Neo-API Bank แนวทางการแข่งขันของธนาคารพาณิชย์ในกระแสของ FinTech

25182135_982595078554499_4976486232400632025_o (1)

บริษัท Startup กำลังนำเทคโนโนโลยีใหม่ๆเข้ามาให้บริการลูกค้าในกลุ่มธุรกิจการเงินการธนาคาร หรือที่เรียกว่า FinTech (Financial Technology) ทำให้เกิดรูปแบบการแข่งขันใหม่ๆเช่น การให้บริการชำระเงิน (เช่น PayPal, AliPay)  การบริการกู้เงิน (เช่น Lendingclub) จนบางคนตั้งข้อสังเกตว่า FinTech อาจจะทำให้ของธนาคารพาณิชย์แข่งขันลำบากในอนาคต เพราะกลุ่ม Startup มีความคล่องตัวในการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดีกว่าโดยการใช้เทคโนโลยี

แต่แท้จริงแล้วธนาคารพาณิชย์ก็ยังมีจุดแข็งที่เป็นสถาบันที่ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน ที่มั่นใจจะมาทำธุรกรรมต่างๆกับธนาคารมากกว่า FinTech Startup ธนาคารพาณิชย์ยังมีฐานลูกค้าปัจจุบันจำนวนมาก และมีข้อมูลการทำธุรกรรมจำนวนมหาศาลของลูกค้า นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ยังเป็นผู้ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่กำกับดูแลสถาบันการเงินให้ทำธุรกรรมต่างๆได้ ก็คงยังเป็นจุดที่ทำให้ Startup ต่างๆเข้ามาแข่งขันในช่วงนี้ได้ยาก

แต่อุปสรรคที่สำคัญของธนาคารพาณิชย์ที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้งานในการแข่งกับ Startup ก็คือระบบ Core-banking โดยมากยังเป็นระบบไอทีแบบเดิมๆ ยากต่อการปรับนำเทคโนโลยีใหม่ๆบางด้านเข้ามา และมักจะมีความล่าช้าในการดำเนินงาน ข้อสำคัญบางครั้งธนาคารก็อาจไม่มีทีมงานที่จะมาเน้นงานวิจัยที่จะศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆเหล่านี้ในการที่จะนำมาใช้ในระบบของธนาคาร ประกอบกับธนาคารเป็นหน่วยงานที่ใหญ่จึงไม่มีความคล่องตัวเช่นบริษัท FinTech จึงทำให้ธนาคารพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆช้ากว่ากลุ่ม FinTech ที่อาจเน้นธุรกรรมการเงินเฉพาะในบางด้าน

ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องปรับระบบเทคโนโลยีด้านไอทีให้สามารถที่จะให้บริการธุรกรรมต่างร่วมกับกลุ่ม FinTech Startup เหล่านี้ให้ได้ โดยอาศัยการปรับเทคโนโลยี Core Banking ให้สนับสนุนการใช้  API (Application Programming Interface) เพื่อให้โซโลชั่นของกลุ่ม FinTech สามารถเชื่อมต่อและเรียกใช้งานได้ โดยอาศัยจุดแข็งของธนาคารที่มีใบอนุญาต มีลูกค้าจำนวนมากในปัจจุบันที่มีอยู่ในฐานข้อมูลลูกค้า (CRM) และมีระบบในการตรวจสอบตัวตนลูกค้า (KYC) ซึ่งไม่ใช่จุดแข็งของกลุ่ม FinTech Startup แนวโน้มของธนาคารพาณิชย์ปัจจุบันจึงจะต้องปรับตัวเป็น Neo-API bank ที่อาจมีโมเดลดังรูปที่ 1 ที่เป็นการใช้ Core Banking Platform  + API Layer + KYC + CRM  + Banking License ของธนาคารพาณิชย์ร่วมกับโซลูชั่นของกลุ่ม FinTech ที่เชื่อมต่อผ่าน API Layer ทั้งนี้ Neobank จะมีความแตกต่างกับ Challenge Bank ที่เป็นธนาคารใหม่ซึ่งอาจต้องมีใบอนุญาตใหม่แล้วมีการทำธุรกรรมโดยไม่ใช้รูปแบบเดิมๆเช่นอาจเป็น Digital Bank ล้วนๆโดยไม่มีสาขา แต่ทั้งนี้นิยามของ Neobank เองก็ยังสับสนบางแห่งก็ระบุว่าเป็นบริษัทที่ให้บริการธุรกรรมทางการเงินโดยไม่ได้เน้นเรื่องใบอนุญาตธนาคาร

Screenshot 2017-10-13 16.19.09

รูปที่  1 Neo-API Bank (Core banking platform + API Layer + CRM + KYC + Banking License + FinTech Companies)  [ภาพจาก The next 10 years in Fintech, Kantox]

นอกจากนี้หากเราพิจารณาถึงระดับขั้นของการเปลี่ยนแปลง (Disruption) ที่ทาง FinTech จะมีผลกระทบต่อระบบหลักของธนาคารอาจแบ่งได้ตามกลุ่มของต่างๆดังรูปที่ 2 ซึ่งกลุ่มวงนอกจะกระทบต่อสถาบันการเงินก่อนวงในๆ กล่าวคือ กลุ่มของ Banking Tech เช่นการทำ Data Management, Analytic, CRM หรือ Security จะเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกรรมของธนาคาร ขั้นต่อมาคือกลุ่มของ Payments เช่น Mobile Payment หรือ P2P Money Transfer ระดับขั้นที่สามคือ Cyber Currency สกุลเงินดิจิทัลเช่น Bitcoin หรือ Digital Wallet ขั้นต่อมาคือ กลุ่มของ Business Finance เช่น CrowdFunding หรือ P2P Business Lending ระดับขั้นที่ห้า คือกลุ่มของ Consumer Finance เช่น Personal Finance Management, Mortage Lending, Robo Advisor หรือ P2P Consumer Lending และขั้นสุดท้ายคือการทำ Alternative Core เช่น Alternative car insurance หรือ  Digital Bank

Screenshot 2017-10-13 17.40.24

รูปที่ 2 Layers of disruption in FinTech [ภาพจาก SparkLabs]

ในปัจจุบันเราเริ่มเห็นตัวอย่างของ FinTech ที่ร่วมกับ Neobank หลายๆแห่งอาทิเช่น Moven ซึ่งเป็น mobile first experience platform โดยร่วมมือกับ CBW Bank หรือ Simple ซึ่งเป็น FDIC-insured checking accounts โดยร่วมมือกับ Compass Bank และ Bancorp Bank ทั้งนี้ทาง Techfoliance ได้จัดทำ The Global NeoBank Landscape และนำเสนอเป็นบทความและรายชื่อของ Neobank ที่สำคัญทั่วโลกดังรูปที่ 3

Screenshot 2017-10-13 18.23.56

รูปที่ 3 The Global NeoBank Landscape [ภาพจาก Techfoliance]

กล่าวโดยสรุปธนาคารพาณิชย์ต่างๆคงต้องปรับระบบ  Core banking เพื่อให้สามารถใช้จุดแข็งของธนาคารเพื่อให้ร่วมมือกับ FinTech ได้มากขึ้น ทั้งนี้กลุ่มแรกที่จะเห็นก็คงเป็นเรื่องของ Banking Tech และ Payment

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

 

ก็เพราะว่าผมใช้ Cloud Computing เลยทำให้ผมทำโครงการต่างๆได้ง่ายขึ้น

22221771_938806159600058_2163465171428810350_n

ผมเริ่มใช้ IaaS/PaaS cloud computing มามากกว่า 10 ปี การที่ผมใช้ cloud computing เริ่มแรกอาจจะมองที่ว่ามันประหยัดค่าใช้จ่ายมันทำให้ผมสร้าง server ได้เร็วขึ้น พัฒนา Web Application ได้สะดวกขึ้นและสามารถทำอะไรได้มากขึ้นกว่าเดิม แต่เอาเข้าจริงๆแล้วสิ่งที่ผมได้ประโยชน์จากการใช้ cloud computing มันมีมากกว่าการประหยัดค่าใช้จ่าย มันช่วยทำให้ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆได้รวดเร็วขึ้น อาทิเช่นในยุคที่มี big data เริ่มต้นผมก็ใช้ cloud computing ในการสร้าง server ทดลองติดตั้ง big data Hadoop เวอร์ชั่นต่างๆ ทำให้ผทเรียนรู้ big data ได้รวดเร็วกว่าคนอื่น มี Machine Learning/Deep Learning เข้ามาผมก็ใช้ Cloud computing ทำการทดลอง กล่าวคือ Cloud Computing ทำให้สร้างนวัตกรรมและสร้างความคล่องตัวในการทำงาน

หลายๆคนเคยถามคำถามผมว่าทำไมไม่ใช้ Cloud Comuting ในประเทศ ซึ่งถ้ามองแค่การสร้าง virtual server แน่นอนหรอกครับเราอาจจะพิจารณาการใช้ cloud computing ที่มีอยู่ในประเทศ แต่สิ่งที่ผมทำ มันมีความต้องการใช้ Service ต่างๆมากกว่าแค่ virtual server ผมใช้ทั้ง Database as a service, Storage as a service, Hadoop as a service หรือแม้แต่ Machine learning as a service

บ่อยครั้งที่ทาง IMC Institute จัดอบรมหลักสูตรต่างๆแล้วเอา cloud computing เข้ามาช่วยในการเรียนการสอน เราให้ผู้เรียนสามารถสร้าง virtual server ใช้ service ต่างๆบน cloud จนบางครั้งเราเปิดเครื่อง Server มากถึงเกือบ 100 เครื่อง นอกจากนี้เรายังนำคลาวด์คอมพิวติ้งเข้ามาใช้ในการทำงานทำวิจัยทั้งการพัฒนาระบบ big data ต่างๆเพราะหากต้องรอจัดหาโครงสร้างพื้นฐานเช่นการหาซื้อเครื่อง server การหาซอฟต์แวร์มันคงต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก

ผมเริ่มเล่นคลาวด์คอมพิวติ้งในช่วงแรกๆโดยใช้ Google App Engine ในการสร้าง Application และก็นำมาสอนให้คนอื่นๆใช้ ต่อมาก็ใช้ Amazon web services ตอนเริ่มต้นเหมือนหลายๆคนก็อาจจะเล่นแค่ EC2 เอามาสร้าง virtual server และการใช้บริการอย่างอย่าง S3 ที่เป็น Cloud Storage จากนั้นก็ขยับมาใช้ RDS, EMR, BeansTalk และ Service อื่นๆจำนวนมาก และนำมาเป็น Cloud Computing หลักในการสอน แต่พบว่าค่าใช้จ่ายค่อยข้างสูงและไม่สะดวกกับผู้เข้าอบรมที่จะต้องนำไปเรียนรู้ต่อ

ผมเองก็ใช้ Microsoft Azure ในการทำงานและการสอนต่างๆ โดยเฉพาะการใช้ HDInsight ที่เป็น Big Data Service และการใช้เครืองมืออย่าง Machine Learning as a Service ที่สะดวกและทำให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่อง Machine Learning ได้ง่าย จุดเด่นของ Azure อีกอย่างคือมีการทดลองให้ใช้ฟรีทุกบริการวงเงิน $200 ซึ่งมากพอให้คนเรียนรู้และสร้างนวัตกรรมต่างๆได้

ทุกวันนี้ Google Cloud Platform (GCP) คือบริการ Cloud Computing หลักๆที่ผมใช้ โดยเฉพาะในการทำโครงการ Big Data ใช้ในการสอนหลักสูตรต่างๆรวมทั้งหลักสูตรด้าน Big Data เพราะ GCP มีราคาค่อนข้างถูก และผมใช้ สร้าง Services ได้รวดเร็วกว่า และมีวงเงินฟรีเริ่มต้น $300 ทำให้ผู้เรียนสามารถนำไปต่อยอดได้ง่าย ผมใช้บริการบน GCP หลากหลายอาทิเช่น Compute Engine, Cloud Storage, Cloud SQL, DataProc, Big Query, Machine Learning และ Data Studio ด้วยบริการบน Cloud ทำให้ผมสามารถทำ Machine Learning กับข้อมูลมหาศาลหลายร้อยล้านเรคอร์ด การทำ Big Data กับข้อมูลเป็น TeraByte ได้อย่างรวดเร็ว

Screen Shot 2015-04-15 at 6.33.15 PM

Cloud Computing เป็นการสร้างนวัตกรรมให้กับองค์กร มันทำให้องค์กรสามารถเข้าถึงระบบได้อย่างรวดเร็ว มันสามารถทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานข้อสำคัญสุด มันสร้าง time to Market ไห้กับองค์กรได้อย่างรวดเร็วสามารถแข่งกับคู่แข่งได้

แม้ผมจะสอนคนใช้ Cloud Computing แบบลงมือปฎิบัติมาเป็นพันคนเกือบสิบปีแล้ว รวมถึงสอนอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายร้อยคน หลายๆคนเคยเรียนหลักสูตรต่างๆกับผม แล้วผมพาทำ Lab โดยใช้ Cloud Computing แต่ผมก็อดแปลกใจไม่ได้ เมื่อไปบรรยายตามที่ต่างๆแล้วยังพบว่าคนไอทีไทยส่วนใหญ่ก็ยังไม่ค่อยสัมผัสหรือเล่น Cloud Computing เหล่านี้ ผมก็ไม่แน่ใจว่าเราจะแข่งขันกับต่างประเทศได้อย่างไร เพราะเวลาไปคุยกับต่างประเทศเขาคุ้นเคยกับการใช้บริการเหล่านี้จนเป็นเรื่องปกติ เพราะวันนี้การจะทำนวัตกรรมให้ได้รวดเร็วมันต้องพึ่งบริการ Cloud Computing ดังนั้นหากเราจะมุ่งไปสู่ Thailand 4.0 จริงเราคงต้องเร่งส่งเสริมให้คนไอทีเข้ามาสู่ระบบ Cloud Computing กันมากกว่านี้ มิฉะนั้นเราคงจะแข่งกับเขาลำบาก

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

 

Big Data as a Service แนวทางการทำโครงการ Big Data ที่ไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

Screenshot 2017-09-18 10.59.49

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาผมเดินสายบรรยายเรื่อง Big Data Jumpstart  โดยแนะนำให้องค์กรต่างๆทำ  Big Data  as a Service ซึ่งเป็นการใช้ Cloud Services ของ Public cloud หลายใหญ่ต่างๆทั้ง  Google Cloud Platform, Microsoft Platform หรือ Amazon Web Services (AWS) ทำให้เราสามารถที่จะลดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลโดยเฉพาะกับองค์กรขนาดกลางหรือขนาดเล็กที่ไม่มีงบประมาณหลายสิบล้านในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน Big Data

Screenshot 2017-10-02 08.27.19

รูปที่ 1 องค์ประกอบของเทคโนโลยีสำหรับการทำ Big Data

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหรือการจัดหาเทคโนโลยีสำหรับโครงการ Big Data โดยมากจะมีการลงทุนอยู่สี่ด้านคือ 1) Data Collection/Ingestion สำหรับการนำข้อมูลเข้ามาเก็บ  2) Data Storage สำหรับการเก็บข้อมูลที่เป็นทั้ง structure และ unstructure 3) Data Analysis/Processing สำหรับการประมวลผลข้อมูลที่อยู่ใน data storage และ 4)  Data visualisation  สำหรับการแสดงผล

ปัญหาที่องค์กรต่างๆมักจะมีก็คือการจัดหาเทคโนโลยีด้าน Data storage ที่จะต้องสามารถเก็บ Big Data ซึ่งนอกจากจะมีขนาดใหญ่แลัวข้อมูลยังมีความหลากหลาย จึงต้องหาเทคโนโลยีราคาถูกอย่าง Apache Hadoop มาเก็บข้อมูล แต่การติดตั้งเทคโนโลยีเหล่านี้ก็มีค่าใช้จ่ายในการหาเครื่องคอมพิวเตอร์ Server จำนวนมากมาใช้ และค่าใช้จ่ายด้าน Hardware ก็ค่อนข้างสูงหลายล้านบาท บางทีเป็นสิบล้านหรือร้อยล้านบาท ซึ่งอาจไม่เหมาะกับองค์กรขนาดเล็ก หรือแม้แต่องค์กรขนาดใหญ่ก็มีคำถามที่จะต้องหา Use case ที่ดีเพื่อตอบเรื่องความคุ้มค่ากับการลงทุน (Returm of Investment) ให้ได้

ดังนั้นการทำโครงการ Big Data ไม่ควรจะเริ่มต้นจากการลงทุนเรื่องเทคโนโลยี ไม่ใช่เป็นการจัดหาระบบอย่างการทำ Apache Hadoop แต่ควรจะเป็นการเริ่มจากคิดเรื่องของธุรกิจเราต้องคิดเรื่องของ Business Transformation (Don’t thing technology, think business transformation) การทำโครงการ Big Data ควรเริ่มจากทีมด้านธุรกิจไม่ใช้หานักเทคโนโลยีมาแนะนำการติดตั้งระบบหรือลง Hadoop หรือหานักวิทยาศาสตร์ข้อมูลมาทำงานทันที เพราะหากฝ่ายบริหารหรือฝ่ายธุรกิจมีกลยุทธ์ด้าน Big Data เข้าใจประโยชน์ของการทำ Big Data ได้ เราสามารถเริ่มต้นโครงการ Big Data ได้อย่างง่าย โดยใช้ประโยชน์จากบริการ Big Data as a Service บน Public cloud ซึ่งทำให้องค์กรไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในราคาแพง ที่อาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

เทคโนโลยีในการทำ Big Data  ต่างๆเช่น Big data storage (อย่าง Hadoop HDFS) เราสามารถใช้ Cloud Storage  อย่าง Amazon S3, Google Cloud Storage หรือ Azure Blob เข้ามาแทนที่ได้ โดยบริการเหล่านี้ค่าใช้จ่ายในการใช้จ่ายในการใช้งานจะต่ำกว่าการติดตั้ง Hadoop มาใช้งานเป็นสิบหรือร้อยเท่า แม้อาจมีข้อเสียเรื่องเวลาในการ Transfer ข้อมูลจาก site ของเราขึ้น Public Cloud แต่หากมีการวางแผนที่ดีแล้วสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับเรื่องความปลอดภัยของข้อมูบบน Public cloud หากมีการพิจารณาการใช้ข้อมูลที่เหมาะสมหรือการเข้ารหัสข้อมูลก็จะตัดปัญหาเรื่องเหล่านี้ไปได้

เช่นเดียวกันในการประมวลผลเราสามารถใช้บริการบน Public cloud ที่ใช้ระบบประมวลผลอย่าง Hadoop as a service เช่น DataProc บน Google Cloud Platform, HDInsight ของ Microsoft Azure หรือ EMR ของ AWS ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตามระยะเวลาการใช้งาน  (pay-as-you-go) ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องเปิดระบบตลอด และมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำมาก รวมถึงการใช้บริการอื่นๆอย่าง Machine Learning as a Service บน public cloud  ที่มีความสามารถที่ค่อนข้างสูง ทำให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้แต่การทำ Data Visualisation เราก็สามารถที่จะใช้เครื่องมือบน public cloud ที่จัดเป็น Big Data Software as a Service อย่างเช่น Google Data Studio 360, PowerBI บน Microsoft Azure หรือ Quicksight ของ AWS ได้ ซึ่งรูปที่ 2 ก็แสดงสรุปให้เห็นบริการ Cloud Service เหล่านี้ บน public cloud platform ต่างๆ

Screenshot 2017-10-02 12.09.47

รูปที่ 2 Tradition Big Data Technology เทียบกับ Big Data as a Service ต่าง

ซึ่งการทำโครงการ Big Data โดยใช้ public cloud เหล่านี้สามารถที่จะเริ่มทำได้เลย ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้น และค่าใช้จ่ายที่ตามมาก็เป็นค่าบริการต่อการใช้งาน ซึ่งค่าบริการที่อาหมดไปหลักๆก็จะเป็นค่า Cloud Storage  ที่อาจเสียประมาณเดือนละไม่ถึงพันบามต่อ Terabyte และหากเราต้องการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกบริการเหล่านี้ก็สามารถใช้ได้ทันที ซึ่งวิธีการตัดสินใจที่จะทำโครงการ Big Data เหล่านี้ก็จะไม่ได้เน้นเรื่องของความคุ้มค่ากับการลงทุนมากนัก เพราะค่าใช้จ่ายเริ่มต้นต่ำมาก แต่มันจะกลายเป็นว่า เราจะทำโครงการอะไรที่ให้ประโยชน์กับธุรกิจมากสุด และเมื่อเริ่มทำลงทุนเรื่มต้นเล็กน้อยก็จะเห็นผลทันทีว่าคุ้มค่าหรือไม่

กล่าวโดยสรุป วันนี้เราสามารถเริ่มทำโครงการ  Big Data ได้เลยโดยเริ่มที่โจทย์ทางธุรกิจ คุยกับฝั่งธุรกิจ ไม่ใช่เริ่มที่เทคโนโลยี

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

ตุลาคม 2560

การลดช่องว่างเชิงดิจิทัลคือก้าวแรกที่สำคัญสู่ Thailand 4.0

Screenshot 2017-09-18 10.59.49

ผมคิดว่าปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการที่จะก้าวไปสู่ Thailand 4.0 ก็คือช่องว่างเชิงวิกฤตเชิงดิจิทัล (Digital Divide) ของภาคประชาชนและหน่วยราชการเอง ผมเองมีโอกาสได้สัมผัสกับการทำงานทั้งภาคเอกชนและภาคราชการ และยังมีโอกาสได้สอนอบรมผู้คนจำนวนมากทั้งในด้านเทคนิคองค์ความรู้ดิจิทัลต่างๆ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ผมยังเห็นช่องว่างของการใช้เทคโนโลยีอีกมาก ระหว่างประชาชนในเมืองกับชนบท ระหว่างภาคราชการกับภาคเอกชน กับองค์กรขนาดใหญ่และ SME  แม้เราจะบอกว่า คนไทยทุกวันนี้ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น แต่โดยมากก็เพื่อความบันเทิงเช่น เล่น Facebook เล่นไลน์ เล่น Youtube แต่การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของข้าราชการและประชาชนจำนวนมากยังมีน้อยอยู่

ผมคิดว่าองค์กรของเราส่วนใหญ่โดยเฉพาะภาคราชการยังขาดวัฒนธรรมเชิงดิจิทัล (Digital Culture) ซึ่งมันมีความหมายมากกว่าการใช้เทคโนโลยี องค์กรที่มีวัฒนธรรมเชิงดิจิทัลไม่ได้หมายความว่าจะต้องลงทุนกับการซื้อเทคโนโลยีมากมาย ไม่ได้หมายความว่าผู้คนในองค์กรจะต้องเก่งการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สิ่งสำคัญคือองค์กรจะต้องมีความโปร่งใส ต้องมีการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ ต้องฝึกการใช้เทคโนโลยีในการทำงานร่วมกัน ต้องมีความคล่องตัวในการทำงาน และต้องรู้จักการแชร์ข้อมูล

แต่ทุกวันนี้หน่วยงานในประเทศหลายหน่วยงานยังใช้เอกสารจำนวนมาก ราชการยังยึดติดกับเอกสาร เรายังส่งแฟกซ์ เซ็นชื่อเข้าประชุม เรายังทำเอกสารโดยใช้กระดาษ เรามีการแชร์ข้อมูลน้อยมาก บุคลากรเองก็ขาดทักษะเชิงดิจิทัล หากเราไม่สามารถพัฒนาบุคลากรรู้จักใช้เครื่องมือใหม่ๆเหล่านี้ ยังขาดวัฒนธรรมเชิงดิจิทัล ผมเชื่อว่านโยบายไทยแลนด์ 4.0 คงไปไม่ถึงไหน

digital-divide-and-development-communication-3-638

หากเรามองแต่กลุ่มของ SME เราก็จะพบว่า SME จำนวนมากยังใช้ digital ในขั้นพื้นฐาน เราอาจจะเก็นการขายของออนไลน์ เอามาทำ marketing บ้าง แต่ SME ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีวัฒนธรรมเชิงดิจิทัล จำนวนมากก็ยังใช้ free email การลงทุนด้าน digital ก็ค่อนข้างต่ำ เราแทบไม่ค่อยเห็น SME ลงทุนกับซอฟต์แวร์ เห็นการลงทุนการใช้ cloud technology ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของ big data การทำ data analytics ที่ SME บ้านเรายังห่างไกลกับอีกมาก ผมแทบไม่ค่อยห็น SME บ้านเรามาใช้ colllaboration tool เช่น Google doc หรือ Office 365 online ในการทำเอกสารร่วมกัน แม้เราอาจเห็น SME จำนวนมากนำเทคโนโลยี่มาใช้ในการสื่อสารเช่นการใช้ facebook การใช้ line แต่ถ้ามองในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานก็ยังถือว่าไม่สูงมาก

ในกลุ่มของคนพัฒนาเทคโนโลยีเราอาจดีใจที่เห็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ กลุ่ม Start up หลายๆแห่งหันมาพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ถ้าเรามองลึกไปจริงๆก็ยังหนีไม่พ้นในเรื่องของการพัฒนาเว็บ การขายของออนไลน์ การเล่นกับ social media แต่พอมองนวัตกรรมในเชิงลึกเหมือนที่นักพัฒนาต่างประเทศกำลังให้ความสนใจอย่างหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ เรื่องของหุ่นยนต์ เรื่องของ big data เราจะพบว่าคนของเรายังห่างไกลกับเรื่องเหล่านี้อีกมาก

ผมคิดว่านอกเหนือจากการจะพัฒนาคนให้ลดช่องว่างเชิงดิจิทัลในแง่ของการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆให้เราทันกับต่างชาติแล้ว เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างภาคราชการกับเอกชนระหว่างองค์กรใหญ่ๆกับ SME ระหว่างผู้คนในเมืองกับสังคมต่างจังหวัด หากยังปล่อยทิ้งไว้ผมคิดว่านโยบายไทยแลนด์ 4.0 จะยิ่งสร้างปัญหาให้กับสังคมจะยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นมีมากยิ่งขึ้น

เป็นไปไม่ได้ที่เราจะให้คนกำหนดนโยบายหรือผู้ปฏิบัติงานหรือผู้เชี่ยวชาญไปมองเทคโนโลยีของต่างประเทศ โดยการเน้นเดินทางไปดูงานเอา Best Practice ของประเทศต่างๆมาใช้ โดยคนเหล่านี้สัมผัสกับชนบทไทยสัมผัสกับต่างจังหวัดน้อยมากๆเ ราต้องกำหนดให้เขาเหล่านั้นต้องเข้าใจสังคมไทยมากขึ้นโดยเฉพาะช่องว่างของสังคมต่างจังหวัดกับสังคมในเมือง อย่ามองว่ากรุงเทพฯคือประเทศไทย ต้องคิดเพื่อช่วยทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นการสร้างโอกาสให้กับคนต่างจังหวัดเพื่อลดช่องว่างเชิงชนชั้น ดังนั้นสิ่งแรกสุดที่เราควรจะทำเพื่อ คือการกำหนดนโยบายที่เป็นการลดช่องว่างเชิงดิจิทัลและต้องสร้างวัฒนธรรมดิจิทัลให้กับองค์กรทั้งภาคราชการและ SME

 

ธนชาติ นุ่มมนท์

IMC Institute

เอกสารและลายเซ็น คืออุปสรรคของการก้าวสู่ Thailand 4.0

Screenshot 2017-10-06 17.30.17

รัฐบาลพยายามพูดถึง Thailand 4.0 พูดถึงรัฐบาลดิจิทัลแต่ก็ดูเหมือนว่าขับเคลื่อนช้าไม่ไปไหนเสียที เอกสารต่างๆก็เยอะไปหมด แม้จะมีคำสั่งออกมาให้เลิกสำเนาเอกสารที่ออกจากหน่วยราชการเช่นบัตรประจำตัวประชาชนหากประชาชนต้องไปติดต่อราชการ ต่อหน่วยราชการส่วนใหญ่ก็ยังขอสำเนาอยู่ดีพร้อมให้เราต้องลงนามว่าสำเนาถูกต้อง

ผมมีโอกาสได้สัมผัสกับงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เวลาทำงานกับหน่วยงานรัฐหนังสือราชการจะเยอะไปหมด จะเข้าประชุมทีเอกสารหนาเป็นร้อยๆหน้าและเอกสารจำนวนมากที่แจกมาก็ไม่ได้อ่านหรือไม่จำเป็น จะไปประชุมจะไปบรรยายราชการแต่ละครั้งหนังสือเชิญเต็มไปหมด จะบรรยายทีก็มาขอเอกสารการบรรยายจะแจกคนเข้าฟังทั้งๆที่ควรอยู่ในรูปดิจิทัลได้แล้ว บางที่ก็ต้องลงเวลาเข้าออกขอสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน มีเอกสารที่ต้องลงนาม หรือที่มีบุคคลต่างๆลงนามเยอะไปหมด จนทำให้คิดไปว่าถ้าราชการไม่มีเอกสาร ไม่มีการลงนาม คือไม่ได้ทำงานหรอ ทั้งๆที่การส่งเอกสารลงลายเซ็นไม่ไดเป็นเครื่องวัดอะไรเลยว่าได้งานอย่างมีประสิทธิภาพ

เราจะไปเป็น Thailand 4.0 ได้อย่างไร ถ้าเรายังยึดติดกับวัฒนธรรมเดิม ยึดติดกับเอกสารและลายเซ็น ผมว่าเอกสารและลายเซ็นเป็นตัวถ่วงทำให้ Thailand 4.0 เกิดขึ้นอยาก เราต้องทำลายความคิดเดิมๆที่ว่าต้องมีเอกสารและลายเซ็นออกไปให้ไปได้ มิฉะนั้นแล้วเราก็ไม่สามารถทำงานในโลกดิจิทัล ที่จะทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้ทุกที่ ทุกเวลา

ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันลายเซ็นไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนอะไรได้เลย เมื่อปีที่ผ่านมาผมมีประสบการณ์อันเลวร้ายที่ถูกคนบางคนเอาลายเซ็นผมไปสแกนออกจดหมายเชิญ จดหมายไปทำเอกสารต่างๆเป็นจำนวนมาก ต่างกรรมต่างวาระ แม้กระทั่งหนังสือถึงรัฐมนตรีโดยที่ผมไม่ได้รับทราบทั้งก่อนและหลังออกหนังสือ ซึ่งผมเองไปพบด้วยด้วยตนเองจากข้อมูลของผู้ที่ได้รับหนังสือที่สแกนลายเซ็นผม ผมคงไม่กล่าวถึงรายละเอียดของเหตุการณ์นั้น แต่ประเด็นก็คือลายเซ็นที่ถูกสแกนไม่มีใครทราบว่าผมไม่ได้รับลงนาม และราชการเองก็สำเนาจดหมายผมไปเรื่อยๆทั้งๆที่ไม่มีร่องรอยของเอกสารจริงเลย คำถามก็คือแล้วเราทำไมจะต้องสนใจเอกสารหรือลายเซ็นอีกในเมื่อมันปลอมกันง่ายๆแบบนี้ ทำไมไม่ส่งเอกสารทางอีเมล ส่ง Line ส่ง SMS กัน แล้วให้เจ้าตัวเองเป็นคนส่ง

Screenshot 2017-09-02 09.30.35

ถ้าเราเลิกวัฒนธรรมความเชื่อเรื่องเอกสารและลายเซ็นได้แล้วพยายามสร้างวัฒนธรรมดิจิทัลในหน่วยราชการผมว่าก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของภาคราชการที่จะก้าวสู่ Thailand 4.0 ซึ่งเราจะไปถึงจุดนั้นได้มันไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เครื่องมืออย่าง Office Tools ต่างๆแต่มันมีอะไรมากกว่านั้นอาทิเช่น

  1. ผุ้นำองค์กรต้องเป็นแบบอย่างการสร้างวัฒนธรรมดิจิทัล เลิกการออกหนังสือ เซ็นหนังสือ ต้องสั่งให้การประชุมเป็นแบบไร้เอกสาร ต้องใช้การสื่อสารแบบออนไลน์และเน้น Paperless มากขึ้น
  2. ราชการต้องออกกฎหมายยกเลิกการลงนามเอกสารที่ไม่จำเป็น เช่นหนังสือเชิญประชุม การเซ็นชื่อเข้าออก การลงนามรับเรื่องต่างๆแล้วหันมาใช้ Digital Identity ที่จะบอกตัวตนได้ดีกว่า ที่พูดถึงลายเซ็นที่ปลอมกันได้ง่าย
  3. ต้องลดใช้เอกสารต่างๆทั้งหมด ในการประชุม ในการทำงานต่างๆ สร้างรูปแบบเอกสารในการเก็บดิจิทัล ที่เป็นมาตรฐานเช่น PDF และรับรองการส่งข้อมูลแบบดิจิทัลผ่านอีเมล หรือ Tool ต่างๆมากขึ้น
  4. หันมาใช้ share storage เลิกใช้ Thumb drive ส่งกันไปมา เก็บเอกสารต่างๆเพื่อให้แบ่งปันได้แล้วจัดลำดับชั้นความลับ
  5. สร้างนิสัยการทำงานร่วมกัน ใช้ collaboration tool ในการจัดทำเอกสารต่างๆไม่ใช่ใช้ word, excel, PowerPoint ส่งเอกสารทางอีเมลไปมา
  6. เน้นให้องค์กรเป็น Data driven ทุกอย่างใช้ข้อมูลประกอบในการตัดสินใจ มันก็จะทำให้ราชการเห็นความสำคัญของดิจิทัล
  7. หน่วยงานต้องมีความโปร่งใส จะเป็นองค์กรดิจิทัลได้ต้องมีธรรมาภิบาล และความโปร่งใสในการบริหารงาน ข้อมูล เอกสารจะถูกแชร์กันอย่างเป็นระบบ ชั้นความลับเมื่อพูดถึง Thailand 4.0 หรือ Industry 4.0 ผมไม่ค่อยเป็นห่วงภาคเอกชนละครับ ที่กลัวก็คือภาคราชการ ไม่ต้องบอกภาคเอกชนว่า 4.0 หรือ 5.0 เขาก็ไปกันได้เองละครับ แต่ที่เป็นตัวถ่วงทำให้เขาเดินกันไม่ได้ก็ภาคราชการนี่ละครับ เราเริ่มกันเรื่องนี้ก่อนไหมครับ ลดเอกสารและลายเซ็น

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

ระดับการวัดความสามารถในการนำ Big Data ไปใช้ในองค์กร

 

ผมเห็นว่าวันนี้ทุกคนต่างก็พูดเรื่อง Big Data ตั้งแต่คนไอทีไปจนถึงนายกรัฐมนตรี ต่างก็บอกว่าจะเอา Big Data  มาใช้ในองค์กร บ้างก็บอกว่าทำแล้วบ้างก็บอกว่ากำลังทำ บางคนทำรายงานอะไรเล็กน้อยก็บอกว่าทำ Big Data อยู่ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าแต่ละคนเข้าใจความหมายของ Big Data แค่ไหน แต่ไม่ว่าจะมองนิยาม  Big Data อย่างไรก็ตามผมมองว่า Big Data มีเป้าหมายสำหรับองค์กรในสามประเด็นดังนี้

  1. การนำข้อมูลขนาดใหญ่มาช่วยในการตัดสินใจได้ดีขึ้น เช่นสามารถตอบได้ว่าเราควรจะทำอะไร นำสินค้าใดมาขาย ลูกค้าเราอยู่ที่ใด จะใช้จ่ายงบประมาณอย่างไร
  2. การนำข้อมูลขนาดใหญ่มาช่วยให้การทำงานดีขึ้น เช่นทราบข้อมูลโดยทันทีว่าลูกค้าต้องการอะไร ทราบตำแหน่งของลูกค้าเป้าหมาย หรือช่วยเพิ่มยอดขาย จะใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพอย่างไร
  3. การทำให้ข้อมูลเป็นทรัพย์สินขององค์กร และทำให้เกิด Business Transformation เช่นการนำข้อมูลที่มีอยู่ไปต่อยอดร่วมกับคู่ค้ารายอื่นๆเพื่อสร้างสินค้าใหม่ๆ

การทำ  Big Data ไม่ใข่แค่เรื่องของการทำ  Data Cleansing, Data Warehouse, Business Intelligence หรื่อเรื่องของเทคโนโลยี องค์กรที่จะทำ Big Data อาจต้องเปลี่ยนทัศนคติในรูปแบบเดิมๆอยู่หลายเรื่อง ซึ่งผมมักจะยกคำพูดสั้นมา 3-4  ประโยคเกี่ยวกับ Big Data  ดังนี้

  • Don’t think technology, think business transformation.
  • Don’t think data warehouse, think data lake.
  • Don’t think business intelligence, think data science.
  • Don’t think “what happened”, think “what will happen”.

สุดท้ายต้องทำความเข้าใจเรื่องระดับความสามารถของการนำ Big Data ไปใช้ในองค์กร (Big Data Matuarity Model)  ว่ามีอยู่ 5 ระดับดังรูปนี้ ซึ่งจะบอกได้ว่าองค์กรของเราอยู่ในระดับใด

Screenshot 2017-09-01 11.46.57

รูปที่ 1 Big Data Business Model Maturity Index, จาก Big Data MBA, Bernard Marr

  1. Business Monitoring ในขั้นตอนนี้องค์กรยังเพียงแค่ทำ Business Intelligence หรือยังทำ Data Warehouse ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เราจะแสดงข้อมูลหรือทำรายงานต่างๆขององค์กรในลักษณะของ Descriptive Analytic ที่เราจะดูข้อมูลในอดีตเพื่อให้ทราบว่า What happened?
  2. Business Insights  ในขั้นตอนนี้จะเป็นการเริ่มต้นทำ Big Data Project ที่มีการทำ  Data Lake เพื่อรวบรวมข้อมูลจากทั้งภายในและภายนอกองค์กรทั้งข้อมูลที่เป็น structure, unstructure  หรือ semi-structure เพื่อทำ Predictive Analytic  เพื่อให้ทราบว่า What will happen?
  3. Business Optimization ในขั้นตอนนี้จะเริ่มเห็นความคุ้มค่าของการลงทุนทำ Big Data Project โดยจะเป็นการทำ Prescriptive Analytic เพื่อให้ทราบว่า How should we make in happen?
  4. Data Monetization ในขั้นตอนนี้จะเป็นการขยายผลเพื่อนำ Data ที่จะเป็นทรัพยากรขององค์กรไปใช้เป็นสินทรัพย์ในการทำงานร่วมกับคู่ค้าหรือองค์กรอื่นๆ
  5. Business Metamorphosis ในขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นสูงสุดของการทำ Big Data ที่จะเห็นเรื่องของ Business Transformation  ในองค์กรซึ่งอาจเห็นรูปแบบการทำงานใหม่ๆ ธุรกิจใหม่ หรื่อผลิตภัณฑ์ใหม่ๆขององค์กร

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า การทำ Big Data Project  ไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างที่เข้าใจ จำเป็นต้องปรับวิธีคิดในองค์กรอย่างมาก และต้องเข้าใจเป้าหมายและระดับขั้นของการทำ Big Data ในองค์กร

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

พฤศจิกายน 2560

Big Data เพื่อสร้าง Digital Disruption ในองค์กร (ตอนที่ 2)

ผมเขียนบทความนี้ตอนที่ 1 ไว้นานมากแล้ว (Big Data เพื่อสร้าง Digital Disruption ในองค์กร (ตอนที่ 1)) เพิ่งมีเวลาเขียนตอนที่สองในวันนี้ ซึ่งในตอนนี้จะกล่าวถึงประเด็นที่ควรทำในเรื่องของการทำ Big Data ต่างๆดังนี้

  1. Big Data คือหลักการของ Data Lake องค์กรที่คิดว่าจะนำ Big Data มาสร้างความเปลี่ยนแปลงองค์กร จำเป็นต้องรวบรวม Data ต่างๆที่มีอยู่ทั้งภายในและภายนอกในลักษณะข้อมูลดิบ (Raw Data)  มาเก็บไว้ใน Data Lake เพื่อที่นำข้อมูลต่างๆมาใช้ในการวิเคราะห์และประมวลต่อไป กล่าวคือ Big Data จะเริ่มต้นด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วค่อยตั้งคำถามต่างๆในอนาคต
  2. Big Data ไม่ใช่เริ่มด้วยการทำ Data Warehouse  หรือการทำ Business Intelligence (BI) แบบเดิม แต่ Data Warehouse และ BI  คือส่วนหนึ่งของ Big Data ทั้งนี้การทำ Data Warehouse จะคำนึงถึงการทำ  Data Cleansing  และการทำรายงานเป็นครั้งๆไป ซึ่งการทำ  Data Cleansing และ Load Data เข้าสู่ Data Warehouse จะทำให้ Information หลายๆอย่างในข้อมูลดิบ จำนวนมากถูกลดทอนไปเพื่อทำรายงาน และเมื่อต้องการทำรายงานใหม่ๆ ก็อาจจะทำการ Load Data ชุดใหม่เข้ามาทำให้เสียเวลาในการทำงาน
  3. องค์กรจะต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Big Data ซึ่งควรจะเป็นการลงทุนด้าน Data Lake เช่นการจัดหา Hadoop มาใช้ในองค์กร ดังแสดงในรูปที่ 1  และไม่ควรที่จะต้องลงทุนไปกับ Data Warehouse ด้วยอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ราคาสูงเกินไป เพราะ Data Lake จะมีราคาที่ถูกกว่า และสามารถ  Offload  ข้อมูลจาก Data Warehouse ลงมาได้ ดังนั้นการทำ Big Data Project  คือการเริ่มต้นจากการทำ Data Lake
  4. องค์กรที่สามารถใช้ Public Cloud ได้ อาจพิจารณาการทำ  Big Data  โดยใช้  Big Data as a Service  ที่อยู่บน Platform ต่างๆเช่น AWS, Google Cloud หรือ Microsoft Azure  ซึ่งจะมีบริการอย่าง  Cloud Storage  หรือ Hadoop as a Service
  5. คุณค่าของ Big Data ทีสำคัญเป็นเรื่องของการทำ Predictive Analytics ซึ่งต้องการทีมงานที่มีความรู้ทาง Data Science ที่มีความรู้และแนวคิดที่แตกต่างจากกลุ่มคนที่ทำ Data Warehouse และ BI องค์กรควรจะสร้างทีมขึ้นมาใหม่ที่มีความรู้ด้าน  Data Science แยกออกมาจากกลุ่มคนเดิม ทีมงาน  Data Science  จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีคนที่เข้าใจธุรกิจขององค์กร ดังนั้นบางครั้งการสร้างทีมจากภายในจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า โดยอาจผสมผสานกับคนใหม่ที่มาจากภายนอก ทั้งนี้การเลือกคนมาทำต้องเน้นคนที่มีความเข้าใจเรื่อง คณิตศาสตร์และสถิติ มากกว่าคนไอทีที่เน้นการพัฒนาโปรแกรม
  6. องค์กรควรจะมีการพัฒนาบุคลากรในทุกระดับให้เข้าใจหลักการของ Big Data และประโยชน์ที่จะได้รับ ให้เข้าใจว่า  Big Data จะมา  Disrupt ธุรกิจอย่างไร
  7. การทำ  Big Data Analytics แต่ละเรื่องจำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อมูล หา Algorithm  ที่เหมาะสม ผู้บริหารไม่ควรที่จะคาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งแตกต่างจากการขอรายงานที่ได้จาก BI ที่พนักงานสามารถจะหารายงานได้รวดเร็วกว่ามาก
  8. อย่าเริ่มต้นการทำ  Big Data ด้วยการลงทุนขนาดใหญ่ และโครงการ Big Data  ที่ดีไม่ควรเริ่มจากฝ่ายไอทีตามลำพัง

datalake21

รูปที่ 1 ตัวอย่างของ Data Lake Architecture  โดยใช้  Hadoop

ทั้งหมดนี้คือข้อคิดสั้นๆที่ผมอยากแนะนำต่อ เพื่อให้องค์กรเริ่มทำโครงการ Big Data ในแนวทางที่เหมาะสม

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

กรกฎาคม 2560

 

Big Data เพื่อสร้าง Digital Disruption ในองค์กร (ตอนที่ 1)

 

การใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนทั้งเรื่องการทำงานและเรื่องส่วนตัวล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างข้อมูลใหม่ขึ้นมา ตั้งแต่เราตื่นนอนก็อาจมีเวลาที่เราตื่น การทานอาหารที่ใด ไปที่ไหน การทำงานก็มีข้อมูลตลอดว่าเราทำอะไร ส่งเอกสารหาใคร เขียนข้อความอะไร  หน่วยงานทุกแห่งล้วนมีข้อมูลจำนวนมากจากการทำงาน การติดต่อลูกค้า และการทำธุรกรรมต่างๆแต่ในอดีตข้อมูลเหล่านี้ไม่ถูกบันทึกในรูปแบบของดิจิทัลทั้งหมดทั้งนี้เพราะมีข้อจำกัดในเรื่องเทคโนโลยี

การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่อย่าง Internet of Things หรืออุปกรณ์ต่างๆ ประกอบกับการเปลี่ยนของเทคโนโลยีในการเก็บข้อมูล ที่รูปแบบข้อมูลเปลี่ยนไป และราคาที่ถูกลง รวมถึงการที่คอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้เราสามารถบันทึกข้อมูลต่างๆในการทำงาน การใช้ชีวิตประจำ ลงไปได้มากขึ้น และเก็บรวบรวมเป็นข้อมูลขนาดใหญ่  (Big Data) ที่แตกต่างจากการเก็บข้อมูลเพียงแค่ในฐานข้อมูลแบบเดิมที่เป็น Database หรือ Datawarehouse ในอดีตที่จะต้องเลือกเก็บข้อมูลบางอย่าง ไม่ใช่ Big Data ที่ควรจะเป็น

เมื่อหน่วยงานมี Big Data ที่สามารถรวบรวมข้อมูลจำนวนมากลงมาในรูปแบบของ Data Lake ก็เกิดความท้าทายขึ้นมาว่า แล้วเราจะนำข้อมูลเรานั้นมาวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์อย่างไร กล่าวคือการทำ Big Data Analytics หลายๆหน่วยงานเข้าใจแต่เพียงว่าคือการนำมาสร้างรายงานให้เห็นข้อมูลต่างๆในรูปแบบของ Business Intelligence และไปเข้าใจว่าการทำ Digital Transformation ของหน่วยงานคือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ แล้วนำรายงานที่ได้จาก Big Data มาใช้ประโยชน์

Screenshot 2017-04-22 16.33.53

จริงๆทุกวันนี้เราพูดถึงคำว่า  Digital Disruption  เราพูดคำว่า Industry 4.0 แล้วก็บอกว่า  Robot หรือ Artificial Intelligent / Machine Learning  กำลังเข้ามา เราเห็นธุรกิจหลายอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไป แต่เราไปคิดว่ามันก็คือแค่การใช้ดิจิทัล การหาซอฟต์แวร์เข้ามาใช้งาน หลายหน่วยงานก็พยายามจะปรับหน่วยงานไอทีในองค์กร หานักพัฒนาซอฟต์แวร์ ลงทุนฮาร์ดแวร์เพิ่มด้วยความเข้าใจว่า เราต้องทำ Digital Transformation หรือพยายามเต้นตามกระแส Industria; 4.0/ Thailand 4.0 อย่างไม่เข้าใจ

แต่จริงๆแล้วธุรกิจหลายๆอย่างที่กำลังทำให้เกิด Digital Disruption อย่าง  Amazon.com, Alibaba, Uber, AirBnb, eBay หรือ Facebook  ล้วนแต่เกิดการจากการนำ Big Data องค์กรที่ได้จากการบันทึกข้อมูลจากการทำงานมาใช้เช่นข้อมูลการทำธุรกรรมของลูกค้าในการทำธุรกรรมมาวิเคราะห์ หน่วยงานเหล่านี้ต่างมีทีมงาน  Data Scientist  จำนวนมาก มีแผนก  Data Science ที่คอยคิดวิเคราะห์ว่าจะนำ Big Data มาเปลี่ยนแปลงธุรกิจได้อย่างไร จะนำมาสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ๆได้อย่างไร และก็มีผลทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทำให้รุกคืบเข้าไปเปลี่ยนธุรกิจต่างๆ ทำให้ธุรกิจที่ไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูลแข่งขันไม่ได้

ดังนั้นการรู้จักนำ Big Data  มาใช้ในองค์กร ที่สำคัญคือการรู้จักใช้หลักการของ Data Science มาเพื่อทำการคาดการณ์ธุรกิจ ซึ่งนอกเหนือจากจะทำให้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว ที่สำคัญคือ Big Data อาจทำให้เกิด  Digital Disruption  อาจทำให้เห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆที่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ โดยใช้หลักการของ Machine Learning หรือการนำข้อมูลมาใช้โดยทีมงาน Data Scientist แล้วอาจทำให้โอกาสใหม่ๆดังเช่นบริษัทที่กล่าวข้างต้น และก็จะทำให้หน่วยงานสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้

แต่ Big Data ไม่ใช่แค่เรื่องของ Business Intelligence  ไม่ใช่งานแบบเดิมๆของหน่วยงานอย่าง Datawarehouse ไม่ใช่แค่ใช้ทักษะของนักพัฒนาโปรแกรม หรือคนดูแลฐานข้อมูล แต่เป็นงานของคุนกลุ่มใหม่ที่องค์กรจะต้องกล้าและต้องสร้างทีมใหม่ขึ้นมา  ข้อสำคัญBig Data ไม่ใช่ Quick win ไม่ใช่โปรเจ็คระยะสั้น แต่มันคือการลงทุนเพื่ออนาคต ลงทุนคน ลงทุนเทคโนโลยีใหม่ แล้วต้องหวังผลระยะยาว มันคือคำถามที่ว่าผู้บริหารระดับสูงจะกล้าเสี่ยงไหม เพื่อเห็น  Digital Disruption ขององค์กร

วันนี้ผมขอเริ่มต้นแค่นี้ก่อน แล้วจะมาต่อเป็นประเด็นต่างๆทีควรทำในครั้งหน้า

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

เมษายน 2560

การปรับองค์กรให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยการใช้ Big Data

 

ผมมักจะได้ยินผู้บริหารหน่วยงานต่างๆภาครัฐและเอกชนจำนวนมาก บอกว่าเราจะกำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัล กำลังเข้าสู่ยุค Industrial 4.0 เราต้องมีการนำข้อมูลขนาดใหญ่มาใช้เพื่อพัฒนาองค์กร บ้างก็บอกว่ากำลังทำ Big Data บ้างก็มอบหมายให้ฝ่ายไอทีไปทำโครงการ Big Data บางหน่วยงานก็เริ่มไปได้ดีเพราะมีผู้ที่เข้าใจเรื่อง Big Data และการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ บางหน่วยงานก็ไปไม่ถูกทาง ฝ่ายไอที ฝ่ายการตลาดก็เร่งจัดหาซื้อเครื่องมือ ฐานข้อมูล ทำ Data warehouse บ้าง หาเครื่องมื่อมาทำ Business Intelligence บ้าง เพื่อจะสร้างรายงานต่างๆให้กับผู้บริหาร ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเคยไปเจอบางหน่วยงานฝ่ายไอทีบอกว่าเรายังไม่พร้อมทำ  Big Data  เพราะเรายังไม่ต้องการเอาข้อมูล Social Media มาวิเคราะห์

พื้นฐานความเข้าใจเรื่อง Big Data ในแต่ละหน่วยงานอาจแตกต่างกัน แต่ถ้าเราไม่พยายามทำความเข้าใจและวางกลยุทธ์ให้ถูกต้อง ผมคิดว่าเราก็อาจไม่ประสบความสำเร็จในการปรับองค์กรให้เข้าสู่ยุคดิจิทัลหรือการทำ  Digital Transformation โดยใช้ Big Data  ผมเคยเขียนบทความลงในบล็อกนี้เรื่อง โครงการ Big Data กับความจำเป็นต่อการลงทุนด้านเทคโนโลยี และได้บอกไว้ว่า โครงการ Big Data ที่ดีควรเริ่มที่ฝั่งธุรกิจ ควรจะต้องพิจารณาก่อนว่าต้องการทำอะไร โดย Big Data มีองค์ประกอบที่สำคัญสามอย่าง

  • Data Source
  • Technology
  • Analytics

องค์ประกอบแรก Data Source นั้นสำคัญที่สุด ในชีวิตประจำวันของเราทุกอย่างล้วนสร้างข้อมูลใหม่ขึ้นมา  หน่วยงานทุกหน่วยงานก็ย่อมมีข้อมูลเกิดขึ้นจากการทำงาน Big Data ก็คือข้อมูลเหล่านั้นที่เก็บอยู่ในรูปแบบต่างๆทั้ง Structure  และ Unstructure  การปรับองค์กรสู่ดิจิทัลแล้วเราจะละเลยข้อมูลต่างๆไปย่อมเป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะการจะมุ่งเก็บแต่ข้อมูล Structure แบบเดิมย่อมเป็นเรื่องที่ผิดพลาด องค์กรที่พร้อมในการทำ Big Data เราจะต้องปรับวัฒนธรรมองค์กรให้เป็น  Data-Driven นำข้อมูลมาใช้ รู้จักการทำงานร่วมกันผ่านการแชร์ข้อมูล มีวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความโปร่งใส และข้อสำคัญข้อมูลที่จะแชร์ออกมาใช้อนาคตควรอยู่ในรูปของ API-based ปัญหานี้เป็นเรื่องยากในบ้านเราเพราะ วัฒนธรรมของคนบ้านเราจำนวนมากที่จะรู้สึกหรือคิดว่าข้อมูลเป็นของตนเองและไม่ค่อยยอมจะแป่งปันข้อมูล และอีกประการเราเองจะไม่ค่อยชอบนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจ เราจะเอาความรู้สึกมาตัดสินใจมากกว่าดูจากข้อมูล ดังนั้นการปรับองค์กรสู่ Big Data ประการที่สำคัญสุดคือ การปรับวัฒนธรรมองค์กร

องค์ประกอบที่สอง Technology หลักการสำคัญของ Big Data คือการหาเครื่องมือมาเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล แต่เนื่องจากข้อมูลใหญ่และซับซ้อนขึ้นเกินกว่าเทคโนโลยีแบบเดิมจะจัดการได้ ดังนั้นองค์กรที่จะทำ Big Data จะต้องจัดหาเครื่องมือใหม่ๆเช่น  Hadoop หรือ Cloud Technology  ต่างๆมาใช้ ซึ่งเรื่องนี้ผมได้กล่าวไว้ในหลายๆครั้งแล้วจึงไม่อยากกล่าวซ้ำอีก

องค์ประกอบสุดท้าย Analytics หัวใจสำคัญของ Big Data คือการทำ Big Data Analytics  ที่ต้องการใช้ หลักการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เพื่อทำการคาดการณ์อนาคตจากข้อมูลขนาดใหญ่ งานลักษณะนี้แตกต่างจากการทำ  BI เพราะใช้ทักษะที่ต่างกัน ต้องการคนที่มีความรู้ทางด้าน  Machine Learning หรือกลุ่มที่จะเป็น Data Scientist  ซึ่งต้องมีพื้นฐานคณิตศาสตร์ที่ดี และโดยมากมักจะเป็นคนที่จบการศึกษาสูงกว่าระดับปริญญาตรี หรือเรียนวิชาด้านนี้มาโดยเฉพาะ  ซึ่งผู้ที่จะมาทำด้านนี้ควรมีองค์ประกอบสามด้านคือ Hacking คือความสามารถในการพัฒนาโปรแกรม STATS คือความเข้าใจด้านสถิติและ Machine Learning และ Critical Thinking คือความสามารถในการคิดวิเคราะห์ในธุรกิจนั้นๆ

Screenshot 2017-04-16 09.25.51
รูปที่  1 องค์ประกอบของ Data Science

หลายๆองค์กรจะมีปัญหาเรื่องการหาทีมงานด้าน Data Science บ้างก็จะไป Outsource  จ้างหน่วยงานอื่น บ้างก็ไปตั้งเป็น Virtual Team  บ้างก็ไปฝากงานไว้กับทีมงาน BI หรือทีม Data Warehouse  ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ต่อเนื่องโดยเฉพาะงาน Big Data ที่จะต้องมีข้อมูลหรือเรื่องใหม่ๆให้มาวิเคราะห์ตลอดต้องไม่ใช่ Project Base ทำงานช่วงครั้งชั่วควาร วิธีที่ดีสุดถ้าเราคิดว่าเราต้องทำ  Digital Transformation ในองค์กรคือต้องตั้งทีมใหม่ขึ้นมา ลงทุนจ้างคนมาครับ หาคนที่เข้าใจเรื่อง Data Science มาทำงานร่วมกับคนในองค์กรที่จะอยู่ร่วมทีม และต้องพัฒนาคน ข้อสำคัญอย่าไปคิดนะครับว่าจะจ้างคนต่างประเทศหรือ  Data Scientist ที่ทำงานในต่างประเทศมาแล้วจะทำงานได้เลย คงต้องฝึกและทำงานร่วมกันครับ เพราะวัฒนธรรมเรื่องข้อมูลและการทำงานของเรายังต่างกันาก ดีทีสุดคือเร่งพัฒนาคนในนี่ละครับ จ้างเด็กใหม่ที่จบโทเอกด้านนี้ครับ ต้องลงทุน

คงเป็นข้อคิดสั้นๆแค่นี้ละครับ สำหรับผู้บริหารที่อยากปรับองค์กรสู่  Digital Transformation ด้วย Big Data

ธนชาติ นุ่มมนท์

IMC Institute

เมษายน 2560

การปรับนโยบายด้าน Cloud Computing ของประเทศเมื่อพิจารณาจากผลการสำรวจปี 2017

screenshot-2017-03-05-12-12-29

ทุกๆปีทางบริษัท  Rightscale จะออกรายงานผลการสำรวจสถานภาพการใช้  Cloud Computing ออกมา และสำหรับในปีนี้ทาง Rightscale  ได้ออกรายงานเรื่อง RightScale 2017 STATE OF THE CLOUD REPORT เมื่อต้นเดือนมกราคมปีนี้ โดยเป็นการเปิดเผยข้อมูลการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 1,002 ตัวอย่างที่เป็นการสำรวจคนอาชีพไอทีในองค์กรต่างๆทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศในกลุ่ม APAC ที่มีจำนวน 14% จากกลุ่มตัวอย่าง ผลการสำรวจมีประเด็นที่น่าสนใจที่องค์กรต่างๆในบ้านเราควรนำมาพิจารณาปรับนโยบายในด้าน  Cloud Computing ดังนี้

1)  ควรกำหนด  Cloud First Policy

 

ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าองค์กรส่วนใหญ่เกือบ 95%  มีการใช้ Cloud อยู่โดยที่  89% มีการใช้ Public Cloud, 72% ใช้ Private Cloud และ 67% ใช้ Hybrid Cloud โดยในจำนวนนี้ ที่ใช้ Public Cloud เพียงอย่างเดียวมีแค่ 22% หรือที่ใช้เฉพาะ  Private Cloud  มี 5%  ซึ่งจะเห็นได้ว่าองค์กรมุ่งเน้นพัฒนาไอทีเป็นระบบ Cloud ด้วยเหตุผลต่างๆที่จะกล่าวต่อไป และแนวโน้มก็จะเป็น Hybrid Cloud ซึ่งจากข้อมูลจะเห็นว่าตัวเลขการใช้งาน และติดตั้ง Private Cloud  มีสัดส่วนลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สุดท้ายเราจะเห็นได้ว่า IT Workload ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้ระบบ Cloud โดยมีเพียง 21% ที่เป็น  Non-Cloud ดังนั้นองค์กรต่างๆควรกำหนดให้การใช้ไอทีขององค์กรมุ่งสู่ระบบ Cloud  โดยจำเป็นต้องมีการพัฒนาทั้ง Private Cloud และใช้  Public Cloud

screenshot-2017-03-05-15-27-12

screenshot-2017-03-05-15-37-46

screenshot-2017-03-05-15-40-22

2) ต้องสนับสนุนการใช้ระบบ Cloud มากกว่าหนึ่งแพลตฟอร์ม

ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานมากกว่า 1,000  คน จะมุ่งสู่การสร้างระบบ Cloud แบบหลากหลายแพลตฟอร์ม จะเห็นได้ว่ามีเพียงต่ำกว่า 15%  ที่ตอบว่าใช้ Cloud แบบแพลตฟอร์มเดียวที่อาจเป็น Single Private Cloud หรือ  Single Public Cloud โดยส่วนมากจะเป็นการใช้ Hybrid Cloud หลากหลายแพลตฟอร์ม และก็มีการใช้  Public Cloud หลายราย ดังนั้นองค์กรต่างๆก็ควรจะมีนโยบายกำหนดให้มีการใช้ระบบ  Cloud มากกว่าหนึ่งแพลตฟอร์ม

screenshot-2017-03-05-21-05-14

3) ต้องส่งเสริมให้ผู้ให้บริการ Cloud ในประเทศให้บริการที่มากกว่าการบริการ Virtual Server

ผลการสำรวจในแง่ของการใช้บริการ Public Cloud พบว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการแค่ใช้ Virtual Server ที่เป็น  Linux  หรือ Windows แต่จุดประสงค์การใช้งานมุ่งไปที่ PaaS โดยความต้องการ Database as a Service (DBaaS) อย่าง RDS ของ AWS สูงเป็นอันดับหนึ่ง หรือก็มีการใช้บริการอย่าง Data warehouse, Hadoop as a Service  แต่ขณะที่ผู้ให้บริการ  Cloud  ในบ้านเรายังให้บริการเพียงแค่  IaaS เช่น Virtual Server พื้นฐาน จึงไม่แปลกใจที่ผู้ใช้บริการจะมุ่งเน้นไปที่บริการของ Cloud Provider ในต่างประเทศที่มีบริการหลากหลายกว่า ดังนั้นเราควรส่งเสริมให้ผู้ให้บริการ Cloud  ในบ้านเราทำการวิจัยและพัฒนาสร้างบริการ Cloud ต่างๆที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้นอาทิเช่น  DBaaS, Container as a Service, IoT Services

screenshot-2017-03-05-21-11-54

4) ต้องเร่งส่งเสริมความเข้าใจเรื่องการใช้ Cloud

ข้อมูลการสำรวจแสดงให้เห็นประโยชน์หลักของ  Cloud  ไม่ใช่การลดค่าใช้จ่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ และเป็นความเข้าใจผิดมาตลอด แต่ประโยชน์หลักๆคือความคล่องตัวในการทำงาน การที่จะเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว การขยายระบบได้อย่างมาก และพัฒนาระบบได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันถ้าพิจารณาถึงความท้าท้ายของการใช้ Cloud จะพบว่าเรื่องระบบความปลอดภัยไม่ใช่ประเด็นหลักสำหรับกลุ่มที่มุ่งเน้นการใช้ Cloud  (Cloud Focused group) แต่กลับเป็นเรื่องของการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย และเรื่องของ Complicance  โดยความกังวลเรื่องความปลอดภัยก็จะเป็นเฉพาะกลุ่มผู้เรื่มต้นใช้งาน (Cloud Beginner Group)  แต่ในบ้านเราจะคิดว่าการใช้ Cloud Computing จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายและจะกังวลเรื่องความปลอดภัยสูงเกินไป จึงจำเป็นที่เราต้องส่งเสริมในเรื่องความเข้าใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นเราจะก้าวตามเทคโนโลยีไม่ทัน

screenshot-2017-03-05-21-19-18

screenshot-2017-03-05-21-22-56

5)  ต้องเร่งพัฒนาคนด้าน  Cloud Computing

ความท้าทายหลักๆของเรือง  Cloud Computing คือการขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งบทบาทของไอทีในอนาคตจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่ต้องมาคัดสรรการใช้  Public หรือ  Private Cloud กลายเป็นคนที่ต้องมากำหนดนโยบายการใช้ เป็นผู้ต้องมาบริหารและจัดการค่าใช้จ่าย ตลอดจนเป็นผู้ที่ต้องมาพัฒนา Private Cloud  นอกจากตำแหน่งงานด้านหนึ่งที่กำลังเข้ามาคือ Cloud Architect ประเทศเรายังขาดบุคลากรไอทีที่มีความเข้าใจ  Cloud Computing อยู่มากและแทบจะไม่มี Cloud Architect อยู่เลยดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องให้สถาบันการศึกษาเร่งพัฒนาหลักสูตรทางด้านนี้ให้มากขึ้น และต้องอบรมคนไอทีในปัจจุบันให้มีความเข้าใจเรื่อง Cloud Computing มากขึ้น

screenshot-2017-03-05-21-33-45

screenshot-2017-03-05-21-30-35

6)  ต้องชักจูงให้ Cloud Provider จากต่างประเทศมาลงทุนในบ้านเรา

ตลาด Public Cloud ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นของผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง Amazon Web Services, Microsoft Azure และ Google Cloud ทั้งนี้เนื่องจากเขามีบริการที่หลากหลายตรงความต้องการของผู้ใช้มากกว่าโดยไม่ได้เน้นแค่บริการ Virtual Server  นอกจากนี้บริษัทเหล่านี้ยังมีราคาค่าบริการถูกกว่ารายอื่นๆมากเนื่องจากมี  Economy of Scale  และที่สำคัญบริษัทเหล่านี้มีการทำวิจัยและพัฒนาที่จะออก Cloud Services ด้านใหม่ๆได้หลากหลายทั้ง IoT  Services, Machine Learning as a Service, Big Data  ซึ่งเราอาจจำเป็นต้องเรียนรู้จากเขา และต้องสร้างนโยบายให้เอื้อต่อการที่บริษัทเหล่านี้มาลงทุนให้ประเทศไทยเป็น Cloud Computing Hub อย่างญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ รวมถึงมีการทำวิจัยและพัฒนาบริการต่างๆในประเทศเรา

screenshot-2017-03-05-21-38-29

จากที่กล่าวมาทั้งหมด ก็คือข้อเสนอแนะที่อยากให้ทุกฝ่ายได้นำไปพิจารณาในการปรับนโยบายขององค์หร หรือของประเทศเพื่อเราจะสามารถแข่งขันได้ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institiute