ตัวอย่างการใช้ Cloud Computing จริงๆ

วันนี้ผมได้รับเชิญจากงาน Thailand Online Expo เพื่อไปบรรยายเรื่อง Cloud Computing ในหัวข้อเรื่อง “Cloud เทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพองค์กรให้แข่งขันได้จริงหรือ?” ซึ่งก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมมาบรรยายให้กับกลุ่มผู้ใช้ไอทีในเรื่อง  Cloud Computing ซึ่งผมมีโอกาสบรรยายให้หลายๆครั้งกับกลุ่มของ  SME ที่อาจโดย สสว. SIPA และ  Software Park   สำหรับ Slide  บรรยายของผมสามารถดูได้จาก Slideshare ที่ => การประยุกต์ใช้  Cloud Computing สำหรับองค์กร

หลายๆคนชอบมาถามผมว่า Cloud Computing มันใช้ได้จริงหรอ มันคุ้มหรอ มันไม่เสี่ยงหรอ สารพัดคำถามที่เจอด้วยความไม่แน่ใจ ผมก็มักจะตอบกลับไปว่าคุณก็ใช้อยู่ทุกวัน ถ้าคุณใช้ Facebook, Gmail, Dropbox หรือ Google Calendar  พวกนั้นก็คือแอปพลิเคชั่นบน  Cloud  ที่ทำให้คุณสามารถเข้าถึงข้อมูล ทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์ เพียงแต่  Public Cloud ที่คุณใช้อยู่เป็น Free Cloud  ที่คุณใช้แบบเริ่มต้น และสิ่งที่ผู้ใช้คิดคล้ายๆกันแล้วทำให้เลือกใช้ก็คือ Application  เหล่านี้ทำให้ข้อมูลตามคุณไปไม่ได้ยึดติดอยู่กับอุปกรณ์ และระบบมีความเสถียร เพียงแต่ว่า Free Cloud  เหล่านี้อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานเช่น Dropbox อาจให้พื้นที่คุณเพียง  2-5 Gb แต่ถ้าคุณต้องการพื้นที่มากกว่านั้นคุณก็ต้องจ่ายตามการใช้งาน

ผมก็เป็นผู้ใช้  Cloud Computing  ทั้งสามแบบครับ คือทั้ง IaaS, PaaS และ SaaS มีทั้งส่วนที่เป็น Free Cloud   และ  Commercial Cloud และมีการนำมาใช้ใน IMC Institute นับตั้งแต่่วันแรกที่เราเริ่มทำงาน โดยเรามีการนำ Cloud Computing  มาใช้งานหลายๆส่วนดังนี้

การทำเว็บไซต์

เมื่อต้องทำเว็บไซต์ขององค์กร (www.imcinstitute.com) เราก็มีคำถามว่าเราจะทำเองหรือ Outsource แต่เนื่องจากเราต้องการที่จะอัพเดทเว็บไซต์บ่อยๆเราจึงเลือกที่จะทำเองโดยใช้ Joomla แต่ปัญหาก็คือว่าเราจะหาเครื่อง  Server จากไหน จะติดตั้งเองหรือไม่ สุดท้ายเรามาคิดกันว่าน่าที่จะใช้บริการ Web Hosting ที่เป็น Cloud ที่ให้บริการแบบ PaaS เราก็เลยเลือกใช้  Hostmonster  ที่มีเว็บไซต์โอสต์อยู่เป็นล้านไซต์ และก็ใช้ Cloud Infrastructure ที่มีความเสถียร และสามารถจะเลือก install โมดูลต่างๆได้รวดเร็ว แต่บางครั้งเราอาจจะยังแยกยากระหว่าง  Web Hosting  กับ Cloud Infrastructure ทำให้หลายๆคนเข้าใจไปว่า Web Hosting ทุกแห่งคือ  Cloud Service

Image

ระบบอีเมล์

ในแง่ของอีเมล์ค่อนข้างจะตัดสินใจง่าย เพราะยังไงเสียระบบอีเมล์ในปัจจุบันก็ต้องใช้ Cloud SaaS ซึ่งทางเราเลือกใช้บริการ  Google Apps for Business ที่มีทั้งระบบเมล์ Calendar การทำเอกสารร่วมกันผ่าน Google Docs ทำให้สะดวกต่อการทำงานแบบร่วมกัน และสามารถเข้าถึงระบบได้ตลอดเวลา จากทุกที่ และทุกอุปกรณ์ โดยมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนผู้ใช้งาน และองค์กรก็ไม่ต้องเสียเวลามาบริหารระบบไอทีเอง

Image

ระบบบริหารงานลูกค้า

เราจำเป็นที่จะต้องพัฒนา Application ระบบ  CRM  ของลูกค้า โดยเฉพาะระบบบริหารงานการฝึกอบรม ในตอนแรกก็ลังเลว่าจะใช้  Salesforce ที่เป็น  SaaS Cloud  ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ  $25/ผู้ใช้/เดือน  หรือไม่ แต่เมื่อมาดูระบบ CRM ของ Salesforce แล้วคิดว่าเหมาะกับงานขายทั่วไปมากกว่า เราจึงเลือกใช้ Force.com ซึ่งเป็น PaaS Cloud  ที่เป็น Salesforce Engine มาพัฒนาโปรแกรมเอง โดยมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนใก้ลเคียง แต่เราสามารถที่จะปรับปรุง  Application  ขององค์กรได้ ซึ่งเราใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ในการพัฒนาระบบ CRM ใหม่ขึ้นมาเนื่องจาก Force.com มีโมดูลต่างๆที่ดีอยู่แล้ว ทำให้เราได้  Application ที่สามารถบริหารการฝึกอบรมได้อย่างรวดเร็ว โดยเรามีฐานข้อมูลของลูกค้าหลายหมื่นราย

Image

การแชร์ไฟล์ภายใน

องค์กรจำเป็นต้องมีแชร์  storage ที่สามารถจะ  sync ได้ทุกอุปกรณ์ ในที่นี้องค์กรเลือกที่จะใช้  Dropbox  ที่เป็น SaaS Cloud ในการแชร์เอกสารต่างๆ และพยายามลดการส่ง ไฟล์ขนาดใหญ่ทางอีเมล์ Dropbox ที่เป็น Free Edition จะมีข้อจำกัดอยู่ที่การให้พื้นที่เพียง  2 Gb หน่วยงานที่ต้องการพื้นที่มากๆอาจต้องพิจารณาเลือกใช้ Dropbox Pro หรือ Dropbox for Business ซึ่งมีค่าใช้จ่ายพอสมควร

Image

การแชร์เอกสารภายนอก

IMC Institute  มีเอกสารที่เป็น  slide และเอกสารทั่วไปที่จะแชร์ให้กับบุคคลภายนอก ในกรณีนี้ทางเราเลือกที่จะใช้ Slideshare โดยในปัจจุบันเราจะ Upload เอกสารต่างๆขึ้น Slideshare ที่จัดว่าเป็น SaaS แบบหนึ่ง โดยทางเราเลือกใช้เวอร์ชั่น Pro เพื่อที่จะทราบข้อมูลของผู้ที่ download  slide เราไปด้วย นอกจากนี้ก็การแชร์เอกสารผ่าน  Google Docs โดยเฉพาะเอกสารการฝึกอบรมต่างๆ

Image

การพัฒนา Applications

ทาง IMC Institute  มีการพัฒนา Application เพื่อวิเคราะห์ Big Data ที่อยู่บน Social Media เช่น Facebook Analytic  ในกรณีนี้ทางเราไม่ได้จัดหา Server  เองเพราะต้องใช้  Server  ขนาดใหญ่เราจึงเลือกใช้ IaaS และ PaaS Cloud

ในส่วนของ IaaS การพัฒนา Big Data  เราเลือกใช้  Cloud ของ Amazon  ทั้ง Amazon EC2, S3 และ Elastic Map Reduce ส่วนในกรณี  PasS ที่ใช้พัฒนา Java Application  เราเลือกใช้บริการของ Heroku

Image

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็เพียงให้ทุกท่านเห็นภาพว่าเราสามารถใช้  Cloud Computing ได้จริง โดยไม่ต้องลงทุนในการจัดหาระบบมากนัก และเสียค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงเป็นรายเดือน

กระแสของ Mobile Commerce / Mobile Banking/ Mobile Payment ในประเทศไทย

เราคงปฎิเสธไม้ได้ว่ากระแสของเทคโนโลยีโมบายอย่างเครืองแทปเล็ตและสมาร์ทโฟนได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปอย่างมากในด้านต่างๆของการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน การอ่านข่าวสาร รวมไปถึงการซื้อสินค้า รายงานเทคโนโลยี Connected World ของบริษัท Cisco ที่ออกเมื่อเร็วๆนี้ (C2012 Cisco Connected World Technology Report)  มีบทวิเคราะห์ที่สำรวจพฤติกรรมของคนใน Generation Y ที่อายุระหว่าง 18-30 ปี พบว่า 60% ของคนกลุ่มเหล่านั้นจะใช้ชีวิตออนไลน์อยู่ตลอดเวลา และหากให้เลือกใช้อุปกรณ์ชิ้นเดียว 2/3 ของคนเหล่านั้นจะเลือกใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟนมากกว่าเครื่องโน็ตบุ๊ค

เรากำลังก้าวเข้ามาสู่โลกยุดหลังพีซี ที่มีอุปกรณ์โมบายเป็นตัวขับเคลื่อน ภาคธุรกิจ ภาคราชการ ภาคการศึกษา ทำให้ผู้ใหญ่ในวัยอื่นๆ รวมถึงผู้บริหารในองค์กรต่างๆจำเป็นจะต้องปรับตัวและเข้าใจบริบทที่กำลังปรับเปลี่ยนไป เพื่อให้เห็นภาพของกระแสที่ปรับเปลี่ยนไปในเชิงธุรกิจผมขอยกตัวอย่างกรณีของ Mobile Commerce / Mobile Payment และ Mobile Banking มาให้ทุกท่านได้ศึกษาดังนี้

Mobile Commerce

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาทาง Mastercard ได้ออกรายงานผลสำรวจการซ็อปปิ้งออนไลน์ (MasterCard Online Shopping Survey) พบว่าผู้บริโภคในเอเซียกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อขายออนไลน์จากเครื่องพีซีมาใช้สมาร์ทโฟน โดยพบว่าผู้ซื้อมากกว่าครึ่งในประเทศไทยซื้อสินค้าผ่านสมาร์ทโฟน

การสำรวจทำโดยการสอบถามพฤติกรรมผู้บริโภคจำนวน 7,011 คนในภูมิภาคนี้ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2012 และพบว่าผู้คนในประเทศจีนมีคะแนนนำในเรื่องของพฤติกรรมที่ชอบ shopping online โดยมีคะแนนที่ 102 ตามด้วย นิวซีแลนด์ 87 และ ออสเตรเลีย 85 ส่วนประเทศไทยอยู่อันดับ 5 ที่คะแนน 80 ซึ่งดัชนีของประเทศจีนมีคะแนนสูงขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของ Online Shopping มากขึ้น

นอกจากนี้ทาง  Mastercard ยังพบว่าผู้บริโภคที่ตอบแบบสอบถามในประเทศอินโดนีเซียทำ Online Shopping ผ่านสมาร์ทโฟนเป็นอันดับหนึ่งคือร้อยละ 54.5% ตามด้วยประเทศจีน 54.1% และประเทศไทย 51% ส่วนสินค้าที่คนไทยใช้บริการผ่าน online shopping ค่อนข้างเยอะคือกลุ่มประเภทดาวน์โหลดเพลงคิดเป็นร้อยละ 45 และสินค้าแฟชั่นร้อยละ 43

Image ผลการสำรวจพฤติกรรม Online Shopping ของประเทศในกลุ่ม APAC ของ Mastercard

Mobile Banking

ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (Use of Mobile Banking and Internet Banking) เมื่อเดือนธันวาคม 2012 ระบุว่ามีบัญชีธนาคารในประเทศไทย 6,645,161 บัญชีที่ใช้ Internet Banking และมียอดทำธุรกรรมโดยรวม 1,233 พันล้านบาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังเห็นจำนวนผู้ใช้บริการ  Mobile Banking เพิ่มขึ้นเป็น 864,312 บัญชี ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจากจำนวน 688,178 บัญชีเมื่อเดือนมกราคม 2012  และมีจำนวนธุรกรรมต่อเดือนผ่าน Mobile Banking 3.68 ล้านครั้งต่อเดือนเป็นเงินรวม 49 พันล้านบาท

ในแง่ของ Mobile Banking Application เราเริ่มที่จะเห็นธนาคารต่างๆเริ่มที่จะพัฒนา  Mobile Application ให้บริการแก่ลูกค้ามากขึ้น ทั้งบน iPhone หรือ Android  อาทิเช่น K-Mobile Banking Plus ของธนาคารกสิกรไทย SCB Easy ของ ธนาคารไทยพาณิชย์ KTB netbank ของธนาคารกรุงไทย นอกจากนั้นหลายๆธนาคารก็ให้บริการ Mobile Web เช่น m.scbeasy.com ของธนาคารไทยพาณิชย์ที่สามารถใช้บริการผ่าน Mobile Browser ได้

Image

ตัวอย่าง  Mobile Application ของธนาคารกสิกรไทย

Mobile Payment

ในแง่ของการชำระเงินผ่านอุปกรณ์มือถือ นอกจากการให้บริการผ่าน   SMS, Mobile Web หรือ Mobile Application แล้ว อุปกรณ์สมาร์ทโฟนยังมีรูปแบบการชำระผ่านเทคโนโลยีใหม่เช่น NFC แต่จากการสำรวจของ Mastercard พบว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่ในเอเซียยังใช้ช่องทางการชำระเงินบนโมบายผ่าน mobile banking apps  ซึ่งมีผู้ที่เคยชำระเงินผ่านช่องทางนี้ถึง 45% นอกจากนี้ยังเป็น  in-social-networking-app shopping 34% ขณะที่การชำระผ่าน SMS/MMS เป็น 31% ส่วน Mobile NFC ยังมีผู้ที่เคยชำระทางช่องนี้เพียง  25% แต่ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 70.3 สนใจที่จะชำระเงินผ่านระบบ NFC ในอนาคต

Image

Mobile Payment Readiness Index ของ  Mastercard

นอกจากนี้ทาง Mastercard ยังได้จัดทำ Mobile Payment Readiness Index 2012 ซึ่งจากรายงานพบว่าประเทศไทยมีคะแนนอยู่ในอันดับที่ 20 จาก 34 ประเทศ โดยได้ 31.6 คะแนน ขณะที่สิงคโปร์มีคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง 45.6  ตามด้วย Canada สหรัฐอเมริกา และ Kenya  ทั้งนี้การวัดความพร้อมดูจากคะแนนในหลายๆด้าน อาทิเช่นความพร้อมของผู้บริโภค สภาวะแวดล้อม การบริการด้านการเงิน โครงกสร้างพื้นฐาน เครือข่ายด้าน M-Commerce และ กฎระเบียบ ที่น่าสนใจคือประเทศไทยจะโดดเด่นด้านความพร้อมของผู้บริโภคที่ต้องการเรื่อง Mobile Payment โดยเราจะอยู่ในกลุ่มนำในด้านนี้ร่วมกับประเทศอย่าง เคนย่า ไนจีเรีย จีน เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า กระแสเรื่องของ Mobile Commerce / Mobile Banking และ Mobile Payment เริ่มเข้ามาแรงในกลุ่มผู้บริโภคในประเทศไทย คงต้องถึงเวลาที่ภาคธุรกิจต้องเริ่มปรับตัวรองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคที่กำลังมาพร้อมกับกระแสของเทคโนโลยีโมบาย

ดร.ธนชาติ นุ่มมนท์

ผู้อำนวยการ IMC Institute

หมายเหตุ ทาง IMC Institute  จะเปิดอบรมหลักสูตร Planning on Mobile Strategy ระหว่างวันที่ 29-30 พฤษภาคม โดยรวบรวมวิทยากรหลายท่านมาพูดถึงการวางแผนกลยุทธ์เพิื่อรองรับเทคโนโลยีโมบายขององค์กร

 

การวางแผน Mobile Strategy ขององค์กร

mobile-banner5

เมื่อต้นปีนี้ทาง IDC ได้ออกรายงานคาดการณ์ยอดขายอุปกรณ์โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยในปี 2556 ว่าจะมีจำนวน smartphone ที่จะ shipment ในปีนี้ 7.3 ล้านเครื่ิอง เครื่อง Tablet ประมาณ 3.5 ล้านเครื่อง ส่วนเครื่อง notebook  จะมีประมาณ 2.5 ล้านเครือง และเป็นเครื่อง Desktop อีก 1.5 ล้าน จากข้อมูลนี้จะเห็นว่าจำนวนยอดขายของ Smartphone มีจำนวนสูงมากเมื่อเทียบกับเครื่อง notebook และ desktop รวมกัน นอกจากนี้จำนวน Tablet ที่ shipment ในประเทศก็มีจำนวนมากกว่า Notebook ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลของ Morgan Stanley ที่ประมาณการจำนวน shipment ของเครื่อง smartphone, tablet และ PC ว่่าจะเห็นแนวโน้มของ Smartphone ทั่วโลกมีจำนวน shipment ถึง 1.1 พันล้านเครื่องในปี 2015 โดยมีจำนวนของ PC เป็น 535 ล้านเครื่อง และจำนวน Tablet ประมาณ 326 ล้านเครื่อง

Image

จากจำนวนเครื่อง Smartphone และ Tablet ที่มีมากกว่า PC ทำให้แนวโน้มของผู้ใช้จะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตจะมาจากอุปกรณ์โมบายมากกว่าเครื่องพีซี และทำให้โลกของไอทีกำลังเปลี่ยนแปลงจากจากยุคที่ใช้เครื่อง Desktop หรือ Notebook เป็นหลักโดยทีมี OS หลักๆจะเป็น Windows OS มาสู่ยุคหลังพีซี (Post-PC) ที่ผู้ใช้ไม่ได้ใช้พีซีเป็นหลักแต่ผู้ใช้จะเลือกอุปกรณ์ที่หลากหลายและ OS  หลายๆระบบ เช่นอาจเป็น smartphone หรือ Tablet ที่เป็น iOS, Android  หรือ  Windows 8

ในยุคของพีซีและอินเตอร์เน็ตองค์กรต่างๆก็เตรียมกลยุทธ์ทางด้านอินเตอร์เน็ตหรือเว็บขององค์กร (Internet Strategy or Web Strategy) กล่าวคือองค์กรต้องวางแผนระบบอีเมล์ วางแผนการทำเว็บไซต์ การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อติดต่อสื่อสารหรือการประชาสัมพันธ์องค์กร การติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตหรือ  WiFi ในองค์กร ตลอดจนการติดตั้งระบบ  e-Service ให้กับองค์กร รวมไปถึงการทำ e-Commerce และเมื่อโลกการใช้ไอทีเปลี่ยนเป็นยุคหลังพีซีโดยมีการใช้โมบายกันอย่างกว้างขวาง องค์กรต่างก็เริ่มที่จะต้องพัฒนากลยุทธธ์ด้านโมบาย  (Mobile Strategy) ขององค์กร เพื่อที่กำหนดแนวทางการนำอุปกรณ์โมบายมาใช้ในองค์กรให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตาม Gartner ได้แสดงผลสำรวจให้เห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่ใน Fortune 1000 กว่า 60% จะยังขาดการวางแผน  Mobile Strategy ที่สมบูรณ์ในปี 2014

Image

Mobile Strategy จะช่วยให้องค์กรลดค่าใช้จ่ายและยังมีส่วนช่วยทำให้องค์กรมีแผนการนำเทคโนโลยีโมบายมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาจครอบคลุมด้านต่างๆอาทิเช่น

  • การให้พนักงานนำอุปกรณ์โมบายมาใช้ในองค์กร (BYOD: Bring Your Own Devices) องค์กรอาจต้องกำหนดนโยบายการนำอุปกรณ์ smartphone, tablet หรือ notebook เข้ามาใช้ในองค์กร การป้องกันข้อมูลขององค์กร นโยบายการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโมบายให้แก่พนักงาน การกำหนดนโยบายการใช้ Application หรือการใช้ WiFi
  • กลยุทธ์การทำงานผ่านอุปกรณ์โมบาย เพื่อที่จะนำ Application ต่างๆมาใช้และปรับวัฒนธรรมการทำงานที่อาจนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เกิดการทำงานแบบทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์มากขึ้น รวมถึงการทำงานร่วมกันผ่านอุปกรณ์โมบาย ขณะเดียวกันก็ต้องแบ่งสรรเวลาให้ดีทั้งเรื่องของงานและเรื่องส่วนตัว
  • กลยุทธ์ด้่าน Mobile Marketing หรือ Mobile Social Media เนื่องจากในปัจจุบันลูกค้าหรือบุคคลภายนอกได้เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์โมบายมาเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากกว่าอุปกรณ์พีซี องค์กรก็จะต้องกำหนดกลยุทธ์ในการทำการตลาด การพัฒนา Application ผ่าน Mobile ที่จะให้ถึงผู้ใช้มากขึ้น อาทิเช่นอาจต้องพัฒนาเว็บไซต์ให้สามารถเรียกดูผ่านอุปกรณ์โมบายได้ การทำ Mobile Social Media
  • กลยุทธ์ด้าน Mobile Commerce กระแสด้าน e-Commerce กำลังเปลี่ยนไปสู่ยุคของ m-Commerce ที่ผู้ใช้เริ่มทำการ shopping ผ่านอุปกรณ์อย่าง smartphone หรือ Tablet มากขึ้น องค์กรจึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ทางนี้ รวมทั้งการทำ Mobile Payment
  • กลยุทธ์ด้านการนำเทคโนโลยีด้านโมบายใหม่ๆอาทิเช่น QR Code, NFC  หรือ Tectile มาใช้งาน

จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า Mobile  Technology กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนในการเข้าถึงข้อมูล และมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์กรยุคใหม่เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ดังนั้นองค์กรต่างๆจำเป็นต้องมี  Mobile Strategy  เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันและสามารถที่จะกำหนดนโยบายการใช้จ่ายด้านไอทีให้มีประสิทธิภาพ

www.imcinstitute.com/mobile

ฺBSA และ ACCA ระบุไทยติดอันดับรั้งท้ายทางด้าน Cloud Computing และข้อเสนอแนะในการปรับปรุง

เมื่อวันก่อนได้อ่านบทความเรื่อง The Best (and Worst) Countries for Cloud Computing จากเว็บไซต์ CIO.com  ซึ่งเป็นการนำผลการสำรวจ  Cloud Computing Scorecard ของ BSA ที่ออกมาเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้มาวิเคราะห์ ซึ่งบางท่านอาจเคยเห็นรายงานโดยละเอียดแล้ว (สามารถหาอ่านได้ที่ BSA Global Cloud Computing Scorecard 2013) โดยทาง BSA จัดอันดับให้ญี่ปุ่นมีคะแนนโดดเด่นเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา ซึ่งในบทความก็ได้ย้ำให้เห็นถึงห้าประเทศที่มีความโดดเด่นด้านนี้ แต่ขนาดเดียวกันก็พยายามเน้นย้ำถึงอีกห้าประเทศรวมทั้งประเทศไทยที่ยังอยู่อันดับท้ายๆเรื่อง Cloud Computing ดังตารางนี้

Image

แม้หลายท่านอาจจะมีความคิดเห็นต่างว่าประเทศไทยก็มีการพัฒนาเรื่อง Cloud Computing ไปมากและเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่โดยแท้จริงแล้วหากเราเทียบกับประเทศอื่นๆเรายังพัฒนาด้วยความเร็วที่ช้ากว่าเขาไปมาก เพราะนอกเหนือจากการจัดอันดับของ BSA ผลการจัดอันดับของ Asia Cloud Computing Association ด้าน Asia Cloud Computing Readiness เมื่อปลายปีที่แล้วก็ออกมาทำนองเดียวกัน โดยประเทศไทยอยู่อันดับสุดท้ายร่วมกับเวียดนาม

ผมจำได้ว่าเมื่อทาง  Asia Cloud Computing Association (ACCA) มาจัดประชุมความคิดเห็นที่ประเทศไทยเมื่อปลายดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีหน่วยงานจากภาครัฐและอกชนบางรายก็พยายามไปแย้งกับทาง ACCA ว่าประเทศไทยก็มีความก้าวหน้าทางด้านนี้ ข้อมูลของ ACCA น่าจะผิดพลาด ผมคิดว่าแทนที่เราจะมาแย้งกับเขา เพราะข้อมูลหลายฝ่ายสอดคล้องกันว่าเรายังพัฒนาเรื่องนี้น้อย เราควรที่จะหันมาปรับปรุงการพัฒนาเรื่อง  Cloud Computing ในบ่้านเราอย่างจริงจัง และศึกษาการพัฒนา  Cloud Computing  ที่แท้จริงมากกว่่าที่จะพยายามประกาศว่าเรามี Cloud Computing ทัั้งๆที่บางครั้งเรายังไปไม่ถึงไหนในเรื่องนี้

ถ้าเราพิจารณาเรื่องของ  Cloud Computing Maturity จะพบว่ามีการกำหนด Maturity Level ไว้หลายๆระดับเช่นในเว็บ http://cloudmaturity.com/  ก็จะมีการกำหนดระดับไว้ 5 ระดับคล้ายๆกับมาตรฐาน CMMI คือมีระดับ Performed, Defined, Managed, Adapted และ Optimized ทั้งในกลุ่มของ IaaS, PaaS และ SaaS ดังตารางข้างล่าง ซึ่งหากนำ  Maturity Model  พิจารณากับผู้ให้บริการ Cloud Computing ส่วนใหญ่ในประเทศไทย ก็คงจะเห็นว่าของเรายังอยู่ใน Level  1 หรือ 2 เท่านั้น ซึ่งก็อาจสอดคล้องกับหน่วยงานหรือผู้ให้บริการในต่างประเทศหลายๆแห่งที่ระบุว่าตัวเองเป็น Cloud Computing  แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วอาจไม่ใช่ Cloud Computing เลย ดังบทความของ  Forrester ที่ระบุว่า Most “private clouds” aren’t really clouds at all เพียงแต่ต่างประเทศมีหลายรายที่พร้อมกว่าบ้านเราการจัดอันดับจึงไปได้ดีกว่า

Image

คราวนี้อยากให้ดูผลการจัดอันดับ Cloud Computing ของทั้งทาง ACCA  และ BSA พร้อมทั้งข่้อเสนอแนะต่อประเทศไทยบ้างว่าเป็นอย่างไร

Asia Cloud Computing Association

ACCA ได้จัดอันดับ Asia Cloud Computing Readiness Index เมื่อเดือนตุลาคม 2012 โดยประเทศญี่ปุ่นอยู่อันดับหนึ่งด้วยคะแนน 78.8  ส่วนประเทศไทยอยู่อันดับสุดท้ายร่วมกับเวียดนามที่คะแนน 44.9 ทั้งนี้ประเทศไทยตกลงมาสองอันดับจากปี 2011  โดยมีผลการจัดอันดับดังตารางข้างล่าง

สำหรับประเทศไทย ทาง ACCA ระบุว่าคะแนนของเราดีขึ้นในด้านของโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับต่างประเทศ คุณภาพของ Broadband และระบบไฟฟ้า และคะแนนด้านความสะดวกทางธุรกิจและอิสระทางการเข้าถึงข้อมูลอยู่ในเกณฑ์ดีมาก แต่ประเทศไทยจะต้องปรัปปรุงเรื่องของ   data sovereignty ที่ยังอยู่อันดับสุดท้าย ทาง ACCA แนะนำว่าประเทศไทยต้องปรับปรุงเรื่องโครงสร้างพื้นฐานให้ดีกว่านี้ รวมถึงต้องแก้ไขเรื่องของ Data  Sovereignty และ Data Privacy

Image

BSA: Cloud Computing Scorecard

BSA จัดอันดับ Cloud Computing ของประเทศต่างๆทั่วโลก  24 ประเทศทุกๆสองปี โดยล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2013  ทาง BSA ได้ประกาศจัดอันดับครั้งใหม่และประเทศไทยอยู่อันดับที่ 23  จาก 24 ประเทศ โดยอันดับตกลงมาหนึ่งอันดับจากเมื่อปี 2011 โดยทาง  BSA ระบุว่าทางด้านกฎหมายและนโยบายเรื่อง  Cloud Computing ของประเทศไทยยังมีอยู่แบบกระจัดกระจายไม่เป็นระบบ โดยในบ้างเรื่องเช่นด้านของกฎหมาย  cybercrime หรือกฎหมายด้าน e-commerce และลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ของประเทศมีความเข้มแข็งดีทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้งาน แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีช่องว่างเช่นกฎหมายด้านการคุ้มครองข้อมูลสิทธิ์ส่วนบุคคล (Data Privacy) ยังต้องปรับปรุงอีกมาก รวมถึงเรื่องของกฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา (intellectual property) ซึ่งยังไม่ได้ครอบคลุมถึงด้าน การบริหารการจัดการสิทธิ์การใช้ เทคนิคการวัดการป้องกันข้อมูล หรือ วิธีป้องกันการหลบเลี่ยงImage

จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าทั้ง ACCA และ BSA  ต่างเห็นพ้องกันว่าประเทศไทยจะต้องปรับปรุงข้อกฎหมายทางด้าน Data Privacy, Security และ Intellectual Property เพื่อให้เกิดความพร้อมทางด้าน Cloud Computing

การพัฒนา Enterprise Application โดยใช้ Force.com

เวลาพูดถึง  Force.com หลายคนอาจสับสนกับคำว่า SaesForce.com  เพราะหลายๆคนคงรู้จัก SalesForce.com ค่อนข้างดีว่าเป็น Cloud Software SaaS ที่ทำทางด้าน CRM ซึ่งมีผู้ใช้จำนวนมากกว่า 2 ล้านคนและมีรายรับประมาณ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐอมริกาเมื่อปี 2012   ทั้งนี้โปรแกรม CRM  ของ Salesforce.com จะมีโซลูชั่นอยู่หลายตัวทั้ง Sales Cloud, Service Cloud, Data Cloud และCollaboration Cloud (Chatter) ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกใช้โซลูชั่นต่างๆเหล่านี้ได้โดยมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนผู้ใช้ต่อเดือน

Image

สำหรับ Force.com จะเป็น Cloud Computing Platform as a Service (PaaS) เพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถพัฒนา Enterprise Application ที่เป็น Multitenant โดยใช้ Infrastructure ของ Force.com ได้ การพัฒนาโปรแกรม Force.com  จะช่วยทำให้นักพัฒนาสามารถที่จะสร้าง Application ที่ต่่อยอดมาจากโปรแกรมของ Salesforce.com ได้ โดยนักพัฒนาสามารถที่จะพัฒนาโปรแกรมได้อย่างง่าย ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัททั่วโลกมากกว่า 100,000 บริษัทที่ใช้ Force.com  ในการพัฒนา Business Application รวมถึงธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในประเทศไทยบางแห่งก็มีการใช้  Force.com และมีทีมพัฒนาโปรแกรม  Force.com  ในองค์กร

นอกจากนี้นักพัฒนาสามารถที่จะนำโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นไปขายผ่าน Application Store ของ Salesforce.com ที่ชื่อ AppExchange ได้ ซึ่งในปัจจุบันมีโปรแกรม Business Application มากกว่า  1,700 Apps ที่จำหน่ายอยู่บน AppExchange  โดยมีโปรแกรมทั้งทางด้าน HR, Finance, Project Management และ ERP

Image

ผู้เขียนก็ได้พัฒนาโปรแกรมระบบบริหารการฝึกอบรมที่เก็บข้อมูล CRM จำนวนหลายหมื่นเรคอร์ดโดยใช้ Force.com  ซึ่งสามารถที่จะพัฒนา Application ขนาดใหญ่แบบนี้โดยใชเวลาเพียง 1  สัปดาห์ และในปัจจุบันเสียค่าใช้จ่ายเพียงเดือนละ $65 ซึ่งนอกเหนือจากการที่สามารถจะพัฒนา  Business Application  ได้อย่างรวดเร็วแล้ว ผู้เขียนยังเห็นว่า Force.com น่าจะเป็นโอกาสที่ดีของนักพัฒนาหรือบริษัทซอฟต์แวร์ที่จะนำ Application ที่พัฒนาขึ้น นำไปขายผ่านช่องทางของ AppExchange

การพัฒนาโปรแกรม  Force.com  นักพัฒนาไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมแต่จะเป็นการใช้ Point & Click Tool โดยเราสามารถที่จะสร้าง Database, Menu การทำงานต่างๆ สร้าง Workflow รายงาน และ Dashboard ได้ แต่ถ้าต้องการที่จะพัฒนาโปรแกรมเพิ่มเติมเช่นการสร้าง User Interface ก็สามารถทำได้โดยใช้  Visualforce และภาษา Apex ที่จะมีลักษณะคล้ายภาษาจาวา

Image

นอกจากนี้ทาง Salesforce.com ยังเข้าไปซื้อ Heroku ซึ่งเป็น Cloud PaaS ที่สามารถให้นักพัฒนาเขียนโปรแกรมโดยใช้ภาษาต่างๆอาทิเช่น  Ruby, Node.js, Clojure, Java, Python และ Scala ทำให้นักพัฒนาสามารถที่จะ Integrate Web Application กับโปรแกรม Enterprise Application บน Force.com ได้โดยง่าย

Image

นักพัฒนาสามารถที่จะเริ่มต้นศึกษาการพัฒนา  Force.com ได้ที่เว็บไซต์ force.com และมีเอกสารที่สามารถเริ่มต้นศึกษาเขียนโปรแกรม  Force.com  ที่น่าสนใจเช่น

Screenshot 2013-10-15 07.58.46

นอกจากนี้ทาง IMC Institute  ก็จะเปิดอบรมการพัฒนาโปรแกรม Force.com ในวันที่  24-25 ตุลาคมนี่้ โดยผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.imcinstitute.com/force

แผนยุทธศาสตร์ไอซีทีของประเทศในกลุ่มอาเซียน

เมื่อเร็วๆนี้ผมได้วาดภาพกราฟฟิก เพื่อแสดงให้เห็นถึงแผนแม่บทด้านไอซีทีของประเทศต่างๆในกลุ่ม ASEAN โดยจะเห็นได้ว่า ASEAN มีแผนที่เรียกว่า ASEAN ICT Masterplan 2015 และในแต่ละประเทศก็จะมีแผนแม่บทไอซีทีของตนเอง ผมจึงตั้งใจที่จะเขียนบล็อกนี้มาขยายความเพื่อให้เข้าใจถึงแผนแม่บทต่างๆที่ได้อ้างอิงถึง

Image

ASEAN ICT Masterplan 2015

แผนยุทธศาสตร์ด้านไอซีทีของ ASEAN เกิดจากมติที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ TELMIN เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2008 ที่ได้เห็นชอบโครงการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียน หรือ ASEAN ICT MASTERPLAN 2015 และอนุมัติการสนับสนุนเงินจากกองทุน ASEAN ICT Fund เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดทิศทางกิจกรรมความร่วมมือด้านไอซีทีและสนับสนุนการรวมกลุ่มของอาเซียน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านไอซีที

หลังจากนั้นในการประชุม TELMIN ครั้งที่ 10 เมื่อเดือนมกราคม 2011 จึงได้มีการรับรองแผนแม่บท ASEAN ICT Masterplan 2015 และมีการประกาศแผนแม่บทฉบับดังกล่าวอย่างเป็นทางการ โดยเป็นแผนแบบเบ็ดเสร็จที่มีการระบุยุทธศาสตร์ แผนการดำเนินงาน เป้าหมาย รวมทั้งระยะเวลาการดำเนินการภายใน 5 ปีที่ชัดเจน

ดร.มนู อรดีดลเชษฐ์ ได้เคยเขียนบทความที่สรุปแผนแม่บท  ASEAN ICT Masterplan 2015  ไว้เป็นภาษาไทยไว้ที่ http://www.ddn.ac.th/web/aseanictmasterplan2015.pdf ซึ่งในเนื้อหาจะเห็นได้ว่าแผนมีบทจะมียุทธศาสตร์ที่สำคัญ  6 ด้านคือ

  • การปฎิรูปทางเศรษฐกิจ
  • การเสริมสร้างพลังใหัแก่ประชาชนและให้ประชาชนมีส่วนร่วม
  • การสร้างนวตกรรม
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  • การพัฒนาทุนมนุษย์
  • การลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี

ดังแสดงในรูป โดยแผนแม่บทฉบับจริงสามารถที่จะ download ได้ที่ www.asean.org แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณาแผนแม่บทฉบับนี้ จะเห็นได้ว่ามีเพียงกรอบเวลาการทำงานคร่าวๆและไม่มีตัวชี้วัดที่ขัดเจน

Image

แผนแม่บท  iN2015 ของสิงคโปร์

Intelligent Nation 2015 (iN2015) เป็นแผนแม่บทด้านไอซีทีของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2005 ที่กำหนดให้ในสิบปีข้างหน้าที่จะผลักดันให้สิงคโปร์กลายเป็น Intelligent Nation โดยใช้ศักยภาพของ Infocomm ซึ่งแผนแม่บทนี้ได้ถูกร่างโดยหน่วยงานที่ชื่อ Infocomm Development Authority (IDA)

ซึ่งวิสัยทัศน์ของแผนกำหนดไว้ว่า “Singapore: An Intelligent Nation, A Global City, Powered By Infocomm.

เป้าหมายหลักของแผน iN2015 มีดังนี้

  • ผลักดันให้สิงคโปร์เป็นประเทศอันดับหนึ่งของโลกในการที่จะนำ Infocomm มาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม
  • เพื่มมูลค่าอุตสาหกรรมด้าน Infocomm  เป็นสองเท่าคือมีมูลค่า $26 พันล้านเหรียญสิงคโปร์
  • เพิ่มมูลต่าการการส่งออกทางด้าน เป็นสามเท่าคือมีมูลค่า $60 พันล้านเหรียญสิงคโปร์
  • เพิ่มงานด้าน Infocomm อีก  80,000 ตำแหน่ง
  • ทำให้มีการใช้งาน Broadband  ตามบ้านถึงร้อยละ 90
  • ทำให้ทุกบ้านที่มีเด็กที่จะต้องศึกษาในโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์ใช้งาน

และเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย แผนแม่บทได้กำหนดยุทธศาสตร์สี่ด้านคิอ

  • ผลักดันให้กลุ่มอุตสาหกรรมหลักต่างๆ ภาครัฐ และสังคมมีนวัตกรรมการใช้ Infocomm  มากขึ้น
  • มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน Infocomm ที่มีความเร็วสูง ชาญฉลาด และน่าเชื่อถือ
  • มีการพัฒนาอุตสาหกรรม Infocomm  ที่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้
  • มีการพัฒนากำลังคนด้าน Infocomm ที่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้

โดยเราสามารถที่จะศึกษาดูแผนของ  iN2015 ได้จากรายงานของ iN2015 Steering Committee >> รายงาน

แผนแม่บท Digital Strategy ของฟิลิปปินส์

แผนแม่บทของฟิลิปปินส์เป็นแผน 5 ปีตั้งแต่ปี  2011 ซึ่งเป็นแผนต่อจากแผนแรกเมื่อปี  2006-2010 โดยชูคำว่า “Transform 2.0 : Digitally Empowered Nation”  แผนของฟิลิปปินส์จะให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรม BPO (Business Process Outsourcing), KPO (Knowledge Process Outsourcing), CPO (Creative Process Outsourcing), ITO (IT Outsourcing)  รวมถึงด้าน e-Government และงานด้านสังคม โดยได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว่ว่า

““A digitally empowered, innovative, globally competitive and prosperous society where everyone has reliable, affordable and secure information access in the Philippines. A government that practices accountability and excellence to provide responsive online citizen-centered services. A thriving knowledge economy through public-private partnership.”

โดยมียุทธศาสตร์สี่ด้านดังรูปคือ

  • การลงทุนในการให้ประชาชนมีทักษะในการใช่้ไอซีที
  • การให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต
  • ยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมไอซีทีและนวัตกรรมทางธุรกิจ
  • การมีบริการ e-service ของรัฐบางที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส

Image

สำหรับเป้าหมายที่สำคัญของแผนแม่บทนี้คือ

  • การเพิ่มรายได้ของอุตสาหกรรม ITO และ  BPO เป็น $20  ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตั้งเป้าที่จะมีสัดส่วนการตลาดของ BPO ในโลกถึง 9% ในปี 2016
  • เพิ่มจำนวนงานของ IT/BPO ให้เป็น 900,000  ตำแหน่งในปี 2016
  • ให้มีสัดส่วนการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ความเร็วอย่างน้อย 2  Mbps ตามบ้านให้ได้ร้อยละ 80

เราสามารถที่จะ download แผนแม่บท Digital Strategy  ฉบับเต็มได้ที่ >> แผนแม่บท

แผนแม่บทไอซีทีของประเทศเวียดนาม

นายกรัฐมนตรีของเวียดนามได้อนุมัติแผนแม่บทไอซีมีของเวียดนามเมื่อเดือนกุมภาพันธ์  2010 โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันเวียดนามให้กลายเป็นประเทศที่ี่มีความก้าวหน้าด้าน ICT ในปี  2020 ( “Transforming Vietnam into and advanced ICT”) นอกจากนี้รัฐบาลเวียดนามยังมีการอนุมัติแผนการพัฒนาบุคลากรด้านไอทีถึงปี  2015 และมุ่งเป้าปี 2020 (IT HR development up to 2015 and toward 2020.) ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี  2009

แผนแม่บทไอซีทีมีเป้่าหมายต่างๆที่สำคัญดังนี้

  • ต้องการเพิ่มให้อุตสาหกรรมไอซีทีมีรายได้รวมเป็นสัดส่วนร้อยละ  10% ของ รายได้รวมประชาชาตื GDP ในปี  2020
  • ผลักดันให้เวียดนามติด  Top Ten  ในประเทศทางด้านการบริการ Outsourcing เรื่อง Software และ Digital Content
  • ผลักดันให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เป็น sector  ทีมีการเจริญเติบโตมากสุด
  • ต้องการเพิ่มจำนวนแรงงานทางด้านอุตสาหกรรมไอซีทีให้เป็น  1 ล้านคนในปี 2020
  • ให้มีการใช้  Mobile Broadband  ครอบคลุมถึง 95% ของจำนวนประชากร
  • ให้ประชากรร้อยละ 70 สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้
  • ให้มีอินเตอร์เน็ตเข้าถึงตามบ้านร้อยละ 50-60%

ตัวแผนแม่บทฉบับจริงของเวียดนามหาค่อนข้างยาก แต่มี Presentation ที่สรุปสั้นๆสามารถดูได้ที่ >> Vietnam ICT

แผนแม่บทไอซีทีของมาเลเซีย

รัฐบาลมาเลเซียมีแผนในการที่จะผลักดันให้ประเทศเป็นชาติที่มีรายได้สูง  (High-Income Nation)  ในปี 2020 :ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวเมื่อปี 2011 ว่ากำลังเตรียมพัฒนาแผน Digital Malaysia โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ

  • จะให้ทุกบ้านสามารถเข้าถึง Broadband Internet ได้ในปี 2020
  • จะผลักดันให้อุตสาหกรรมไอซีทีมีรายได้รวม7% ของรายได้รวมของชาติ (GNI)
  • จะผลักดันให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ด้่นไอซีทีอีก 160,000  ตำแหน่ง

แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารค้นหาแผนแม่บทของมาเลเซียล่าสุดได้ เข้าใจว่ายังอยู่ระหว่างการทำแผน

สำหรับแผนแม่บทไอซีทีของมาเลเซียคือ National IT Agenda (NITA) ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี  1996  โดยในช่วงแรกได้เน้นเรื่องการพัฒนา Multimedia Super Corridor (MSC) และกลยุทธ์ก็จะเน้นอยู่ในห้าด้านคือ E-Community, E-Public Services, E-Learning, E-Economy และ E-Sovereignty โดย  NITA จะมีองค์ประกอบสำคัญสามด้านคือ คน (people) โครงสร้่างพื้นฐาน (Infostructure)  และ แอพพลิเคชั่น ดังรูป

Image

สำหรับรายละเอียดของ National IT Agenda สามารถดูไดที่เว็บไซต์ http://nitc.mosti.gov.my/

นโยบายและแผนแม่บทไอซีทีของประเทศไทย

สำหรับประเทศไทยเราจะมีกรอบนโยบายไอซีทีฉบับที่สอง ICT 2020  (2011-2020) ซึ่งต่อจากแผน ICT2010  และได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนกันยายน 2010 และก็มีแผนแม่บทไอซีที ICT Masterplan 2 (2009-2013)  ที่ขอความเห็นชอบจากครม.เมื่อสิงหาคม 2009

โดยตัวกรอบนโยบาย ICT 2010 ฉบับเต็มสามารถที่จะดูรายละเอียดได้ที่ >> กรอบนโยบาย ICT 2010

และแผนแม่บท ICT Masterplan  2009-2013 สามารถดูรายละเอียดได้ที่ >> ICT Masterplan

กรอบนโยบาย ICT 2010  จะเน้นเรื่องของ “Smart Thailand”  โดยมีเป้าหมายที่สำคัญหลักคือ

  • ประชากรทั่วประเทศร้อยละ 80 สามารถเข้าถึง Broadband  ได้ในปี 2015 และ ร้อยละ 95 ในปี 2020
  • ประชาชนไม่น้อยกว่าร้อยละ  75 สามารถใช้ประโยชน์จากไอซีทีได้อย่างรู้เท่าทัน และเพิ่มการจ้างงานบุคลากรไอซีทีไม่น้อยกว่า 3% ของการจ้างงานทั้งหมด
  • เพิ่มอัตราส่วนของอุตสาหกรรมไอซีทีให้มีมูลค่าเพ่มต่อ GDP ไม่น้อยกว่า 18%
  • ยกระดับความพร้อมด้านไอซีทีโดยรวม เพื่อให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาสูงที่สุดร้อยละ 25 ของ  Network Readiness Index
  • ผลักดันให้เกิดการจ้างงานแบบใหม่ที่เป็นการทำงานผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
  • ประชาชนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ตระหนักถีงความสำคัญและบทบาทของไอซีทีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

กรอบนโยบาย ไอซีที 2020 ได้กำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 7ด้านดังแสดงในรูป

Image

สำหรับแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ฉบับที่ 2 ได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า “ประเทศไทยเป็นสังคมอุดมปyญญา  (Smart Thailand) ด้วย ICT”  ซึ่งแผนแม่บทฉบับที่สองกำหนดจะสิ้นสุดในปีนี้ และทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศก็คงผลักดันร่างแผนฉบับที่ 3 ต่อ

ประเทศไทยอาจจะแตกต่่างกับประเทศอื่นๆพอสมควรในเรื่องของแผนไอซีที เพราะเรามีหลายแผนและยังมีนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีที่อาจเปลี่ยนแปลงตลอด จึงทำให้ขาดความต่อเนื่องเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆที่จะให้ความสำคัญกับกรอบนโยบายหรือแผนแม่บท มากกว่าจะเปลี่ยนแปลงตามผู้บริหารของประเทศหรือกระทรวงอยู่ตลอดเวลา

สุดท้ายผมขอนำภาพให้เห็นว่า แผนและนโยบายไอซีทีของประเทศไทยถูกกำหนดมาจากส่วนใดบ้าง เพื่อให้ทุกคนเห็นถึงความหลากหลายตามที่กล่าวไว้

Image

Service Oriented Architecture กับ Cloud Computing

ผมจำได้ว่า 4-5 ปีก่อน ผมจะได้รับเชิญไปบรรยายบ่อยๆในเรื่องของ SOA (Service Oriented Architecture) เพราะองค์กรต่างๆเริ่มสนใจที่จะทำ SOA โดยเฉพาะในด้านเทคนิคที่พูดกันในเรื่องของ Web Services และในช่วง 2-3 ปีัที่ผ่านมาคนก็จะเริ่มมาพูดถึง Cloud Computing และ Enterprise Architecture มากขึ้น จนคนกลุ่มหนึ่งคิดว่าเราไม่เน้น SOA กันแล้ว

ถึงแม้ว่าวันนี้เราจะพูดกันเรื่อง  Cloud Computing กันมากขึ้น แต่รากฐานที่แท้จริงของ Cloud Computing ก็อิงมาจาก Service ดังจะเห็นได้ว่าเราจะพูดกันถึงระบบที่เป็น as-a-Service ทั้งหลาย ตั้งแต่  Infrastructure (IaaS), Platform (PaaS), Software (SaaS) หรือ   Business Process (BPaaS) ดังนั้นการพัฒนาหรือการใช้  Cloud Computing ขององค์กร คงจะต้องอิงกับสถาปัตยกรรมไอทีที่เป็นแบบเชิงบริการ  (Service Oriented Architecture)

Image

อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือหน่วยงานต่างๆเริ่มสนใจที่มาพูดกันเรื่องของ Enterprise Architecture (EA) มากขึ้น EA เป็นเรืิ่องที่จะถูกขับเคลื่อนมาจากด้านธุรกิจเพื่อเป็นการออกแบบสถาปัตยกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับไอที ซึ่งมีทั้ง Business Architecture, Application Architecture, Data Architecture และ Technology Architecture ส่วน SOA จัดว่าเป็นกลุ่มของ IT Architecture ที่สอดคล้องกัน

ดังนั้นการเข้ามาของ Emerging Technologies อย่าง Cloud Computing, Mobile Technology, Social  Technology หรือ Big Data จะยิ่งต้องทำให้องค์กรปรับสถาปัตยกรรมไอทีให้เป็น SOA ยิ่งขึ้น เพราะ Emerging Technology เหล่านี้เป็น Services หรือ Open APIs ที่เราจะต้องออกแบบให้ไอทีขององค์กรไปเชื่อมต่อกับระบบต่างๆที่อาจเป็น Social Technology อย่าง  Facebook, Twitter  ได้

SOA ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี การที่จะทำ SOA ในองค์กร เราจะต้องเข้าใจถึงความต้องการด้านธุรกิจขององค์กรที่มีลักษณะที่จะปรับเปลี่ยนไปตลอด (Business Agility) ดังนั้นการออกแบบสถาปัตยกรรมไอทีในองค์กรจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนง่ายโดยอิงกับ  Service การเข้าใจ SOA ที่ดีควรจะเริ่มจาก

  • เข้าใจความจำเป็นของการออกแบบ Service
  • เข้าใจความหมายของ Service และ Web Services
  • เข้าใจเรื่องของ SOA Benefit และ ROI
  • เข้าใจถึง SOA Governance
  • เข้าใจเรื่องของ Service Life Cycle
  • เข้าใจเรื่อง  SOA Project

ผมมีเอกสารบางส่วนที่เคยเขียนขึ้น Slideshare  และแนะนำ SOA ในบางเรื่อง จึงอยากเอามาแบ่งปันให้ดู โดยมีหัวข้อต่างๆดังนี้

และมีบทความแนะนำ SOA ที่เคยไว้ซักพักหนึ่งแล้วเรื่อง Introduction to SOA

แต่ที่ตั้งใจไว้ส่วนหนึ่งก็คือจะปรับเอกสารนี้บางส่วนและร่วมกับทาง PwC จัดอบรมหลักสูตร SOA/SOA Governance for Managers/Executives  ในวันที่ 27-28  มีนาคมนี้ โดยเนื้อหาจะพูดให้เข้าใจความหมายของ  SOA การเริ่ม SOA ตัวอย่างกรณีศึกษาต่างๆ และการทำ Workshop  ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถจะดูรายละเอียดของ Course ได้ที่ http://tinyurl.com/bx4u2df

การแข่งขันด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของไทยบนเวทีอาเซียน

ในตอนที่แล้วผมได้เขียนถึง ขีดความสามารถการแข่งขันด้าน ICT ของไทยเมื่อเทียบกับประเทศใน ASEAN ซึ่งได้กล่าวถึงข้อมูลชี้วัดที่หน่วยงานต่างนำมาเปรียบเทียบ ซึ่งจากข้อมูลที่มีจะสังเกตุเห็นว่า ศักยภาพของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซี่ยนแล้วเรายังอยู่ในสภาวะที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอยู่พอสมควร

ในตอนนี้ผมจึงอยากจะลองเอาข้อมูลชี้วัดที่น่าเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์มาให้ดู โดยเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งใน ASEAN และได้แสดงเป็นภาพกราฟฟิกดังรูปนี้

Screen Shot 2556-02-09 at 9.51.56 AM

ด้านจำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์

เมื่อเดือนมิถุนายน 2012 ทาง Evans Data Corp (EDC) ได้ข้อมูลประมาณการณ์จำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้วโลก ซึ่งรวมตั้งแต่โปรแกรมเมอร์ นักวิเคราะห์ระบบ จนถึงผู้บริหารโครงการว่ามีประมาณ 17.2 ล้านคนในปี 2012 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 24.7 ล้านคนในปี 2018 โดยระบุว่าในปี 2012 ประเทศสหรัฐอเมริกามีจำนวนมากที่สุดคือ 3.5 ล้านคน ตามด้วยอินเดีย 2.5 ล้านคน และจีน 9 แสนคน แต่คาดการณ์ว่าในปี  2018  จำนวนนักพัฒนาในประเทศอินเดียจะเป็นอันดับหนึ่งด้วยจำนวน 4.8 ล้านคน ตามด้วยสหรัฐอเมริกา 4.6 ล้านคน จีน 1.6 ล้านคน รัสเซีย 1.2 ล้านคน และไทยก็ติดอันดับ 10 ด้วยจำนวน 377,100 คน

หากดูข้อมูลด้านนี้เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆใน ASEAN ประเทศไทยจะดูโดดเด่นมาก เพราะจำนวนที่คาดการณ์ในปี 2012 ของประเทศไทยจะมีประมาณ 263,800 คน เป็นอันดับที่ 15 ของโลกและเป็นอันดับ 5ในภูมิภาค  APAC  ขณะที่ประเทศคู่แข่งใน ASEAN อย่าง ฟิลิปปินส์อยู่อันดับ  6 ใน APAC มีจำนวน 187,000 คน เวียดนามอยู่อันดับ  8 ใน APAC มีจำนวน 152,900 คน อินโดนีเซียอยู่อันดับ  9 ใน APAC มีจำนวน 141,200 คน และมาเลเซียอยู่อันดับ  10 ใน APAC มีจำนวน 99,400 คน

จำนวนบริษัทที่ได้มาตรฐาน CMMI

CMMI คือ มาตรฐานกระบวนการในการพัฒนางาน ย่อมาจาก Capability Maturity Model Integration ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของทั่วโลก ล่าสุดทาง Software Engineering Institute  ของ Carnegie Mellon University ที่เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน ได้รายงานจำนวนบริษัททั่วโลกที่ประเมินผ่าน CMMI จนถึงเมื่อเดือนกันยายน 2012  มีจำนวน 6,272 ราย โดยเป็นบริษัทในประเทศจีน 2,128 ราย  บริษัทในสหรัฐอเมริกา 1,416 ราย และบริษัทในอินเดีย 581 ราย ขณะที่ประเทศไทยมีจำนวน 63 ราย โดยเราสามารถดูรายงานฉบับนี้ได้ที่ http://cmmiinstitute.com/wp-content/uploads/2012/11/2012SepCMMI.pdf


Screen Shot 2556-02-09 at 9.51.25 AM

สำหรับจำนวนบริษัทที่ได้รับมาตรฐาน CMMI และยังรักษาสถานภาพไว้อยู่ในปัจจุบันของประเทศไทยมีทั้งหมด 36 บริษัท โดยเป็นระดับ  5 ถึง  4  บริษัทคือ บริษัท Avalant บริษัท CPF บริษัท Wealth Management System Limited และ บริษัท GoSoft โดยประเทศไทยมีจำนวนบริษัท CMMI ในปัจจุบันมากที่สุดใน ASEAN ตามมาด้วยมาเลเซีย 27 บริษัท เวียดนาม 23 บริษัท ฟิลิปปินส์ 17 บริษัท สิงคโปร์ 10 บริษัท  และ อินโดนีเซีย 1 บริษัท ซึ่งเราสามารถที่จะดูรายชื่อของบริษัทที่ได้ CMMI ณ ปัจจุบัน ทั้งหมดจากเว็บไซต์ https://sas.cmmiinstitute.com/pars/pars.aspx 

การเป็นแหล่งทางด้าน Outsourcing

ทาง AT Kearney ได้ออกรายงานเรื่อง “Global Services Location Index 2011”ระบุประเทศต่างๆที่มีความน่าสนใจในการทำ Outsourcing โดยมีตัวชี้วัดจากสามด้านคือ  ความน่าสนใจในการลงทุน  (Financial attractiveness)  ความสามารถและความพร้อมของคน (People skills and availabilty) และ สภาวะแวดล้อมเชิงธุรกิจ (Business Environment) ซึ่งในรายงานระบุว่าประเทศอินเดียมีความน่าสนใจเป็นอันดับ  1 ตามด้วยประเทศจีน และมาเลเซีย ส่วนประเทศไทยมีความสนใจในการเป็นแหล่งในการทำ Outsourcing อันดับที่ 7 ของโลก (ทั้งนี้ประเทศเราหล่นจากที่เคยเป็นอันดับที่ 4 เมื่อปี 2009) โดยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆใน ASEAN ทางอินโดนีเซียอยู่อันดับ 5 เวียดนามอันดับ 8 และฟิลิปปินส์อันดับ 9

จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นแหล่งที่น่าสนใจในการทำ  Outcsourcing ของโลก แต่เราจะพบว่าอุตสาหกรรมด้านนี้จะมีน้อยมากในประเทศไทย ซึ่งผมเองก็เคยเขียนบล็อกเรื่อง “ประเทศไทยติดอันดับประเทศน่าดึงดูดในการทำ Outsourcing แต่ไม่มีอุตสาหกรรมด้านนี้

นอกจากนี้เมื่อมกราคมปี  2012 ทาง Tholons ได้ออกรายงานระบุเมืองที่ติด 100 อันดับในการทำ Outsourcing ทั่วโลกโดยดูจากปริมาณการจ้างงาน ความน่าสนใจ และแนวโน้ม จะพบว่าแหล่งที่น่าสนใจจะอยู่ทางเอเซียใต้ โดยมีเมืองที่ติดอันดับ 1 ถึง 7 ล้วนแต่เป็นเมืองในประเทศอินเดีย โดยมีเมือง Bangalore เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย Mumbai และ  Delhi ส่วนกรุงมะนิลาเป็นเมืองเดียวนอกประเทศอินเดียที่ติด 1 ใน  7 คือมีคะแนนมาเป็นอันดับ  4 และหากมาพิจารณาเฉพาะประเทศในกลุ่ม ASEAN  จะเห็นว่าเมืองในประเทศฟิลิปินส์ติดอันดับหลายเมืองมากเช่น Cebu เป็นอันดับ 9 นอกจากนี้เรายังเห็นว่าเมืองในประเทศเวียดนามก็เป็นแหล่งที่น่าสนใจในการทำ Outsourcing  โดย Ho Chi Minh ติดอันดับ 17 และ Hanoi  ติดอันดับ 21 ขณะที่กรุงเทพมหานครคะแนนลด10 อันดับ ตกมาที่ 87 จากเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2011

Screen Shot 2556-02-08 at 9.11.53 AM

กล่าวสรุปจะเห็นว่าการจัดอันดับประเทศไทยในด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ในเรื่องของคน ของมาตรฐาน และความน่าสนใจในการลงทุน อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี แต่เรายังขาดการสนับสนุนและส่งเสริมอย่างจริงจัง ทำให้อุตสาหกรรมนี้โดยเฉพาะการลงทุนจริงทางด้าน Outsourcing จากต่างประเทศไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย

Enterprise Architecture คืออะไร

Screenshot 2013-11-13 11.41.43

[บล็อกนี้เป็นบทความเก่าที่ผมเขียนมาเมื่อสองปีที่แล้ว แต่ขอนำบางส่วนมาปรับปรุงใหม่]

ผมจำได้ว่าในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา องค์กรต่างๆมักจะเชิญผมไปบรรยายในหัวข้อเรื่อง   SOA (Service Oriented Architecture)  เพราะองค์กรมีความสนใจในเรื่องของการทำ  Application  Integration   เลยทำให้ผมต้องบรรยายในหัวข้อดังกล่าวมากกว่า 50 ครั้งตั้งแต่ Introduction to SOA, Business Process Management จนถึง SOA Governance ทั้งนี้ที่องค์กรต่างๆสนใจเรื่องนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าองค์กรให้ความสนใจกับเรื่องของ   IT Architecture แต่ก็อย่างไรการทำ SOA    ของหลายๆองค์กรกลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่า  SOA มักจะถูกขับเคลื่อนจากฝั่งของเทคโนโลยีมากกว่าฝั่งของ  Business หรือมองจากธุรกิจหลักขององค์กร

ระยะหลังผมจึงเริ่มเห็นว่าองค์กรต่างๆให้ความสนใจกับการทำแผนแม่บทไอทีมากขึ้นและ  SOA ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในแผนที่จะดำเนินการ แต่แผนแม่บทหลายๆที่ก็ยังเป็นแผนที่ฝ่ายเทคโนโลยีเป็นคนทำอยู่ดีจึงทำให้ขาดการขับเคลื่อนที่  จนกระทั้งองค์กรเริ่มสนใจจะทำ  EA หรือ Enterprise Architecture กันมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์เรื่องของธุรกิจหรือกลยุทธ์ขององค์กรมากกว่าที่จะมองเป็นเพียงแค่  IT Architecture หรือ Solution Architecture

แล้วอะไรคือ EA (Enterprise Architecture)  ทาง Software Park เคยจัดบรรยายเรื่อง “Enterprise Architecture for e-Government” เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2554 โดยผมได้นำเสนอการบรรยายในหัวข้อ Introduction to Enterprise Architecture (ผู้สนใจสามารถจะ Download presentation ของการบรรยายได้ที่ http://dl.dropbox.com/u/12655380/EnterpriseArchitecture.pdf) ซึ่งสามารถที่จะดูวิดีโอการบรรยายของผมได้ที่ http://knowhow.swpark.or.th/videos/viewvideo/453/software-engineering/iasa-thailand-seminar-12011–enterprise-architecture-for-e-government-session–27.html

ทั้งนี้ในการบรรยายผมได้พยายามชี้ให้ว่า EA ก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าการวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) ที่จะเอา Vision, Mission และ Business ขององค์กรเป็นตัวนำ แล้วมาดูว่าไอทีจะเข้ามาช่วยได้อย่างไร  ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการทำ EA   จะไม่ใช่เรื่องของฝ่ายเทคโนโลยีเป็นหลักแต่จะต้องเป็นเรื่องของทุกภาคส่วนในองค์กร ตั้งแต่ผู้บริหาร ฝ่ายธุรกิจ ฝ่ายปฎิบัติการ และฝ่ายเทคโนโลยี ทั้งนี้แผนผังที่ได้จากการทำ EA ในองค์กรมักจะมีอย่างน้อย  4 ด้านหลักคือ

  • Business Architecture เพื่อแสดงกลยุทธ์ขององค์กร, Business Process ของแต่ละฝ่าย, Organization Chart
  • Information Architecture เพื่อแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีข้อมูลอย่างไรในแต่ฝ่าย, Database หรือ MetaData
  • Application Architecture เพื่อแสดงให้เห็นว่าในองค์กรจะต้องมีระบบโปรแกรมหรือระบบไอทีอะไรบ้าง ในการที่จะตอบโจทย์ของธุรกิจต่างๆ
  • Technical Architecture เพื่อแสดงโครงสร้าง Hardware, Software  หรือแม้กระทั่ง  Telecom Network    ในองค์กร

แผน EA นอกจากจะช่วยให้เราได้ผังหลักๆ  4 ด้านนี้แล้ว เราอาจจะเห็นผังย่อยๆในเรื่องต่างๆดังแสดงในรูป

ประโยชน์ที่ได้จากการทำ EA ก็คือเรื่องของ Cost Saving  ที่จะทำให้เกิดการลงทุนที่คุ้มค่า ทั้งนี้เมื่อเราจะมี  Project ใหม่ๆ เราก็จะมาพิจารณาจากแผน EA เพื่อให้ได้ Solution Architectire ที่เหมาะสมตาม  Architecture  ต่างๆที่วางไว้ และการเลือกเทคโนโลยีต่างๆตามแผน

การทำ EA ควรจะเริ่มต้นจากการได้รับการสนับสนุนที่ดีจากผู้บริหารเพราะ EA ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายไอทีแต่อย่างเดียว และสิ่งที่สำคัญอีกเรื่องคือการพิจารณาเลือก  Framework  ในการทำ EA ซึ่งที่นิยมมักจะมีสองตัวคือ TOGAF และ Zachman Framework

สำหรับเอกสารการบรรยายที่ได้ทำขี้น ผมได้รวบรวมมาจากแหล่งต่างๆดังนี้

Slide จาก SlideShare.net

เอกสารจาก Wikipedia

วิดีโอจาก YouTube

ในด้านของการอบรมการทำ Enterprise Architecture ผมได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆในวงการไอทีหลายคน และคนหนึ่งที่ร่วมงานกันมาด้วยดีตลอดคือคุณดนัยรัฐ ธนบดีธรรมจารี ที่มีตำแหน่งเป็น  Enterprise Architect ของ  Oracle ที่ดูแลงานในหลายๆประเทศในภูมิภาคนี้ และผมได้เชิญมาเป็นวิทยากรพิเศษของ IMC Institute และจะมีการอบรม Enterprise Architecture in Cloud Computing Era ในวันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2556 โดยสามารถมาดูรายละเอียดการอบรมได้ที่ >> EA Course

ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

การบรรยายและ Presentation ของผมเรื่อง Cloud Computing

ในช่วง 2-3  ปีที่ผ่านมานี่ผมมีโอกาสไปบรรยายด้าน Cloud Computing หลายๆที่และในหลายๆหัวข้อ จริงๆอาจกล่าวได้ว่าในตอนที่ผมอยู่  Software Park ผมพยายามที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยตระหนักในเรื่องของ  Cloud Computing และ Mobile Technology อย่างมาก

ผมเองไม่ได้เป็นแค่ค้นหรือรวบรวมเอกสารมาบรรยาย แต่ตัวผมเองอยู่กับ Cloud Technology ทั้งการใช้งานส่วนตัวที่เป็น Personal Cloud และในงานขององค์กร เอกสาร รูปภาพ ไฟล์ต่างๆผมอยู่บน Cloud ทั้งหมด โดยใช้มันตั้งแต่ Dropbox, Picasa, Google Apps, Evernote, Springpad, Salesforce และอย่างอื่นๆอีกมากบน Cloud เรียกกันว่าทุกอย่าง  Sync กันหมดในทุกอุปกรณ์ตั้งแต่  Mac, Galaxy S III, iPad และ Apple TV

นอกจากนี้ผมยังเป็นคนที่พัฒนาโปรแกรมบน Cloud Platform  โดยใช้ PaaS ทั้งที่เป็น Google App Engine, Heroku และวันนี้ก็เล่น  Force.com ในส่วนการพัฒนา Application ผมเองก็ใช้สอนและอบรมในหลักสูตร  Mini Master of Java Technology มาหลายปีและก็เขียนเอกสารและแบบฝึกหัดต่างๆให้ผู้เข้าอบรมได้พัฒนา Application บน Cloud PaaS

อีกด้านก็คือการไปร่วมงานวิจัย การบรรยายทั้งในและต่างประเทศในเรื่อง  Cloud Computing และค้นคว้่าข้อมูลต่างๆที่เกีี่ยวกับ Cloud  จึงทำให้เข้าใจ Cloud Computing ได้ดีขึ้น และก็โอกาสไปแลกเปลี่ยนให้กับที่ต่างๆบ่อยครั้ง

ผมเห็นมีคนมาถามหาเรื่อง Presentation เกี่ยวกับ Cloud Computing ผมเลยเขียน บล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆที่ผมไปบรรยายมากกว่า 30  ครั้งในเรื่อง  Cloud Computing เผื่อบางท่านจะเก็บไว้อ้างอิง รวมถึงการทำ Workshop เรื่อง  Cloud Computing ของผม โดยมีข้อมูลแบ่งไปตามการบรรยายต่างๆดังนี้

การบรรยายงาน International Seminars

การบรรยายให้กับบริษัทซอฟต์แวร์และ  IT Vendors

การบรรยายให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์

การบรรยายให้กับกลุ่ม SME และผู้ใช้ทั่วไป

วิดีโอการบรรยาย

 เอกสารการสอน

สำหรับเอกสารการพัฒนาโปรแกรม   Cloud Computing บน Google App Engine  ที่ผมมีประกอบด้วย  Slide ประกอยการสอน และแบบฝึกหัดต่างๆดังนี้

นอกจากการบรรยายเรื่อง Cloud Computing และการทำวิจัยแล้ว ผมก็ยังสอนการพัฒนาโปรแกรมบน Cloud Computing อยู่โดยผมจะสอนอยู่สาม  Course คือ

  • Java Web Programming Using Cloud Platform โดย Course นี้จะเน้นการพัฒนาโปรแกรม  Java Web อย่าง Servlet/JSP และก็มีการให้นำ Application ขึ้น Cloud PaaS อย่าง Google App Engine และ Heroku: Course  นี้ให้ทาง IMC Institute เปิดในระหว่างวันที่  18-22 กุมภาพันธ์ 2556
  • Google App Engine for Java Developers อันนี้เป็น Course ที่สอนให้พัฒนาขึ้น Google Cloud  โดยใช้ภาษาจาวา ซึ่งจะเจาะลึกไปถึงการเก็บข้อมูลทั้งการใช้ Big Table และการทำ  Local Database เพื่อเก็บข้อมูลในองค์กรโดยใช้ MySQL  : Course  นี้ให้ทาง IMC Institute เปิดในระหว่างวันที่ 23-24,  31 มีนาคม 2556
  • Force.com Development Quick Start จะเป็นหลักสูตรที่สอนการพัฒนา  Application โดยใช้ Force.com  ที่เป็น PaaS ของ SalesForce การอบรมนี้ตั้งใจจะทำเป็น Training of the month ในเดือนเมษายน 2556 โดยจะเป็น workshop สองวันระหว่างวันที่ 18-19 เมษายน 2556

ดร.ธนชาติ นุ่มมนท์

IMC Institute