่หลาย PetaByte  ซึ่ง Hadoop เป็นเทคโนโลยี Opensource และมี vendor หลายรายนำไปเผยแพร่ต่อเช่น MapR หรือ CloudEra
  • NoSQL  คือเทคโนโลยีืที่เน้นเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่ RDBMS แต่จะเน้นการเขียนและอ่านข้อมูลมากกว่าการใช้คำสั่งในการค้นหาที่ซับซ้อน จึงไม่ได้มีการใช้ภาษา SQL  ในระบบฐานข้อมูลแบบนี้ ตัวอย่างของซอฟต์แวร์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้คือ MongoDB, GraphDB, BerkeleyDB และ CouchDB
  • NewSQL คือฐานข้อมูล  RDBMS แบบใหม่ที่ต้องการจะรองรับข้อมูลขนาดใหญ่ให้ได้เหมือนกับ NoSQL ซึ่งบางส่วนก็อาจนำ Cloud Comuputing มาใช้เช่น  Amazon RDS  หรือ SQL Azure แต่ก็มีตัวอย่างซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลอีกหลายตัวที่สามารถรองรับข้อมูลจำนวนมากได้เช่น MySQL Cluster หรือ VoltDB
  • MPP หรือ  Massively Parallel Processing คือระบบที่สามารถประมวลข้อมูลขนาดใหญ่โดยใช้เทคโนโลยีแบบคู่ขนานได้อย่างรวดเร็ว  ซึ่งอาจเป็นเทคโนโลยีพวก Datawarehouse  หรือ  Applicance ของ อาทิเช่น Oracle Exadata, Netezza หรือ Greenplum

รูปภาพ

และหากพิจารณาเทคโนโลยีต่างๆในด้าน Big Data  เราจะพบว่ามีเทคโนโลยีต่างๆมากมายดังรูป โดย Hadoop อาจเป็นเทคโนโลยีที่นำหน้ารายอื่นๆ ในแง่ของการเป็นระบบสำหรับเก็บและวิเคราะห์ Unstructure Data  ขนาดใหญ่

รูปภาพ

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าการจะพัฒนา  Big Data ในองค์กรจำเป็นจะต้องมีการพัฒนาระบบโครงสร้างด้านข้อมูล (Information Infrastructure) ซึ่งต้องมีเทคโนโลยีหลายๆด้าน โดยไม่ได้มีเพียงแค่ Hadoop  และก็ไม่ได้เป็นการนำเทคโนโลยีใหม่มาแทนระบบเดิม ซึ่งเราอาจเห็นตัวอย่างของเทคโนโลยีต่างๆดังรูป ที่จะเห็นว่ามีการนำเทคโนโลยีที่หลากหลายมาใช้ทั้ง RDBMS, NoSQL, Hadoop, MPP และ  BI

รูปภาพ

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

มีนาคม 2557

Facebook ซื้อ Whatsapp กับความคุ้มค่า !!!

ตอนที่ผมได้ข่าวว่า Facebook  ซื้อกิจการของ Whatsapp  ด้วยวงเงิน  19 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ผมแปลกใจมาก เพราะ Whatsapp  เป็นบริษัทที่ก่อตั้งมาเพียง 5 ปีมีพนักงานเพียง  50 คน คำนวณแล้วเป็นเงินถึง 380 ล้านเหรียญสหรัฐต่อพนักงานแต่ละคน วงเงิน   19 พันล้านเหรียญสหรัฐแบ่งเป็นเงินสด  4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในรูปของหุ้นของ Facebook อีก  12 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอีก  3 พันล้านเหรียญสหรัฐจะเป็นหุ้นที่จะทยอยให้กับพนักงานในอีก 4  ปีข้างหน้า

การซื้อกิจการ  Facebook ถือว่าเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับสองจาการเข้าซื้อบริษัทด้านเทคโนโลยีโดยการซื้อกิจการทีใหญ่ที่สุดคือการที่ HP เข้าซื้อ Compaq  เมื่อปี 2001 ซึ่งเมื่อปรับค่าตามเงินเฟ้อในปีนี้จะพบว่ามีมูลค่าถึง 33.4  พันล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าที่ Facebook ซื้อ Whatsapp ทำให้ผมนึกถึงบริษัทเก่าผมคือ Sun Microsystems ที่ถูก Oracle ซื้อไปด้วยมูลค่า 7.4  พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2010 และนึกถึงตอนที่ Microsoft ซื้อ Nokia  เมื่อปีทีแล้วด้วยมูลค่า 7.2  พันล้านเหรียญสหรัฐ สองบริษัทนี้ถูกซื้อถูกจนเกินไปไหม  Sun Microsystems มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีมากมายทั้ง Java, MySQL และเครื่อง Server และนวัตกรรมเหล่านั้นยังคงอยู่และเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย ส่วน Nokia ก็มีนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่และมีทีมวิจัยและพัฒนาที่เข้มแข็ง คำถามคือ Whatsapp มีอะไร ที่คุ้มค่ากับการซื้อกิจการครั้งนี้

unnamed-45

หากเราลองมาดูการเข้าซื้อกิจการนับตั้งแต่ปี 1998 ที่วิเคราห์โดย  BI Intelligence  เราจะพบว่าการควบกิจการของบริษัท Technology ต่างๆในอดีต จะถูกซื้อโดยบริษัทด้าน Hardware/Software  รายใหญ่ๆอย่าง HP, Oracle และ IBM โดยบริษัทเหล่านั้นพยายามจะขยายฐานทางด้าน Products  ที่ตัวเองมีอยู่เช่น   HP ซื้อ Compaq, EDS และ Mercury หรือ Oracle ที่ซื้อบริษัทฮาร์ดแวร์อย่าง Sun Microsstems  และซื้อบริษัทซอฟต์แวร์อย่าง Peoplesoft, BEA และ Hyperion

แต่ในระยะหลังบริษัทที่เข้ามาซื้อกิจการกลับเป็นบรืษัทที่ทำอินเตอร์เน็ตอย่าง Yahoo, Facebook, Google และ Microsoft และจุดประสงค์ก็เพื่อที่จะขยายฐานลูกค้าบนอินเตอร์เน็ตผ่านซอฟต์แวร์ต่างๆ รวมไปถึงการหาซื้อเทคโนโลยีอย่างโทรศัพท์มือถือ เราจึงภาพของ Microsoft มาซื้อโปรแกรมอย่าง Skype หรือกิจการโทรศัพท์อย่าง  Nokia เห็น Google เข้าซื้อ Youtube และ Motorola และ Facebook  เข้าซื้อ  Instagram  และ  Whatsapp

chartoftheday_1927_Tech_acquisitions_n

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ Whatsapp ยังมีฐานลูกค้ามากพอหรือ ในปัจจุบัน Whatsapp ก็ยังครองตลาดค่อนข้างสูง โดยมีจำนวนผู้ใช้ประมาณ 450 ล้านราย ซึ่งทาง Statistica ระบุว่ามี  Active Users ในเดือนสิงหาคมถึง 300 ล้านราย

chartoftheday_1341_Whatsapp_Reaches_300_Million_Active_Users_b

แม้ในประเทศไทยตลาดด้าน Mobile Messaging Application จะเป็นตลาดของ Line แต่ข้อมูลของ Onava เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วแสดงให้เห็นว่า Whatsapp ยังครองตลาดในหลายๆประเทศโดยเฉพาะตลาดใน Latin America รวมถึงประเทศในอเมริกาใต้อย่างบราซิล และครองตลาดยุโรปหลายๆประเทศทั้ง เยอรมัน อังกฤษ และ อิตาลี และยิ่งถ้ามารวมกับ  Facebook Messaging   ก็จะเป็นตลาดอันดับหนึ่งในหลายๆประเทศรวมทั้งอเมริกา ส่วนตลาดของ Line หลักๆก็เป็นของญี่ปุ่นซึ่งมีความเฉพาะ เหมือนกับ Kakao Talk  ที่ใช้เฉพาะในประเทศเกาหลี และ WeChat ของจีน

onavo-insights1

ดังนั้นถ้าดูข้อมูลการเข้าซื้อ  Whatsapp แล้วคงคาดได้ว่า สิ่งที่ทาง Facebook  คาดหวังส่วนหนึ่งก็คือฐานข้อมูลลูกค้า และการเป็นเบอร์หนึ่งด้าน  Messaging Apps แต่จะคุ้มค่ากับเงิน  19 พันล้านเหรียญสหรัฐที่เป็นเงินสดถึง  4 พันล้านเหรียญสหรัฐ คงต้องรอดูกันต่อไป

สรุปการบรรยายงาน IT Trends 2014 และ Slide ประกอบการบรรยาย

เมื่อวันที่ 20-21  พฤศจิกายน ทาง IMC Institute ได้จัดงานสัมมนา “IT Technology Trends 2014″  โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในประเทศไทยร่วม 20 คนมากล่าวถึงแนวโน้มของ เทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศไทย โดยงานนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท EMC Thailand, Cisco Systems Thailand, True IDC, ATCI และ ARIP โดยมีหัวข้อในการบรรยายในด้านแนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจหลายเรื่อง ในบล็อกนี้จึึงขอสรุปบรรยากาศการสัมมนาและขอแชร์ Slide และข้อมูลที่น่าสนใจต่างๆดังนี้

Image

วันที่ 20 พ.ย.

  • การบรรยายในวันแรกเริ่มต้นด้วยหัวข้อ Online Trend Social Networking & Mobile โดยคุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ (หรือ @mimee) ผู้ร่วมก่อตั้ง  thumbsup.in.th  ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับกลุ่ม Startup และเป็นผู้จัดรายการทีวี โดยเธอมาชี้ให้เห็นถึงการบริโภคข้อมูลออนไลน์ในประเทศไทยทั้งทางด้าน Social Media และอินเตอร์เน็ตด้านต่างๆ ซึ่งแบ่งเป็นสองหัวข้อย่อยคือ Thailand Market Situation และ Online Trend 2014 สำหรับ  Slide การบรรยายของ Session นี้ สามารถดูได้ที่ http://www.slideshare.net/imcinstitute/online-trend-2014 
  • หัวข้อถัหลังจาก Break ภาคเช้าเป็นเรื่อง POST-PC ERA GROWTH OF MOBILE DEVICES โดยคุณปฐม อินทโรดม CEO ของ ARIP ที่เป็นผู้จัดงาน Commart จะมาเล่าให้เห็นถึงแนวโน้มของตลาดอุปกรณ์ไอทีทั้งทางด้าน Smartphone,Tablet และ Mobile Application สำหรับ  Slide การบรรยายของ Session นี้ สามารถดูได้ที่  http://www.slideshare.net/imcinstitute/post-pc-erasmartphonetabletpathom
  • ถัดมาเป็นหัวข้อ IaaS Trends: Migrate Servers to Cloud โดยคุณประดิษฐ์ ภิญโญภาสกุล Head of Commercial ของ True IDC ซึ่งเป็นผู้บริการ Cloud รายใหญ่ในประเทศไทย จะมาชี้ให้ถึงแนวโน้มของ Cloud Computing ที่เป็น Infrastructure as a Service (IaaS) โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจสามด้านคือ Cloud Computing in Thailand, How to transform IT service และ Case Studies สำหรับ  Slide การบรรยายของ Session นี้ สามารถดูได้ที่   http://www.slideshare.net/imcinstitute/iaas-trends-migrate-servers-to-cloud
  • หลังจากพักเที่ยงผมมาบรรยายเรื่อง Technology Trends 2014: เพื่อให้เห็นผ่านรวมแนวโน้มของเทคโนโลยีไอทีในปีหน้า โดยได้พูดถึง Gartner Trends และ  Trends ของประเทศไทย โดยได้เน้นคำว่า “Cloud transforms IT and Big Data transform Business”  สำหรับ  Slide การบรรยายของ Session นี้ สามารถดูได้ที่ https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/IT%20Trends/IT%20Trends.pdf
  • หัวข้อถัดมาทาง  คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Tarad.com และนายกสมาคม e-Commerce ประเทศไทย มาพูดเรื่อง  E&M-Commerce Trends:  จะกล่าวถึงแนวโน้มของ M-Commerce ในประเทศไทย รวมถึงเรื่องของ Mobile Payment
  • หัวข้อหลังจาก Break  ตอนบ่ายเป็นเรื่อง Augmented Reality Trends:  โดยคุณอภิชัย เรืองศิริปิยะกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท Think Technology ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน AR ที่มากล่าวถึงแนวโน้มของเทคโนโลยี AR  และการประยุกต์ใช้งาน พร้อมทั้งแสดงตัวอย่างที่น่าสนใจในหลายๆเรื่อง สำหรับ  Slide การบรรยายของ Session นี้ สามารถดูได้ที่ http://www.slideshare.net/imcinstitute/ar-imc-apichai
  • ช่วงสุดท้ายของวันแรกเป็นการเสวนาเรื่อง Impact of Technology Trends to Thai Industries: ที่จะมีผู้รวมเสวนาจากภาคอุตสาหกรรมหลายท่านคือ ดร.พรีเดช ณ น่าน  ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนา กสท, คุณฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการ SIPA, คุณนนุสรณ์ พจน์พิพัฒน์ ผู้อำนวยการบริษัทด้านไอที บริษัท Smart Traffic และคุณธรรมนูญ เวชวิทยาขลัง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอน ไซซิทส์  โดยมีคุณวิชัย วรธานีวงศ์ ผู้จัดการการ CEO Visionและที่ปรึกษารายการ IT 24 Hours  เป็นผู้ดำเนินการ ช่วงนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเพราะวิทยากรแต่ละท่านได้แชร์ประสบการณ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ

วันที่ 21 พ.ย.

  • วันที่สองเริ่มต้นด้วยการบรรยายของผมเรื่อง  IT Enterprise planning for 2014 ที่กล่าวถึงการวางแผนไอทีขององค์กรที่จะต้องเน้นเรื่องของ Cloud, BYOD, การพัฒนา Information Infrastructure  สำหรับ  Big Data and Analysis  และ Social Network นอกจากนี้ผมยังแนะนำ  Template  สำหรับวางแผนกลยุทธ์ไอทีขององค์กร โดยผมมีเอกสารต่างๆประกอบการบรรยายดังนี้
  1. Slide ประกอบการบรรยาย https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/IT%20Trends/IT%20Planning.pdf
  2. Slide สำหรับการนำเสนอ IT Strategy Template https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/IT%20Trends/IT_Strategic_Plan-Template.pdf
  3. ตัวอย่างของ  SME IT Strategic Plan Template https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/IT%20Trends/Sample_Strategic_Plan.pdf  
  4. ตัวอย่างของ  IT StrategyTemplate https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/IT%20Trends/IT%20Strategy%20Template.pdf
  • หัวข้อถัดไปเป็นเรื่อง Bring Your Own Devices Trends:  โดย คุณอุดม ลิ้มมีโชคชัย Director of Network Consultant ของ Cisco Systems Thailand มาบรรยายให้เห็นถึงแนวโน้มของ BYOD ที่น่าจะมีผลกระทบต่อการทำงานในยุคปัจจุบัน  สำหรับ  Slide การบรรยายของ Session นี้ สามารถดูได้ที่ https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/IT%20Trends/BYOD_21-11-2013%20Udom.pdf
  • หลังเบรกภาคเช้า คุณหมอศุภชัย ปาจริยานนท์   กรรมการผู้จัดการบริษัท MCFiVA ซึ่งเป็นนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนา Mobile Marketing มาบรรยายในหัวข้อ  Mobile MarketingTrends 2014: เพื่อมาชี้ให้ทิศทางการนำ App มาใช้งานในปีหน้า โดยได้ระบุถึง Trends ที่น่าสนใจ 10 อย่างทางด้าน Mobile Apps
  • ในภาคบ่ายเริ่มต้นด้วยการเสวนา IT Market Outlook 2014  ที่จะกล่าวถึงตลาดไอทีในปีหน้าจากทีมวิจัยที่ทำการสำรวจตลาดให้กับกสทช. โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ ดร.กษิติธร ภูภราดัย ผู้อำนวยการอาวุโสของสวทช., คุณศุภชัย สัจกิจไพบูลย์ เลขาธิการสมาคม ATCI และคุณไตรรัตน์ ใจสำราญจาก G-Able โดยมีคุณพันธุ์ทิตต์ สิรภพธาดา ผู้จัดรายการของสถานีวิทยุ 101 เป็นผู้ดำเนินรายการ หัวข้อนี้มี slide ประกอบการบรรยายสองหัวข้อ
  1. IT Market Outlook 2014 https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/IT%20Trends/IT%202014%20presentation_v3.pdf
  2. IT Trends 2014 Communication Market Outlook https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/IT%20Trends/IT%20Trend%202014_K.Mic.pdf
  • หัวข้อถัดไปเป็นเรื่อง Internet of things Trends:   โดยคุณอรรณพ วาดิถี  Director ของ EMC Thailand จะมาพูดถึงแนวโน้มของอุปกรณ์อื่นๆที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้เช่น นาฬิกา แว่นตา เป็นต้น  สำหรับ  Slide การบรรยายของ Session นี้ สามารถดูได้ที่ https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/IT%20Trends/EMC%20TH%20Internet%20of%20Things%20IMC%20Nov%2021%20Unnop.pdf
  • หัวข้อถัดมาคือเรื่อง SaaS Cloud Computing Trends:  โดนคุณดนุพล สยามวาลา CEO ของ ICE Solution ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มสยามวาลามาขี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของการใช้Software as a Service  รวมถึง Business Process as a Service สำหรับ  Slide การบรรยายของ Session นี้ สามารถดูได้ที่ http://www.slideshare.net/imcinstitute/cloud-computing-from-personal-cloud-to-saas
  • หัวข้อสุดท้ายเป็นเรื่อง Big Data Trends: คุณดนัยรัฐ ธนบดีธรรมจารี Enterprise Architect ของ Oracle ASEAN ซึ่งเป็นผู้เชียวชาญทางด้าน Big Data จะมากล่าวถึงทิศทางของเทคโนโลยี Big Data โดยเฉพาะเรื่องของ Hadoop Technology สำหรับ Slide การบรรยายของ Session นี้ สามารถดูได้ที่ https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/IT%20Trends/01_BigData_Analytic_SWDev_v2.2%20Danairat.pdf

งานสัมมนา IT Technology Trends 2014

Image

เทคโนโลยีไอทีกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนมีการตื่นตัวในการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มากขึ้น เทคโนโลยีไอทีกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตประจำวันของผู้คน กระแสการใช้งานอินเตอร์เน็ตหรือการเข้าสู่ Social Media มีมากขึ้น ผู้คนให้ความสนใจกับอุปกรณ์ไอทีใหม่ๆอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นข่าวการเปิดตัว Smartphone Tablet หรือ Gadget ต่างๆ ความสนใจเรื่องของแนวโน้มของเทคโนโลยีไอซีทีซึ่งแต่ก่อนอาจเป็นเรื่องของเฉพาะคนในกลุ่มไอที ก็กลายเป็นเรื่องที่น่าติดตามสำหรับผู้คนในทุกสาขาอาชีพ เพราะแนวโน้มของเทคโนโลยีไอซีทีจะมีผลกระทบต่อการทำงานไม่ว่าในแง่ของการติดต่อสื่อสาร ช่องทางการตลาด งานโฆษณา และวิธีการทำงานต่างๆ

ทุกสิ้นปีบริษัทวิจัยต่างๆทั้วโลกก็จะออกรายงานเพื่อระบุถึงแนวโน้มของ เทคโนโลยีก่อกำเนิด (Emerging Technology) ที่จะมีผลกระทบและเปลี่ยนแปลงธุรกิจในปีหน้า ล่าสุด Gartner ก็ได้ออกรายงานเรื่อง “Top 10 Strategic Technology Trends  2014”  (ดูรายละเอียดได้จากบล็อกเรื่อง Top 10 Strategic Technology Trends 2014 ของ Gartner )     แต่เมื่อเรามาพิจารณาการคาดการณ์เทคโนโลยีเหล่านั้นจะพบว่าบางครั้งก็อาจไม่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมไอทีในบ้านเราทั้งนี้เนื่องจากตลาด และสภาพแวดล้อมของเราอาจแตกต่างจากตลาดทั่วโลก ทาง IMC Institute จึงได้วิเคราะห์แนวโน้ม “IT Technology Trends 2014 for Thailand” โดยได้ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร eEnterprise ฉบับเดือนตุลาคมนี้ (สามารถอ่านบทความได้จากบล็อกเรื่อง Technology Trends 2014) โดยระบุเทคโนโลยีไอทีเด่นของประเทศไทยไว้ 10 ด้านคือ

  • Smartphone/Tablet Explosion: Post-PC Era
  • Cloud Computing:  From Personal Cloud to SaaS
  • Online Consumerization: Social Networks / 3G /Broadband
  • Mobile Applications:Cross Platform with HTML5
  • Bring Your Own Devices: Flexible Office/Workers
  • IaaS: Migrate Servers to Cloud
  • Internet of things:Connected Anywhere, Anytime and Anydevices
  • M-Commerce: From e-Commerce to mobile payment
  • Big Data: BI in a Big Data World
  • Augmented Reality: Changing our daily life

นอกจากนี้ทาง IMC Institute จะจัดงานสัมมนา “IT Technology Trends 2014”  ในวันที่ 20-21 พฤศจิกายนนี้ที่โรงแรม Jasmine Executive Suites โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในประเทศไทยร่วม 20 คนมากล่าวถึงแนวโน้มของ เทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศไทย นอกจากนี้จะมีการวิเคราะห์ตลาดและอุตสาหกรรมไอทีในปีนี้พร้อมทั้งคาดการณ์ตลาดในปีหน้า ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศก็ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจในทุกๆด้าน ซึ่งองค์ความรู้ที่ได้จากสัมมนานี้ก็น่าจะมีส่วน ทำให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจในนวัตกรรมใหม่ๆและขยายโอกาสทางธุรกิจได้ ทั้งนี้งานนี้ได้รับการสันับสนุนจากบริษัท EMC Thailand, Cisco Systems Thailand และ ARIP

หัวข้อในการบรรยายในงานนี้จะมีเรื่องต่างๆที่น่าสนใจดังนี้

  • Technology Trends 2014: ทางผมจะเป็นผู้บรรยายเพื่อให้เห็นผ่านรวมแนวโน้มของเทคโนโลยีไอทีในปีหน้า
  • Smartphone/Tablet Trends: คุณปฐม อินทโรดม CEO ของ ARIP ที่เป็นผู้จัดงาน Commart จะมาเล่าให้เห็นถึงแนวโน้มของตลาดอุปกรณ์ไอทีทั้งทางด้าน Smartphone และ Tablet
  •  IaaS Trends: คุณประดิษฐ์ ภิญโญภาสกุล Head of Commercial ของ True IDC ซึ่งเป็นผู้บริการ Cloud รายใหญ่ในประเทศไทย จะมาชี้ให้ถึงแนวโน้มของ Cloud Computing ที่เป็น Infrastructure as a Service (IaaS)
  • Online Consumerization Trends: Social Networks / 3G /Broadband: คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ ผู้ร่วมก่อตั้ง  thumbsup.in.th  ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับกลุ่ม Startup และเป็นผู้จัดรายการทีวี จะมาชี้ให้เห็นถึงการบริโภคข้อมูลออนไลน์ในประเทศไทยทั้งทางด้าน Social Media และอินเตอร์เน็ตด้านต่างๆ
  • M-Commerce Trends: From e-Commerce to mobile payment  คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Tarad.com และนายกสมาคม e-Commerce ประเทศไทย จะกล่าวถึงแนวโน้มของ M-Commerce ในประเทศไทย รวมถึงเรื่องของ Mobile Payment
  • Augmented Reality Trends: คุณอภิชัย เรืองศิริปิยะกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท Think Technology ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน AR จะมากล่าวถึงแนวโน้มของเทคโนโลยี AR  และการประยุกต์ใช้งาน
  • Bring Your Own Devices Trends:  คุณอุดม ลิ้มมีโชคชัย Director of Network Consultant ของ Cisco Systems Thailand จะมาบรรยายให้เห็นถึงแนวโน้มของ BYOD ที่น่าจะมีผลกระทบต่อการทำงานในยุคปัจจุบัน
  • Mobile Application Trends 2014: คุณหมอศุภชัย ปาจริยานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท MCFiVA ซึ่งเป็นนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนา Mobile Application จะมาชี้ให้ทิศทางของ App ในปีหน้า
  • Internet of things Trends:   คุณอรรณพ วาดิถี  Director ของ EMC Thailand จะมาพูดถึงแนวโน้มของอุปกรณ์อื่นๆที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้เช่น นาฬิกา แว่นตา เป้นต้น
  • SaaS Cloud Computing Trends:  คุณดนุพล สยามวาลา CEO ของ ICE Solution ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้าน Cloud Computing จะมาขี้ให้เห็นถึงแนวโน้มตลาด Software as a Service
  • Big Data Trends: คุณดนัยรัฐ ธนบดีธรรมจารี Enterprise Architect ของ Oracle ASEAN ซึ่งเป็นผู้เชียวชาญทางด้าน Big Data จะมากล่าวถึงทิศทางของเทคโนโลยี Big Data

นอกจากยังมีหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจอีกสองหัวข้อคือ

  • Impact of Technology Trends to Thai Industries: ที่จะมีผู้รวมเสวนาจากภาคอุตสาหกรรมหลายท่านคือ ดร.พรีเดช ณ น่าน  ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนา กสท, คุณฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการ SIPA, คุณนนุสรณ์ พจน์พิพัฒน์ ผู้อำนวยการบริษัทด้านไอที บริษัท Smart Traffic และคุณธรรมนูญ เวชวิทยาขลัง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอน ไซซิทส์  โดยมีคุณวิชัย วรธานีวงศ์ ผู้จัดการการ CEO Visionและที่ปรึกษารายการ IT 24 Hours  เป็นผู้ดำเนินการ
  • IT Market Outlook 2014  การสัมมนาที่จะกล่าวถึงตลาดไอทีในปีหน้าจากทีมวิจัยที่ทำการสำรวจตลาดให้กับกสทช. โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ ดร.กษิติธร ภูภราดัย ผู้อำนวยการอาวุโสของสวทช., คุณศุภชัย สัจกิจไพบูลย์ เลขาธิการสมาคม ATCI และผู้บริหารจากบริษัทด้านไอที โดยมีคุณพันธุ์ทิตต์ สิรภพธาดา ผู้จัดรายการของสถานีวิทยุ 101 เป็นผู้ดำเนินรายการ

สุดท้ายจะมีการบรรยายของผมที่จะแนะนำ  Template  สำหรับวางแผนกลยุทธ์ไอทีขององค์กรในปีหน้าในหัวข้อเรื่อง  IT Enterprise planning for 2014

IEEE Introductory for Cloud Computing

b0sqf-_6da-UcNvGG1GtxDUeW4xYgAKC46DvMDWOeW31dgjhgZPN8cx6aM8Y2E0-_Q=s2000

ผมจำได้ว่าเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ตัวแทน IEEE ซึ่งเป็นสมาคมวิชาชีพทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในโลก มาพูดคุยกับผมเรื่องการทำหลักสูตรด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องของ Cloud Computing ซึ่งทาง IEEE มี Chapter ทางด้านนี้อยู่ด้วย เขาบอกว่าได้ทราบมาว่าทางผมและ IMC Institute สนใจในเรื่องของ Emerging Technology ทั้งในเรื่องของ Big Data และ  Cloud Computing และมีกิจกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ผมเลยตอบรับที่จะเป็น Partner ร่วมกับ IEEE และลงนามความร่วมมือกันในหลายๆหลักสูตร โดยได้เริ่มเปิดหลักสูตรแรกคือ IEEE Technical Presentation Workshop  เมื่อเดือนกันยายน

1378750_254823301331684_86516289_n

หลักสูตรสำคัญอีกอันที่เราจะเปิดในเดือนนี้ร่วมกับ  IEEE คือหลักสูตร IEEE Introductory for Cloud Computing for Senior Management ในวันที่ 18  พฤศจิกายนนี้ หลายท่านอาจแปลกใจว่าทำไม IMC Institute กับ IEEE ถึงเปิดหลักสูตรนี้ หลักการของ Cloud Computing  ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผมอยากบอกว่าเท่าที่คุยกันเราพบว่า แม้แต่คนไอทีจำนวนมากยังไม่เข้าใจเรื่องของ Cloud Computing บางคนคิดว่าเป็นแค่ศัพท์ใหม่สำหรับการตลาด บางคนก็คิดว่ามันก็แค่อินเตอร์เน็ตหรือ Web Application หรือ Hosting  ธรรมดา   บางคนก็คิดว่าแค่เปลี่ยน Business Model  จาก License มาเป็น Subscription หรือ Pay per use ดังนั้นทางเราถึงตัดสินใจที่จะเปืดหลักสูคร Cloud Computing ที่เป็นเนื้อหาของ IEEE  มาสอนให้กับผู้บริหารเพื่อความเข้าใจในการบริหาร Cloud Computing อย่างแท้จริง

หลักสูตร  IEEE Introductory for Cloud Computing for Senior Management มีอยู่ทั้งหมด 4  Module คือ

  • An introduction to cloud computing
  • Intermediate Topics in Cloud Computing
  • Advanced Topics in Cloud Computing
  • Case Studies in Cloud Computing

โมดูลแรก An introduction to cloud computing จะเป็นการแนะนำหลักการของ Cloud Computing  ตามความหมายของ NIST รูปแบบของ Service Model  และรูปแบบของ Deployment Model จากนั้นจะพูดถึงประโยชน์ของ Cloud Computing เรื่องของ Security และ Term of Services เช่นเรื่อง SLA, Service Agreement, Provider Promises และข้อแนะนำต่างๆ

โมดูลสอง Intermediate Topics in Cloud Computing จะกล่าวถึง Service Model ทั้งสามคือ SaaS, PaaS และ IaaS ทั้งในแง่ของประโยชน์ การติดตั้ง ข้อควรระวัง และข้อแนะนำ ซึ่งเราจะเห็นโมเดลการ Implement ต่างๆ

โมดูลที่สาม Advanced Topics in Cloud Computing จะเป็นการแนะนำการตัดสินการเลือกใช้ Cloud Computing ความเสี่ยงในด้านต่างๆ การคำนวณค่าใช้จ่ายของ Cloud Computing ข้อควรพิจารณาในการเลือก Service Provider มาตรฐานด้าน Cloud Computing ข้อแนะนำทางด้านการบริหารจัดการ ด้าน Data Governance ด้านความปลอดภัยและความเชื่อมั่น ด้าน Virtual Machine ด้าน Software และ Application สุดท้ายจะพูดปัจจัยสู่ความสำเร็จ

โมดูลสุดท้าย Case Studies in Cloud Computing จะพูดถึงตัวอย่างของ Cloud Computing ทั้งที่เป็นแบบ Public และ Private รวมถึงข้อมูลการวิจัยด้านต่างๆของ Cloud Computing ในและต่างประเทศ

นอกจากนี้หลักสูตรนี้ผู้เรียนทุกท่านจะได้รับ  Certificate จาก IEEE  และก็เป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ทาง IEEE มาเปิดหลักสูตรนี้

Top 10 Strategic Technology Trends 2014 ของ Gartner

Image

เป็นประจำทุกปีที่ทาง Gartners จะออกรายงานระบุถึง10 เทคโนโลยีไอทีเด่นในแต่ละปี ซึ่งเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาทาง Gartner ก็ได้ระบุถึง 10 เทคโนโลยีที่มีแนวโน้มเด่นในปี  2014 ดังนี้

  • Mobile Device Diversity and Management: Gartner ได้ให้ความสำคัญกับ  Mobile Devices อย่างต่อเนื่องมา 2-3 ปี และพยายามเน้นให้เห็นว่ายุคของพีซีได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ผู้ใช้ไอทีจะมาเน้นใช้อุปกรณ์โมบายอย่าง  smartphone และ Tablet มากขึ้น และเมื่อองค์กรต่างๆมีนโยบายอนุญาตให้นำอุปกรณ์เหล่านี้มาใช้งาน (BYOD) ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้องค์กรมีจำนวนอุปกรณ์โมบายเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่าของจำนวนพนักงาน  เรื่องของการบริหารการใช้อุปกรณ์โมบายเหล่านี่้จึงมีความสำคัญมาก  องค์กรจึงต้องมีการกำหนดนโยบายและสถาปัตยกรรมไอทีที่ดีขององค์กรเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลองค์กร
  • Mobile Apps and Applications: Gartner คาดการณ์ว่า HTML5 จะกลายเป็น Platform หลักสำหรับ Mobile App เพราะประสิทธิภาพของ Javascript  จะดียิ่งขึ้น บริษัทต่างๆควรเน้นที่จะทำ Mobile Apps ที่จะเป็น User Interface ซึ่งสามารถใช้ฟังก์ชั่นเสริมเช่นเสียงหรือวิดีโอที่จะทำให้มีลูกเล่นมากขึ้นควบคู่ไปกับการทำ Enterprise Application แต่แนวโน้มของการทำ Application จะเริ่มมีน้อยลงขณะที่ Mobile Apps จะเพิ่มขึ้น
  • The Internet of Everything: Gartner เคยใช้คำว่าThe Internet of things มาหลายปีและเน้นให้เห็นว่าอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตขยายไปมากกว่าเครื่องพีซีและอุปกรณ์โมบาย โดยมีอุปกรณ์อื่นๆที่สามารถเชื่อมอินเตอร์เน็ตได้มากขึ้นเช่น ทีวี นาฬิกา หรือ รถยนต์ แต่อย่างไรก็ตามบริษทต่างๆและผู้ผลิตเทคโนโลยีก็ยังไม่ได้ขยายการนำอินเตอร์เน็ตเข้ามาใช้ในอุปกรณ์ใหม่ๆเหล่านี้มากนัก บริษัทต่างๆะต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจที่จะต้องไม่จำกัดขอบเขตของตัวเองเป็นเพียงแค่ The Internet of things (กล่าวคือเน้นเฉพาะอุปกรณ์) แต่ควรขยายขอบเขตไปเป็น The Internet of Everything (กล่าวคือครอบคลุมทั้งอุปกรณ์ คน  ข้อมูล และสถานที่)
  • Hybrid Cloud and IT as Service Broker: องค์กรต่างๆจะต้องออกแบบ Private Cloud ของตัวเองให้สามารถที่จะปรับเป็น Hybrid Cloud ในอนาคตได้ ซึ่งจะต้องพร้อมที่จะเชื่อมต่อและสามารถทำ interoperability กับระบบอื่นๆได้ ทั้งนี้การพัฒนา Hybrid Cloud  อาจมีรูปแบบที่หลากหลายทั้งที่เป็นแบบ static (กล่าวคือการทำให้ระบบ Internal Private Cloud เขื่อมต่อกับ Public Cloud สำหรับงานบางด้านหรือข้อมูลบางส่วน) หรือแบบ  dynamic ซึ่งการทำระบบเหล่านี้องค์กรจะต้องปรับบทบาทตัวเองเป็น cloud service broker (CSB)
  • Cloud/Client Architecture: สถาปัตยกรรมไอทีกำลังเข้าสู่ยุคของ Cloud/Client กล่าวคือฝั่ง Client จะเป็น  Rich Application ที่ทำงานบนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตเช่นอุปกรณ์พีซี  smartphone หรือ Tablet ส่วนฝั่งของ Server ก็จะเป็น Applications หลากหลายที่ทำงานอบู่บนระบบ Cloud Computing  ที่ยืดหยุ่น (Elastic) และพร้อมที่จะรองรับผู้ใช้จำนวนมากได้ (Scability) นอกจากนี้ความต้องการการใช้งานฝั่ง Client ผ่านอุปกรณ์โมบายจะยิ่งทำให้ระบบ Server และ Storage มีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
  • The Era of Personal Cloud: ผู้ใช้ไอทีจะมีการใช้อุปกรณ์ไอทีที่หลากหลายโดยไม่ได้มีอุปกรณ์ใดเป็นอุปกรณ์หลักอีกต้่อไป ผู้ใช้จะมีความต้องการที่จะเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวต่างๆที่แชร์มาผ่านบริการบน Cloud  ที่ใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลอย่างปลอดภัย ยุคของ Personal Cloud  กำลังเปลี่ยนความสำคัญจาก  devices สู่ services
  • Software Defined Anything: ในอดีตเราอาจเคยได้ยินเทอมว่า  “Software Defined Networking” และ  “Software Defined Data Center” เพื่อที่จะกำหนดมาตรฐานสำหรับการทำ interoperability แต่ในยุคของ Cloud ผู้ผลิตเทคโนโลยีรายต่างๆจะพยายามที่ใช้เทคโนโลยีของตัวเองเพื่อปกป้องธุรกิจของตนเองและจะกลายเป็นเทอมว่า “Software Defined Anything”
  • Web-Scale IT: การให้บริการไอทีกำลังเปลี่ยนไปเพราะมีผู้ใช้จำนวนมหาศาล ระบบอย่าง Facebook, Amazon และ  Google  ทำให้ Enterprise Data Center ต่างๆต้องออกแบบระบบที่จะรองรับผู้ใช้จำนวนมากที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ ซึ่งจะเป็นเรื่องยากที่องค์กรส่วนใหญ่จะทำระบบแบบนั้นได้ ดังนั้นในอนาคตเราอาจจะเห็นองค์กรต่างๆมาใช้ระบบ  Cloud มากขึ้น
  • Smart Machines: ภายในปี 2020 เครื่อง smart machine ที่เป็นระบบที่สามารถเรียนรู้เองได้  (เช่น IBM Watson) จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยในการทำงานของเรา ซึ่งยุคของ smart machine ที่จะมาถึงนี้ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ไอที
  •  3-D Printing: ตลาดการพิมพ์สามมิติในปี 2014 จะโตขึ้นถึง 75% และคาดการณ์ว่าจำนวนเครื่องพิมพ์สามมิติจะถูกจำหน่ายเพิ่มเป็นสองเท่าในปี  2015 โดยราคาเครื่องก็เรื่มมีหลากหลายขึ้นตั้งแต่ช่วง $500 จนถึง $50,000

จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หลายท่านก็อาจเห็นว่าแนวโน้มเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ หลายๆอย่างอาจยังไม่ใช่แนวโน้มในปีหน้าของบ้านเรา ซึ่งผมเองได้เขียนบล็อกสรุป Technology Trends 2014 ของบ้านเราวไว้ในอีกบทความหนึ่งเมื่อเดือนกันยายน (สามารถดูได้ที่ >> IT Trends 2014) นอกจากนี้หากท่านสนใจเรื่องของแนวโน้มเทคโนโลยีไอทีของบ้านเราในปีหน้า ทาง IMC Institute กำลังจะจัดงานสัมมนา IT Technology Trends 2014 ในวันที่ 20-21 พฤศจิกายนนี้ โดยได้เชิญผู้เชียวชาญด้านไอทีของประเทศไทย  19 ท่านมาบรรยายให้เห็นแนวโน้มและวิเคราะห์ตลาดในปีหน้า  (สามารถดูรายละเอียดของงานได้ที่ >>  IT Technology Trends 2014 )

Image

Cloud Computing in Thailand

แม้หัวข้อผมจะขึ้นว่า Cloud Computing in Thailand  แต่เรื่องนี้ผมคงต้องขออนุญาตเขียนถึงเรื่องตัวเองซักหน่อย เพราะเมื่อเดือนที่แล้วทางวุฒิสภาได้มอบใบประกาศเกียรติคุณในโครงการวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นเลิศให้กับผม จากผลงาน “Cloud Computing in Thailand”  จริงๆแล้วตอนที่ทางคณะกรรมการติดต่อผมมาขอให้ผมเขียนผลงานของโครงการ ผมก็ตอบปฎิเสธไปว่าไม่ทราบว่าผมจะเขียนอะไรเพราะผมไม่ได้ทำโครงการนี้ เพียงแต่มีกิจกรรมที่ผมทำร่วมกับหน่วยงานต่างๆอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะผลักดันเรื่องของ  Cloud Computing และไม่ได้เขียนผลงานอะไรไปให้แต่สุดท้ายก็คงต้องขอบคุณคณะกรรมการที่อาจไปค้นหาเอกสารมาให้และยังพิจารณามอบประกาศเกียรติคุณมาให้ วันนี้จึงขอมาเขียนเรื่องของตัวเองบ้างว่าผมได้ทำกิจกรรมอะไรบ้างในเรื่องของ Cloud Computing

Certificate

การบรรยายและจัดสัมมนา

ผมจำได้ดีว่าวันแรกที่ผมไปบรรยายเรื่อง  Cloud Computing ให้กับหน่วยงานต่างๆก็คือวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ผมไปบรรยายให้กับการบินไทยครึ่งวันเช้า ก่อนออกไปวันนั้นตอนตีสี่ผมได้ข่าวจากทาง Twitter  ว่าจะมีการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ทำให้ผมรีบออกมาแต่เช้าและถึงที่สำนักงานใหญ่การบินไทยถนนวิภาวดีก่อนหกโมงเช้า ตอนแรกคิดว่าคงจะไม่มีการบรรยายแต่ที่ไหนได้คนยังเต็มห้องประชุมบนตึกของการบินไทย บรรยากาศบนท้องฟ้าที่เราเห็นการบรรยายเรื่อง  Cloud Computing ในวันนั้นก็คือท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆและควันสีดำจากเพลิงไหม้ของอาคารต่างๆ แต่การบรรยายก็จบลงด้วยดีหลังเวลาเที่ยงและทุกคนก็ต้องรีบกลับบ้าน

หลังจากที่ผมเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ผมก็พยายามที่จะผลักดันและสร้างความตระหนักเรื่อง Cloud Computing ว่าจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และอุตสาหกรรมไอทีอย่างไร โดยไปบรรยายและจัดสัมมนาหลายๆครั้ง อาทิเช่นการจัด Cloud Computing Seminar  ที่ Software Park ในวันที่ 1  กุมภาพันธ์ 2554; Seminar on Surviving Software Business with Cloud Model ในวันที่ 23 สิงหาคม 2554 และ Public Cloud Day ในวันที่ 23 สิงหาคม 2554

นอกจากนี้ผมยังมีโอกาสไปบรรยายเรื่อง  Cloud Computing ให้กับหน่วยงานและงานสัมมนาต่างๆทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 30  ครั้ง ทั้งงานของ Software Park เอง งานของ SIPA, Vendor ต่างๆ สมาคมไอที หรืองาน Cloud Computing  ในต่างประเทศทั้งสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ รวมถึงงานของ สสว. หรืออบต.ที่ไปตามต่างจังหวัด

282789_1811137409461_4938026_n

การจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรด้าน Cloud Computing

กิจกรรมหนึ่งที่ได้ทำตอนเป็นผู้แำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทยคือการรวมกลุ่มของผู้ให้บริการ  Cloud ในประเทศไทยทางด้าน IaaS มาเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรม Cloud Computing ในประเทศ โดยจัดตั้งเป็น  Cloud Thailand Alliance เมื่อกลางปี 2555  (ดูข้อมูลการแถลงข่าวที่  >> Thailand forms alliance to boost cloud development) ซึ่งในช่วงนันก็มีการจัดประชุมสัมมนา และทำ  Business Matching ระหว่างผู้ให้บริการซอฟต์แวร์กับผู้ให้บริการ IaaS

CTS_web

DSC05665

ล่าสุดทางผมเองก็ได้ไปคุยกับกลุ่มผู้ให้บริการ  Cloud  และทางสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทยที่จัดตั้ง Cloud Computing Chapter เพื่อจะยกระดับอุตสาหกรรม  Cloud Computing ผ่านกิจกรรมต่างๆของสมาคม และร่วมมือกับ  Asia Cloud Computing Association  จะทำกิจกรรมต่างๆในภูมิภาคนี้ โดยคาดว่าจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมมากกว่า 20 รายและจะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะจัดให้มีการประชุม  Chapter ครั้งแรกในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2556 โดยรายละเอียดของ Cloud Computing Chapter สามารถดูได้ที่ >> ATCI’s Cloud Computing Chapter

งานวิจัยทางด้าน Cloud Computing

นอกจากนี้ผมได้ทำหน้่าที่เป็นผู้จัดการงานวิจัยให้กับสวทช.ที่รับงานมาจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (MICT) เมื่อต้นปีนี้ เพื่อทำโครงการศึกษาวิจัยด้านการส่งเสริมการใช้  Cloud Computing ในประเทศไทย โดยได้ร่วมทำการสำรวจข้อมูลตลาดของอุตสาหกรรม  Cloud Computing ในประเทศและศึกษาตลาดรวมถึงนโยบายด้าน  Cloud Computing ของต่างประเทศ เพื่อนำมาเสนอข้อมูลหามาตรการการส่งเสริมการใช้ Cloud Computing ในประเทศไทย และได้นำเสนอให้กับคณะกรรมการส่่งเสริมอุตสาหกรรมไอทีของ MICT ที่มีรัฐมนตรีเป็นประธานเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

การวิจัยอีกด้านที่กำลังดำเนินอยู่คือการเป็นทีปรึกษาให้กับ NECTEC ในการทำ Open Service Platform ที่จะเป็น PaaS ของประเทศไทย โดยขั้นต้นได้ข้อสรุปจากผู้วิจัยในเรื่องของข้อกำหนดของ Platform ที่จะทำการพัฒนาต่อไป

การสอนด้าน Cloud Computing

แม้จะทำงานบริหารแต่สิ่งหนึ่งที่ผมยังทำคือ   Hand-on และผมได้สอนการพัฒนาโปรแกรมบน Cloud Computing  ครั้งแรกให้กับกับหลักสูตร Mini Master of Java Technology ของคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังในปี  2552  โดยเป็นการพัฒนาโปรแกรมบน Public PaaS โดยใช้ Google App Engine และก็สอนต่อเนื่องมาอีกหลายรุ่น

พอมาเปิดสถาบันไอเอ็มซีผมยังเน้นที่จะให้ทีมงานสอนการพัฒนาโปรแกรมบน Cloud Computing อย่างต่อเนื่องทั้งบนแพลตฟอร์มของ Google App Engine, Microsoft Azure, Amazon Web Services, Force.com และ Heroku โดยใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ที่หลากหลายทั้ง Java, .NET และ PhP เพราะผมเชื่อว่าแนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์จะขึ้นอยู่กับ Cloud Computing เราจำเป็นที่จะต้องเร่งพัฒนาบุคลากรทางด้าน ซึ่งแม้แต่การพัฒนาโปรแกรมสำหรับ  BIg Data ทางผมเองก็ผลักดันให้มีหลักสูตร Big Data using Public Cloud  โดยการใช้  Elastic Map Reduce ของ Amazon Web Services ซึ่งทาง AWS ก็ให้ความสนใจกับหลักสูตรนี้และมาสนับสนุนในการเครดิตในการใช้งาน AWS ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีนี้ เราได้เปิดหลักสูตรนี้ไปแล้วสามรุ่น

Screenshot 2013-10-20 18.35.58

นอกจากนี้ทางสถาบันไอเอ็มซีก็มีแผนที่จะพัฒนาบุคลากรไทยทางด้าน  Cloud Computing ให้ได้ประกาศนียบัตรสากล โดยได้ร่วมมือกับ  Cloud Credential Council และ IT Preneurs  ในการที่จะฝึกอบรมและจัดสอบบุคลากรไทยให้ได้  CCC Cretification  โดยตั้งเป้าที่จะเริ่มอบรมในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ และคาดว่าจนถึงสิ้นปีหน้าจะอบรมบุคลากรมากกว่า 100 คน โดย  CCC Certification จะแบ่งออกเป็นหลายระดับทั้ง Associate และ Prefessional โดยในระยะแรกทางสถาบันไอเอ็มซีจะเน้นในระดับ Associate Level  และ  Architect Professional Level

Screenshot 2013-10-20 18.11.54

สำหรับในแง่ของหลักสูตรการสอนเรื่อง Cloud Computing  ทางสถาบันไอเอ็มซีได้ร่วมมือกับทั้ง IEEE และ IT Preneurs  ในการเปิดหลักสูตรต่างๆดังนี้

ที่กล่าวมาทั้งหมดก็คือกิจกรรมทางด้าน  Cloud Computing  ที่ผมได้ทำไปและแผนงานบางส่วนในอนาคต ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผมคงได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนด้วยดีเช่นที่ผ่านๆมาในการพัฒนา  Cloud Computing ในประเทศต่อไป

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute