Gartner ได้ประกาศ Strategic Technology Trends 2021 ออกมาเมื่อเร็วๆนี้ ทั้งนี้ในปีนี้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้านเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้สังคมโลกเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในแง่ของวิธีการทำงานและการใช้ชีวิตของผู้คนจากการที่จะต้องสร้างระยะห่างทางสังคม (Social distancing) และน่าจะมีผลต่อเนื่องในระยะยาวที่จะทำให้พฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนแปลง จึงทำให้ Gartnerแบ่งแนวโน้มด้านเทคโนโลยีปีนี้ไว้เป็นสามกลุ่มคือ
- ด้าน People centricity ซึ่งถึงแม้ว่าโควิด-19 จะทำให้การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป แต่คนก็ยังเป็นศูนย์กลางของธุรกิจที่จำเป็นจะต้องทำให้กระบวนการทำงานต่างๆถูกแปลงเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
- ด้าน Location independence โควิด-19 ทำให้เกิดสังคมที่ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่แบบเดิม ทำงาน เรียนหรือใช้ชีวิตประจำวันที่ไหนก็ได้ จึงจำเป็นจะต้องมีเทคโนโลยีที่จะมาสนับสนุนพฤติกรรมรูปแบบใหม่ๆ
- ด้าน Resilient delivery วิกฤติโควิด-19และการถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้ธุรกิจจำเป็นที่จะต้องปรับตัวและมีความคล่องตัว จึงต้องมีการเตรียมเทคโนโลยีที่สามารถมารองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากกระแส Digital disruption
ทั้งนี้ในปีนี้ Gartner ประกาศแนวโน้มเทคโนโลยีออกมาเพียง 9 อย่าง ซึ่งแตกต่างจากปีก่อนๆที่ปกติจะมี 10 อย่าง โดยมีเทคโนโลยีดังนี้
ด้าน People centricity
- Internet of Behaviours เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้สามารถเก็บข้อมูลของผู้คนได้มากขึ้น ทั้งข้อมูลของลูกค้าในเชิงธุรกิจและข้อมูลของประชาชนสำหรับภาครัฐ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจมาจากโซเชียลมีเดีย Internet of things หรือมือถือ ทำให้สามารถเข้าใจพฤติกรรมผู้คนได้มากขึ้น และอาจนำมาใช้งานในด้านต่างๆได้ดีขึ้นทั้งเรื่องของการให้บริการลูกค้า หรือการควบคุมการเกิดโรคระบาด เช่นการตรวจสอบว่ามีการใส่หน้ากากหรือไม่จากกล้องอัจฉริยะ หรือได้ล้างมือหรือยังจากระบบเซ็นเซอร์ของก็อกน้ำ ตลอดจนการมีระบบติดตามผู้คนทำให้ทราบพฤติกรรมของผู้คนได้มากขึ้น
- Total experience คือการรวบรวมประสบการณ์ที่หลากหลายทั้งจาก ประสบการณ์ของลูกค้า (customer experience) ประสบการณ์ของพนักงาน (employee experience) และประสบการณ์ของผู้ใช้ (user experience) มาเพื่อเปลี่ยนแปลงให้ได้ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่นในช่วงโควิด-19 มีบริษัทด้านโทรคมนาคมแห่งหนึ่งได้ติดตั้งระบบนัดหมายผ่านโมบายแอป และเมื่อลูกค้ามาตามเวลานัดหมายพอใกล้ถึงสถานที่ก็จะสามารถเช็คอินได้อัตโนมัติ และสังข้อความไปแจ้งพนักงานที่อาจใช้แทปเล็ตเพื่อให้บริการและโต้ตอบกับลูกค้าแบบทันทีทันใด ซึ่งจะช่วยลดเรื่อง Social distancing และทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าและพนักงานโดยรวมดีขึ้น
- Privacy-enhancing computation คือการใช้เทคโนโลยีเพื่อจะประมวลผลข้อมูลได้อย่างปลอดภัย โดยประกอบไปด้วยเทคโนโลยีสามด้านคือ 1) การทำระบบและสภาพแวดล้อมที่สามารถประมวลและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างปลอดภัย 2) การทำให้สามารถประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลแบบกระจายไปหลายที่ได้ และ 3) การเข้ารหัสข้อมูลและอัลกอริทึมก่อนที่นำไปประมวลผลและวิเคราะห์ ซึ่งด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้จะทำให้สามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำไปประมวลผลข้ามองค์กรได้ด้วยความปลอดภัย
ด้าน Location independence
- Distributed cloud คือการที่ผู้ให้บริการ public cloud กระจายการติดตั้งระบบ cloud ไว้ในหลายๆแห่งโดยที่การบริหารจัดการบริการและการควบคุมต่างๆยังเป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการ public cloud จึงทำให้องค์กรต่างๆได้ Cloud services ที่ทันสมัย และมีระบบที่ตั้งอยู่ตำแหน่งใกล้กับหน่วยงานเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการส่งข้อมูล และตอบโจทย์ขององค์กรที่ต้องการให้ข้อมูลไม่ย้ายออกไปอยู่ในดำแหน่งไกลๆโดยเฉพาะในต่างประเทศ ทั้งนี้มีการกล่าวว่า Distributed cloud คืออนาคตของ Cloud
- Anywhere operation คือรูปแบบของธุรกิจที่จะให้บริการลูกค้าจากที่ใดก็ได้และพนักงานทำงานจากที่ใดก็ได้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งต้องมีแนวคิดที่มองดิจิทัลต้องมาก่อนโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งที่ตั้ง (Digital first, location independent) โดยมีโครงสร้างพื้นฐานไอทีและแอปพลิเคชั่นแบบกระจาย
- Cybersecurity mesh คือสถาปัตยกรรมแบบกระจาย (Distributed architecture) ที่จะสามารถควบคุมความปลอดภัยทางไซเปอร์ได้อย่างมั่นใจ ยืดหยุ่น และขยายตัวได้ ทั้งนี้เนื่องจากทรัพยากรด้านไอทีจำนวนมากอยู่นอกรัศมีการควบคุมความปลอดภัยที่มักจะกำหนดไว้ภายในองค์กร Cybersecurity mesh จะเป็นการอนุญาตให้ผู้ใช้กำหนดรัศมีการควบคุมความปลอดภัยโดยพิจารณาจากการระบุตัวตน หรือตำแหน่งของผู้ใช้ จึงทำให้สามารถใช้ระบบความปลอดภัยในรูปแบบโมดูลาร์และตอบสนองได้ โดยมีนโยบายจากส่วนกลาง
ด้าน Resilient delivery
- Intelligent composable business องค์กรต่างๆจำเป็นจะปรับตัวอยู่ตลอดเวลาในโลกที่กำลังเปลี่ยงแปลงไป จึงจำเป็นต้องมีสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ดีขึ้นและสามารถที่จะเสริมข้อมูลเหล่าให้เห็นในเชิงลึกได้ ตลอดจนประกอบข้อมูลในแต่ละส่วนย่อยหรือแอปพลิเคชั่นได้ เพื่อที่จะมาพัฒนาระบบต่างๆที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ ตัวอย่างเช่นธนาคารอาจจะต้องสามารถที่จะพยากรณ์แนวโน้มและพฤติกรรมของลูกค้าแล้วสามารถสร้างบริการใหม่ๆได้อย่างรวดเร็ว โดยอาจเป็นการพัฒนาแอปพลิเคชั่นจากระบบเดิมที่มีอยู่จากการจัดเรียงระบบขึ้นมาใหม่แทนที่จะต้องพัฒนาระบบใหม่ทั้งหมด
- AI engineering คือการแก้ปัญหาโครงการด้านเอไอที่มักจะเจอในแง่ของการบำรุงรักษา การขยายระบบ และด้านธรรมาภิบาล โดยการให้การทำเอไอเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาและการทำงานโครงการไอทีต่างๆแทนที่จะมองเป็นโปรเจ็คด้านเอไอโดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องมีขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจนเป็นเป็นตามหลักธรรมภิบาล โดยต้องคำนึงในเรื่องของความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใส จริยธรรม การสามารถอธิบายได้ และเป็นไปตามกฎปฎิบัติต่างๆ
- Hyperautomation คือ แนวคิดที่จะต้องทำให้กระบวนการทำงานต่างๆทั้งทางด้านธุรกิจและไอทีเป็นระบบอัตโนมัติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้เทคโนโลยี Intelligent automationที่หลากหลายแต่สามารถนำมาเชื่อมต่อและประกอบกันได้
ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้องค์กรต่างๆควรจะคำนึงถึงเพื่อกำหนดเป็นกลยุทธ์ในการวางแผน Digital Transformation เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะเกิดขึ้นซึ่งอาจทอดยาวไปถึงอีก 4-5 ปีข้างหน้า
ธนชาติ นุ่มนนท์
IMC Institute