เมื่อเร็วๆ นี้ World Economic Forum ได้ลงบทความเรื่อง “13 signs the fourth industrial revolution is almost here” ซึ่งระบุว่าตอนนี้เรามีสัญญาณต่างๆ หลายอย่างที่ทำให้เห็นว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่กำลังใกล้มาถึงแล้ว ทั้งนี้เราเคยมีการปฎิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหญ่มาแล้วสามครั้งคือ
- ครั้งแรก ในช่วงปี 1784 เมื่อการคิดค้นเครื่องจักรไอน้ำทำให้เกิดโรงงานการผลิตสินค้าและมีระบบการขนส่งที่ดีขึ้น
- ครั้งที่สองในช่วงปี 1870 เมื่อมีการคิดค้นไฟฟ้าและเกิดโรงงาน ที่สามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมาก
- ครั้งที่สามในช่วงปี 1969 เมื่อมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ทำให้ระบบต่างๆ มีการทำงานได้รวดเร็ว โดยอัตโนมัติได้มากขึ้น
การปฏิวัติอุตสาหกรรมแต่ละครั้งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิต การทำงาน การเคลื่อนย้ายการทำงาน และหากที่ใดปรับตัวไม่ทัน ก็อาจต้องเลิกกิจการและทำให้คนบางอาชีพต้องตกงาน การปฏิวัติแต่ละครั้งอาจมีช่วงเวลาที่นานและแต่ละครั้งก็ไม่เหมือนกัน
ในปัจจุบัน มีสัญญาณชี้ให้เห็นว่าเรากำลังเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ มันคงเป็นเรื่องของข้อมูล หุ่นยนต์ และการวิเคราะห์และคาดการณ์ข้อมูลต่างๆ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่สำคัญอาทิเช่น
- ผู้คนเข้าสู่โลกดิจิทัลมากขึ้น
- เรามีมือถือที่มีความสามารถยิ่งกว่า Supercomputer ในอดีต
- เรามีอุปกรณ์สวมใส่ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต (Wearable Devices)
- เราก้าวเข้าสู่ยุค Ubiquitous computing
- Storage ในการเก็บข้อมูลมีราคาถูกลงมาก จนมีการคาดการณ์ว่าในปี 2025 ข้อมูลที่เราเก็บเกือบ 90% จะอยู่ Storage ที่มีขนาดไม่จำกัดและฟรี
- อุปกรณ์ IoT จะมีใช้อย่างแพร่หลาย และในทศวรรษหน้าจะมีอุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่ต่อกับอินเตอร์เน็ตมากกว่าหนึ่งล้านล้านชิ้น
- เราจะมีการใช้ Big Data วิเคราะห์ข้อมูล
- บ้านจะเปลี่ยนเป็นบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) และก้าวสู่เมืองอัจฉริยะ (Smart City)
- หุ่นยนต์จะมาทำงานแทนเราในหลายๆ ด้าน
- สกุลเงินดิจิทัลเริ่มมีการใช้อย่างแพร่หลายขึ้น ซึ่งเราจะเห็นได้จากสัญญาณว่าบางประเทศอย่างสวีเดนก็พยายามเลิกใช้เงินสดแล้ว
- เครื่องพิมพ์สามมิติจะมีการใช้งานมากขึ้น
- เรากำลังเข้าสู่ยุค Sharing Economy
รูปที่ 1 ผลการสอบถามของ WEF
นอกจากนี้ทาง WEF ยังได้ทำการสอบถามความเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและผู้บริหารต่างๆจำนวน 800 รายในความเป็นไปได้ในเรื่องของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาในปี 2025 หรืออีก 10 ปีข้างหน้าดังรูปที่ 1 จะเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมีความเชื่อในเทคโนโลยีว่าจะมาแทนที่อนาคตอาทิเช่น
- คนเกือบ 10% จะสวมใส่เสื้อผ้าที่ต่ออินเตอร์เน็ต
- จะมีหุ่นยนต์ทำงานแทนเภสัชกร
- จะมีรถยนต์ที่ผลิตจากเครื่องพิมพ์สามมติ
- สินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 5%จะถูกผลิตจากเครื่องพิมพ์สามมติ
- ประชากรโลกกว่า 90% จะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตสม่ำเสมอ
- รถกว่า 10% บนถนนในสหรัฐอเมริกาจะเป็นแบบไร้คนขับ
ตัวอย่างที่ยกมาให้เห็นน่าสนใจเพราะมันจะทำให้งานหลายๆอย่างเปลี่ยนไป ตอนนี้ทางสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการศึกษาและเชื่อกันว่างานมากกว่าครึ่งหนึ่งสามารถถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ และต้องเร่งพัฒนาคนให้มีทักษะที่มากขึ้นกว่าเดิม ลองคิดดูว่าแค่เรื่องเครื่องพิมพ์สามมิติถ้าสามารถใช้สินค้าอุปโภคบริโภคได้ ฐานการผลิตก็จะย้ายออกไปสู่ประเทศและหน่วยงานที่มีนวัตกรรม ไม่ต้องพึ่งพาแรงงานในการผลิตราคาถูก
ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องเร่งคิดเรื่องนี้จริงจัง ปฎิรูปคนปฎิรูปการศึกษาบ้านเรา เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมในอนาคต
ธนชาติ นุ่มนนท์
สถาบันไอเอ็มซี