Cloud Computing Trends 2015

วันก่อนผมต้องไปบรรยายให้กับ Inet และ I am Consulting เรื่องของ Cloud Computing Trends ในตอนแรกผมก็พยายามจะดูว่ามีสำนักวิจัยค่ายไหนบ้างที่พูดถึง Trends ในปีหน้า แต่หลังจากค้นไปค้นมาเลยมานั่งคิดว่า ตัวเองก็ศึกษาและดูแนวโน้มเรื่อง Cloud Computing พอควร ก็ควรที่จะเป็นคนหนึ่งที่บอกแนวโน้มได้ เลยทำ Slide กำหนด 10 Trends เองเลยดังนี้

1) ตลาด Cloud Computing ของทั่วโลกกำลังโตขึ้น (Global cloud computing
is growing)

ตลาดด้านไอทีกำลังเปลี่ยนจากภาคฮาร์ดแวร์สู่ภาคบริการ (Service) ซึ่งก็สอดคล้องกับเทคโนโลยี Cloud Computing ซึ่งทาง Gartner คาดว่าตลาดจะโตถึง 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2017 ทั้งนี้ถ้ามองเฉพาะตลาดหลักอย่างบริการ IaaS, SaaS และ PaaS โดยไม่รวมบริการอย่าง Consulting หรือ  Cloud Advertising  ทาง IDC คาดว่าตลาดจะโตถึง 107,200 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2017 โดยตลาดส่วนใหญ่จะเป็น  SaaS ทั้งนี้ผู้ให้บริการรายใหญ่ยังเป็น Amazon Web Services ที่ยังโตต่อเนื่องโดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีรายได้สูงถึง 9,200 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2015 และสำหรับตลาดในเอเซียนิตยสาร Forbes คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 31,982 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020  โดยตลาดส่วนใหญ่เกือบ 50% อยู่ในญี่ปุ่นและเป็นมูลค่า SaaS  ถึง 16,405 ล้านเหรียญสหรัฐ

Screenshot 2014-11-13 07.35.59

รูปที่  1  มูลค่าตลาด Cloud Computing ในเอเซีย [ข้อมูลจาก http://www.forbes.com]

2) จะมีบริการใหม่ๆบน Cloud Computing ที่ทำให้การใช้งานเติบโตมาก (New services make cloud more than mature) 

การบริการของ  Cloud Computing  จะมีมากกว่าแค่ IaaS, PaaS  และ SaaS  ผู้ให้บริการจะแข่งกันออก Service  ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง และทำให้เราสามารถที่จะใช้บริการ Cloud แทนที่จะต้องมาสร้าง IT Infrastructure ขนาดใหญ่ในองค์กร อาทิเช่น Service ที่หลากหลายของ Amazon Web Services ทำให้เราสามารถที่จะสร้าง Larger Scale Web Application Architecture ได้อย่างน้อย นอกจากนี้ผู้ให้บริการแต่ละรายก็จะมีตลาด App Store ของตัวเองอาทิเช่น AWS Application Market และ Salesforce AppExchange

3)  ยังจะมีผู้ให้บริการ  Cloud ในแต่ละประเทศแต่จะเป็นขนาดเล็กกว่าหรือบริการเฉพาะ (Regional/Local cloud smaller or boutique cloud)

แม้ผู้ให้บริการรายใหญ่ระดับโลกจะมีคุณภาพและราคาที่ถูกกว่า และการเป็นผู้ให้บริการ IaaS จำเป็นต้องมีการลงทุน  Data Center ที่สูงมากและเน้นมีลูกค้าจำนวนมาก แต่ความต้องการของหน่วยงานรัฐบาลหรือบริษัทหลายๆประเทศยังจะให้ความสำคัญกับตำแหน่งที่ตั้งของ Data Center ในการเก็บข้อมูล ดังนั้นก็ยังจะมีผู้ให้บริการ IaaS  ขนาดเล็กที่จะคอยให้บริการกลุ่มองค์กรเหล่านี้อยู่ และก็อาจจะมีบริการเฉพาะด้านทีี่อาจเรียกว่า Boutique cloud สำหรับรายเล็กๆที่อาจแข่งขันกับรายใหญ่ได้เช่นการพัฒนา  NoSQL as a Service หรือการทำ  SaaS เฉพาะด้านของแต่ละภูมิภาค

4)  ตลาดโมบายและ Internet of Things จะกระตุ้นตลาด Cloud (Mobile Devices & IoT
booth cloud market)

มีการคาดการณ์ว่าจะมี  smartphone ถึง 4,000 ล้านเครื่อง และจะมีอุปกรณ์ Internet of Things ถึง 50,000 ล้านเครื่องในปี 2020 จำนวนที่มากขึ้นเหล่านี้หมายถึงการที่จะมีข้อมูลมากขึ้น มีการใช้ Personal Cloud  และ Cloud Applications ที่มากขึ้น เพราะจะมีความต้องการให้ข้อมูลตามผู้ใช้ไปได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์

5) องค์กรจะมีการพัฒนา Hybrid Cloud  มากขึ้น (More hybrid cloud adoption)

การจะ Migrate ทุกอย่างขึ้นสู่  Cloud ย่อมเป็นเรื่องที่ยาก ดังนั้นเราจะเห็นว่าองค์กรใหญ่ๆจะมีการใช้งาน Public/Private Cloud ผสมกับระบบที่เป็น  on-Premise ดังนั้น IT Architecture ก็จะถูกออกแบบให้ทำงานทั้งสองระบบร่วมกันได้ ทาง Gartner เองก็คาดการณ์ว่า 50%  ของหน่วยงานต่างๆทั่วโลกจะมี Hybrid Cloud ในปี 2017

6) SaaS จะกลายเป็นรูปแบบหลักในการซื้อ ซอฟต์แวร์ (SaaS becomes de facto for buying new applications)

ซอฟต์แวร์แบบเดิมจะขึ้น Cloud โดยมีรูปแบบของ License และการซื้อขายที่เปลี่ยนเป็น Pay per use โดยทาง IDC  คาดการณ์ว่าในปี 2016 รายได้ของบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วโลกถึง 21.3% จะเป็น SaaS  โดยทาง PwC ก็มีรายงานที่ชี้ให้เห็นว่่าบริษัทต่างๆก็เริ่มสัดส่วนรายได้จาก SaaS ที่สูงขึ้น หลายบริษัทมีรายได้มากกว่า 80% จาก SaaS เช่น Salesforce, Google  หรือ Amazon

7) การพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ๆจะมุ่งสู่ Cloud (New SW development will be mainly on cloud) 

เนื่องจากจะมีผู้ใช้ซอฟต์แวร์ในอนาคตที่มากขึ้น ทำให้ซอฟต์แวร์แต่ละตัวจะต้องอยู่บน IT Infrastructure  ขนาดใหญ่ จึงทำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์จะต้องเรียนรู้การพัฒนาซอฟต์แวร์บน PaaS หรือ IaaS ซึ่งทาง IDC คาดการณ์ว่าตลาด PaaS จะมีมูลค่าสูงถึง 14,000  ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2017 และ 85%  ของซอฟต์แวร์ในปัจจุบันได้ถูกพัฒนาบน Cloud แล้ว นอกจากนี้ทาง Evans Data  ระบุว่า 1 ใน 4 ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลกจำนวน 18 ล้านคนกำลังพัฒนาซอฟต์แวร์บน Cloud

8) ราคาการให้บริการ  Cloud จะลดลง (Cloud pricing is decreased)

ผู้ให้บริการ Cloud ส่วนใหญ่ก็จะลดราคาการให้บริการ Cloud อย่างต่อเนื่อง โดยเราจะเห็น Amazon เป็นผู้นำในการตัดราคาลง โดยในปี 2013  Amazon ลดราคาบริการต่างๆถึง 12 รายการ ทำให้รายอื่นๆต้องลดราคาแข่งตาม ทำให้ในปัจจุบันราคา Computing Service หรือ  Storage Service มีราคาถูกลงมาก อาทิเช่นราคา Storage ของ Amazon S3 มีราคาเพียง $0.03  ต่อ GB ต่อเดือน

9) Big Data as a Service (BDaaS)

ประเด็นสำคัญหนึ่งในการประมวลผลข้อมูล Big Data คือการลงทุนจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ Server จำนวนมากเข้าใช้งาน ซึ่งต้องลงทุนสูงและอาจไม่คุ้มค่า จึงเริ่มมีการให้บริการการประมวลผลบน Cloud Service มากขึ้น ตัวอย่างเช่นการใช้ Hadoop บน Cloud ที่ในปัจจุบันมีผู้ให้บริการรายหลายอาทิเช่น Amazon EMR, Microsoft Azure HDInsight, IBM Bluemix และ Qubole นอกจากนี้ก็อาจจะมีบริการ  Analytics as a Service อย่างเช่น Jaspersoft BI หรือ Birst

10)  จะมีการยอมรับระบบความปลอดภัยบน Cloud มากขึ้น (Cloud security is more acceptable)

แม้ผู้คนจำนวนมากจะมีความกังวลเรื่องระบบความปลอดภัยบน Cloud ซึ่งข้อมูลสำรวจจาก Rightscale หรือของ IMC Institute ก็พบว่าความเห็นที่สอดคล้องกันว่า องค์กรส่วนใหญ่ยังคงกังวลเรื่องความปลอดภัย แต่ถ้าเป็นองค์กรที่ใช้บริการ Cloud แล้วการสำรวจพบว่าจะกังวลน้อยลง และในปัจจุบันผู้ให้บริการส่วนใหญ่ก็มีระบบความปลอดภัยที่ดีขึ้น และมีมาตรฐานหลายด้านเกี่ยวกับ Cloud Security ที่ออกมาใหญ่

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

เมื่อ Amazon Web Services (AWS) เปลี่ยนโลกไอที

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมไปนั่งเรียนหนังสือสองหลักสูตรของ Amazon Web Services คือ AWS Essentials และ Architecturing on AWS รวมสี่วัน แต่ก็มีเข้าๆออกๆไปประชุมบ้าง ไปบรรยายบ้าง ผู้เรียนโดยมากก็เป็น System Admin จากที่ต่างๆ แถมยังมีต่างชาติมาเรียนอีก 2-3 ท่าน ดูลักษณะผมค่อนข้างจะแปลกแยกกับผู้เรียนท่านอื่นๆ เพราะบางวันต้องผูกไทร์ใส่สูทไปเรียน

Screenshot 2014-11-08 10.43.08

รูปที่ 1 การประมาณการรายได้ของบริษัท Amazon Web Services

AWS เป็นบริษัทลูกของ Amazon เป็นผู้ให้บริการ Cloud ที่เป็น Infrastructure as a Service. (IaaS) ที่มีรายได้ต่อปีหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2013 มีรายได้ประมาณ 3.800 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีการคาดการณ์ว่าถ้ารวมมูลค่าการบริการ Cloud ให้กับภายในบริษัทแม่ (Amazon) อาจสูงถึง 19 -30 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์ว่ารายได้ในปีนี้จะโตขึ้นเป็น 6.2พันล้านเหรียญสหรัฐดังแสดงในรูปที่  1 แต่เมื่อรายได้เทียบกับบริษัทแม่ Amazon ที่มีสูงถึง 74.4 พันล้านเหรียญสหรัฐแล้วนั้น AWS ถือว่ายังเล็กกว่ามาก ถ้ากล่าวถึงการจัดอันดับผู้ให้บริการ Cloud IaaS ทาง Gartner ได้จัดให้ AWS เป็นผู้ให้บริการที่อยู่ใน Top Quadrant ดังแสดงในรูปที่ 2 นำหน้ารายอื่นๆพอสมควร เพราะมี Service ต่างๆที่หลากหลายกว่า และ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีมาก

Screenshot 2014-11-08 10.50.17

รูปที่ 2 Magic Quadrant ของ Gartner ด้าน Cloud IaaS

AWS มีจำนวนเครื่อง Server จำนวนมาก ทั้งนี้เคยมีรายงานจาก United Nations เรื่อง Information Economy Report 2013  ประมาณการว่า Amazon น่าจะมี Server ประมาณ 250,000 เครื่องในปี  2012 และเมื่อเร็วๆนี้ก็มีนักวิจัยจาก Accenture คาดการว่า AWS น่าจะมี Server ประมาณ 454,000 เครื่อง จากช้อมูลของ AWS ระบุว่ามี Region ที่ตั้ง Data Center อยู่ 11 แห่งทั่วโลก โดย 4 แห่งอยู่ในสหรัฐอเมริการ ทั้งนี้มีแห่งหนึ่งให้ใช้เฉพาะรัฐบาลอเมริกา มีในยุโรป 2 แห่ง โดยเมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งประกาศ Region แห่งใหม่ในประเทศเยอรมัน ในอเมริกาใต้มี 1 แห่งในบราซิล และมีอีก 4 แห่งในเอเซีย-แปซิฟิก ที่รวมทั้งในประเทศจีน ซึ่งกำหนดการใช้งานโดยรัฐบาลจีน  Region ที่ใกล้บ้านเรามากที่สุดคืออยู่ในประเทศสิงคโปร์ AWS กำหนดให้ในแต่ละ Region ต้องมี Availability Zone (AZ) อย่างน้อยสองแห่ง  ซึ่งแต่ละ AZ เป็น Cluster ของ Data Center อยู่กันคนละที่ตั้ง ใช้ Power Supply ต่างกัน การเดินสาย Network ที่ต่างกัน ดังนั้นแม้จะเกิดภัยวิบัติในAZ แห่งหนึ่ง ก็อาจจะไม่กระทบ AZ อีกแห่งหนึ่ง ทำให้ระบบของ AWS มีความเสถียรมากพอควร นอกจากนี้ AWS. ยังมี Edge Location สำหรับที่ช่วยลด  Latency และเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงระบบอีก 52 แห่ง

Screenshot 2014-11-08 11.00.32

รูปที่ 3 ตำแหน่งที่ตั้ง Regionและ  Edge Location ของ AWS [ยังไม่รวมที่ประเทศเยอรมัน]

AWS ได้เปลี่ยนแปลงการทำงานของคนไอทีอย่างมากมาย และกำลังทำให้โลกของการพัฒนาระบบไอทีเปลี่ยนไป ถ้าเราแค่ว่าจะหา Server มาใช้งานซักตัว การใช้ผู้ให้บริการ Cloud อย่าง AWS กับผู้ให้บริการรายอื่นๆหรือแค่การทำ Virtualization ย่อมไม่ต่างกันมากนัก บางทีอาจแทบจะไม่ต่างกับแบบ on premise ที่จัดหา Server มาใช้งานเองด้วยซ้ำไป แต่ถ้าคำนึงถึงระบบความปลอดภัย ความเสถียรของระบบ การทำAuto-Scability หรือสถาป้ตยกรรมที่ดีสำหรับระบบ Server แล้วระบบ  Cloud IaaS ของ AWS ต่างกับผู้ให้บริการ Cloud รายเล็กอย่างมาก และยิ่งเห็นความแตกต่างเมื่อผู้ให้บริการ Cloud อย่าง AWS มีระบบ  Portal ที่เป็น self service ที่ช่วยให้เรา config ระบบต่างๆได้เอง โดยไม่ใช่เป็นเพียงผู้ให้บริการ Cloud ที่เพียงจัดหา Server ให้เราใช้แล้วต้องผ่าน Call Center ที่คอยมา config เครื่อง Server ให้เราบางเครื่อง แล้วเราไม่สามารถบริหารจัดการได้เอง

Screenshot 2014-11-08 11.13.56

รูปที่ 4 ตัวอย่างของ  Web Application Hosting Architecture โดยใช้  AWS

การเรียนหลักสูตร  Architecturing on AWS  ทำให้เราสามารถสร้างระบบ Server ที่มีสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ดังตัวอย่างของ Web Application Hosting Architecture ในรูปที่ 4 นี้ได้ ซึ่งถ้าเป็นแต่เดิมผมบอกได้เลยว่าการเรียนเพื่อที่จะสร้างระบบ Server ขนาดใหญ่แบบนี้และต้องมา config ระบบจำนวนมากอย่างนี้ โดยได้ปฎิบัติจริงในห้องเรียนแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราต้องหาระบบ Hardware จำนวนมากมาทดลอง และต้องมาทำงานจริงๆใน Data Center ที่ต้องมีเครื่องนับสิบเครื่อง แต่ AWS ได้เปลี่ยนโลกของไอที ในหลักสูตรสี่วันที่ผมไปเรียนทำให้ผมสามารถสร้างระบบแบบนี้ได้ ข้อสำคัญระบบที่สร้างขึ้นเป็นระบบที่ใช้งานได้จริงๆ

AWS มีบริการสำหรับ  IaaS ที่หลากหลายมาก เพื่อให้เห็นบริการบางอย่างผมขอยกตัวอย่าง บริการที่ใช้ทำ Web Application Hosting Architecture ในรูปที่ 4 มาดังนี้

  • Amazon S3 (Simple Storage Service) เป็น strorage ที่ใช่ในการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ โดยมีค่าใช้จ่ายในการเก็บข้อมูลเพียง  $0.03/GB โดยออกแบบมาให้มี Availability 99.99% สำหรับ Object  ที่เก็บอยู่ และมี 99.999999999% สำหรับ Durability
  • Amazon EC2 (Elastic Compute Cloud) ที่ทำหน้าที่เป็น  Server ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนเครื่องใหญ่มากๆ ในรูปที่  4 คือเครื่องที่ทำเป็น Web Servers และ App Servers หลายๆเครื่อง
  • Amazon RDS (Relational Database Service) คือเครื่องที่จะทำหน้าที่เป็น Database Server ที่ทาง AWS  เตรียมมาให้เลือกได้หลาย Database เช่น  Microsoft SQL, Oracle DB, PostgreSQL หรือ MySQL
  • Amazon VPC (Virtual Private Cloud) คือบริการที่จะช่วยทำให้เราสร้างระบบบน AWS ใน Virtual Network   ที่เรากำหนดให้มีความปลอดภัยดีขึ้น
  • Amazon IAM (Identity and Access Management ) คือระบบที่จะช่วยในการทำ Authentication และทำ Access Control ผู้เข้าถึงระบบ Server ต่างๆ
  • Amazon ELB (Elastic Load Balance) คือตัว  Load Balance ที่จะช่วยกระจาย Traffic ให้กับ  Server  ต่างๆ
  • Autoscaling  คือระบบที่จะช่วยเพิ่มหรือลดจำนวน EC2  ให้เราอัตโนมัติ ตามเกณฑ์ที่เราตั้งไว้
  • Amazon Route 53 คือ ตัวที่จะช่วยเป็น Domain Name System (DNS) ในการที่ route taffic มายังระบบของเรา
  • Amazon CloudFront คือระบบที่ช่วยทำหน้าที่เป็น Content Delivery Network

นอกจากบริการที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว  AWS ยังมีบริการอื่นๆอีกมาที่ช่วยทำให้เราสร้างระบบไอทีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพได้ ดีกว่าที่จะต้องมาจัดหาเครื่อง  Hardware และลงทุน Infrastructure อื่นๆเอง พอเห็นอย่างนี้แล้ว ปีหน้าผมตั้งใจจะให้การอบรมของ IMC Institute ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา Application ต่างๆรวมถึงการทำ  Big Data มารันบน Infrastructure  จริงๆใหญ่ๆของ AWS ผู้เรียนจะได้เห็นกันไปเลยว่า  Large Scale Application เป็นอย่างไรจากของจริง

สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณทาง  AWS โดยเฉพาะคุณชลตะวัน สวัสดีที่ให้โอกาสทีมของ IMC Institute เข้าเรียนหลักสูตรนี้

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

API Economy: สร้างเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย APIs ตอนที่ 2

IT Trend2020

เมื่อวันก่อนผมเขียนบทความเรืีอง API Econmy ตอนแรก เพื่อชี้ให้เห็นถึงตัวอย่างของบริษัทในต่างประเทศที่ใข้ API ในการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ วันนี้เลยขอมาเขียนต่อเพื่อให้เห็นถึงความจำเป็นในการขับเคลื่อนสู่การพัฒนา API รูปแบบของ API ต่างๆ กลยุทธ์การพัฒนา API ขององค์กร และข้อที่ควรคำนึงถึงในการพัฒนา API ขององค์กร

ทำไมต้องพัฒนา API

ในปัจจุบันหลายๆองค์กรก็เริ่มที่จะก้าวเข้าสู่ดิจิทัล มีการพัฒนาระบบไอทีในองค์กร พัฒนาเว็บไซต์ Mobile App แต่สิ่งที่พบก็คือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของไอที มีอุปกรณ์ใหม่ๆมากมาย ทำให้การพัฒนาไอทีในองค์กรไม่สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ๆได้เพราะจำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์มีไม่พอ นอกจากนี้การพัฒนาไอทีเองก็ไม่สามารถที่จะทำให้ผู้ใช้ออนไลน์จำนวนมากเข้าถึงระบบเราได้ ลองพิจารณาดูจากรูปที่ 1 จะเห็นว่าถ้าบริษัทต้องทำซอฟต์แวร์เอง สร้างข้อมูลและ Application เอง ก็จะมีผู้เข้าถึงระบบได้เพียงแค่จำนวนหนึ่ง แต่ถ้าเรามีการเปิด Web APIs ให้คนอื่นเข้ามาใช้ได้ จะทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นเว็บไซต์อื่นๆที่เข้าถึงระบบของเรา Application หรือ Mobile App ที่พัฒนาโดยคนอื่นๆ ทำให้มีผู้เข้าถึงข้อมูลธุรกิจเราได้มากขึ้น ทำให้ธุรกิจโตขึ้นได้มากขึ้นจากนวัตกรรมที่คนอื่นมาช่วยกันพัฒนา

Screenshot 2014-11-04 15.19.33

รูปที่ 1 การเปิด APIs  จะทำให้เราเข้่าถึงผู้คนที่อยู่บนโลกออนไลน์ได้มากขึ้น

เหตุผลหลักๆที่ต้องพัฒนา API มีสองประเด็น

1) การเติบโตของอุปกรณ์โมบายที่มีหลากหลายทั้งในแง่ของ OS และยี่ห้อที่อาจมีขนาดที่แตกต่างกัน และยังมีเรื่องของ Internet  of Things  ที่มีอุปกรณ์ใหม่ๆที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้เช่น Smart TV, Smart Watch  ซึ่งในปัจจุบันผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอาจเข้าถึงอินเตอร์เน็ตโดยใช้อุปกรณ์เหล่านี้มากกว่าใช้พีซี องค์กรจำเป็นต้องพัฒนาเว็บหรือ Application ให้ใช้กับอุปกรณ์เหล่านี้ ซึ่งการที่จะให้ทีมไอทีในองค์กรมาพัฒนาระบบเองทั้งหมดย่อมเป็นไปได้ยากมาก การเปิด API จะช่วยทำให้มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์มาช่วยสร้าง Application ให้กับองค์กรได้มากขึ้น

2) การเชื่อมต่อกับธุรกิจอื่นๆ (B2B Integration) โดยการเปิด APIs เพื่อเปิดโอกาสให้คู่ค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆของระบบธุรกิจ เป็นการขยายช่องทางธุรกิจและการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ

ประเภทของ APIs

เราสามารถที่จะแบ่งประเภทของ API ออกมาได้เป็นสี่กลุ่มดังแสดงในรูปที่ 2

Screenshot 2014-11-04 15.38.26

รูปที่ 2 ประเภทของ APIs

1) Internal APIs คือการเปิด APIs ในองค์กรเพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในองค์กรสามารถเรียกใช้คำสั่งหรือดึงข้อมูลจากระบบต่างๆในองค์กรได้ องค์กรโดยมากจะประกอบด้วยไอทีหลายๆระบบถูกพัฒนาขึ้นโดยนักพัฒนาซอฟต์แวร์หลายกลุ่ม แต่ทุกครั้งที่เราจะพัฒนาระบบใหม่และตัองเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ เรามักจะมีปัญหาในการที่จะหาวิธีการในการเชื่อมต่อระบบอื่นๆ การสร้าง APIs ภายในองค์กรจะช่วยทำให้การพัฒนาซอฟต์แวร์ขององค์กรในอนาคตเป็นไปได้รวดเร็วขึ้น

2) B2B APIs คือ APIs ที่ต้องการเปิดให้กับคู่ค้า (Partner) ในการที่จะให้เข้าถึงระบบหรือข้อมูลของหน่วยงานเรา เพื่อเปิดโอกาสให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ของคู่ค้ามาพัฒนา Application หรือนวัตกรรมต่างๆในการขยายธุรกิจของทั้งหน่วยงานเราและคู่ค้า

3) Open Web APIs คือ APIs ที่เปิดกว้างให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วไปเข้าไปเรียกใช้ได้ โดยอาจมีโมเดลธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์

4) Product APIs คือ APIs สำหรับผลิตภัณฑ์เช่นซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่ต้องการให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วไปหรือคู่ค้าสามารถเข้ามาพัฒนาโปรแกรมเิ่มเติมเพื่อใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ทำให้เกิดระบบนิเวศน์(ecosystem) ของผลิตภัณฑ์ ต้วอย่างของ Product APIs มีอาทิเช่น Salesforce APIs หรือ google Glass APIs

โมเดลธุรกิจของการเปิด APIs

การเปิด APIs จำเป็นต้องหาวิธีการในการสร้างแรงจูงใจให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วไปเข้ามาเรียกใช้งาน จึงจำเป็นต้องมีโมเดลทางธุรกิจที่ดี ซึ่งทาง Programmableweb ได้สรุปให้เห็นรูปแบบธุรกิจต่างๆที่เป็นไปได้ดังนี้

Screenshot 2014-11-04 16.04.05

รูปที่ 3  โมเดลธุรกิจรูปแบบต่างๆของการเปิด APIs [Source: ProgrammableWeb]

  • นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้ได้ฟรี: ตัวอย่างเช่น Facebook APIs ที่อนุญาตให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถเรียกใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
  • นักพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นผู้จ่าย: ตัวอย่างเช่น AWS APIs ให้นักพัฒนาจ่ายตามบริมาณการใช้งาน หรือ Paypal APIs จะให้นักพัฒนาจ่ายตามจำนวน Transaction
  • นักพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นผู้ได้รายได้: ตัวอย่างเช่น Google AdSense APIs จะจ่ายเงินให้นักพัฒนาตามจำนวนครั้งที่ถูกเรียก หรือ Amazon Product Advertise APIs จะแบ่งรายได้จากการโฆษณาให้กับนักพัฒนา
  • นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้รายได้ทางอ้อม: ตัวอย่างเช่นการเรียก content ของ eBay ทำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้รายได้จากการการพัฒนา Application ของตัวเองหรือการใช้ salesforce APIs ทำให้นักพัฒนาสามารถพัฒนา Application ที่ต่อยอดจาก SalesForce.com แลัวมาขายผ่าน Salesforce Marketplace ได้

เครื่องมือการบริหาร APIs

การสร้าง APIs เพื่อเปิดให้กับคนอื่นๆใช้จริงๆแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนมาก แต่เรื่องที่ยากคือการบริหาร APIs  การควบคุมการเข้าถึง การบริหารเวอร์ชั่นของ APIs การควบคุม  Life Cycle  การจัดการเรื่องเอกสาร โดยมากเราจะใช้เครื่องมือในการบริหาร APIs ตัวอย่างของเครื่องมือเหล่านี้คือ 3Scale, APIgee  ดังนั้นการพัฒนา APIs จำเป็นต้องเข้าใจการใช้เครื่องมือต่างๆ และการบริหารจัดการ  APIs  มิใช่แค่การสร้าง APIs ที่อาจเป็นเพียงการสร้าง Web Services

Screenshot 2014-11-04 16.11.44

รูปที่ 4  ตัวอย่างของเครื่องมือการบริหาร APIs

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

API Economy: สร้างเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย APIs ตอนที่ 1

IT Trend2020

เมื่อวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ทางชมรมไอทีประกันภัยของกลุ่มบริษัทประกันภัยต่างๆได้เชิญผมให้ไปบรรยายหัวข้อ RESTful Web Services & Web APIs ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเศรษฐกิจ API (The API Economy) ขึ้นมา เพราะสัปดาห์ก่อนหน้านั้นผมเพิ่งเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ ถ้าเป็นสมัยเมื่อ 6-7 ปีก่อนทุกครั้งที่ผมไปสิงคโปร์ผมจะถือโอกาสไปเดินห้าง Funan Digital IT Mall เพื่อจะไปร้าน Computer Book Center ที่เป็นร้านหนังสือคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ แต่ระยะหลังๆร้านเล็กลงเรื่อยๆ ผมเองก็ไม่ได้ไปมา 2-3 ปีแล้ว และล่าสุดเปิดดูในเว็บไซต์ของ Funan Digital IT Mall ก็ไม่เห็นร้านนี้แล้วนอกจากที่ขายผ่าน e-commerce บนเว็บไซต์  http://www.compbook.com.sg/ เลยไม่แน่ใจว่าร้านนี้ยังอยู่ไหม ร้านหนังสือหลายๆร้านก็คงประสบปัญหาคล้ายๆกัน หลายคนก็คงทราบเหตุผลว่าส่วนหนึ่งมาจากการทำ e-Book และ e-commerce อย่าง Amazon.com ทำให้ร้านหนังสือที่เป็น Physical Bookstore อยู่รอดยากขึ้น

Screenshot 2014-11-02 11.06.35

รูปที่ 1 Amazon Marketplace Web Services สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์

แต่หลายคนอาจจะแปลกใจว่าเว็บไซต์ที่ทำ e-commerce ก็มีมากมาย หลายเว็บไซต์ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ทำไม Amazon ถึงได้ประสบความสำเร็จมากมายเริ่มจากขายหนังสือจนในปัจจุบันขายสินค้าทุกอย่างหลายสิบล้านรายการ ต่างกับ e-commerce รายอื่นๆอย่างไรที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่า ผมว่าที่ร้านหนังสือหลายแห่งที่เป็น Physical Bookstore ต้องปิดตัวเองไป ไม่ใช่เพึยงแต่ต้องสู้กับธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เป็นดิจิทัล แต่ต้องมาสู้กับโมเดลธุรกิจแบบใหม่ของ Amazon ด้วย เพราะ Amazon ไม่ได้โตขึ้นมาเพราะสร้างนวัตกรรมและหาคู่ค้าด้วยตนเอง พูดง่ายๆ Amazon ไม่ได้เป็นผู้หาคู่ค้า (Partner) แต่คู่ค้าเป็นคนวิ่งมาหา Amazon เอง ผ่าน Amazon Marketplace Web Services หรือ APIs อื่นๆ คู่ค้าและนักพัฒนาโปรแกรมเป็นคนเลือก Amazon ทำให้ Amazon สามารถขยายตลาดได้ออกไปอย่างมากมายผ่านเว็บไซต์อื่นๆ และคู่ค้าก็ช่วยพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆให้กับ Amazon โดย Amazon ไม่ต้องทำเอง

Screenshot 2014-11-02 11.46.01

รูปที่ 2  โมเดลธุรกิจของ Amazon [ภาพจาก Understanding the API Economy: How Your Business Can Benefit From APIs: Forrester]

Screenshot 2014-11-02 11.10.27รูปที่ 3  การขยายช่องทางธุรกิจของ Amazon ผ่าน APIs[ภาพจาก Winning in the API Economy]

เมื่อพูดถึง Web API หรือ API นั้นจะย่อมาจากคำว่า Application Programming Interface ที่หมายถึง การที่ทำให้ software component ที่อยู่ห่างกันเชื่อมต่อกันได้โดยผ่านเว็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบมีมาตรฐานเช่นใช้ XML หรือ JSON วิธีการทำ Web APIs ที่เป็นมาตราฐานก็คือการทำ Web Services โดยใช้ SOAP หรือ REST

Amazon ไม่ได้เป็นตัวอย่างธุรกิจเดียวที่ประสบความสำเร็จโดยใช้ APIs ธุรกิจบนโลกดิจิทัลจำนวนมากต่างก็ประสบความสำเร็จโดยใช้ APIs เพราะธุรกิจที่รันโดยใช้ซอฟต์แวร์จะโตได้ต้องมีนักพัฒนาโปรแกรมจำนวนมากและต้องการนวัตกรรมใหม่ๆตลอดเวลา การเปิด APIs ทำบริษัทมีการขยายตัวจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เพิ่มขึ้นและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆจากนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่อยู่นอกบริษัทและคู่ค้า ตัวอย่างของบริษัทที่เปิด APIs และประสบความสำเร็จอย่างมากก็มีอาทิเช่น Google, Facebook, Paypal, Netflix, Twitter หรือ BestBuy

  • Twitter หลายๆคนอาจจะนึกว่าเป็น Application หรือ ซอฟต์แวร์ แต่จริงๆแล้ว Twitter เป็น Platform ที่มี APIs ให้คนอื่นๆนำไปพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจัดการกับข้อมูลบน Twitter ได้ เราจะพบว่าผู้ใช้ Twitter น้อยคนที่จะเคยเข้าเว็บ twitter.com แต่โดยมากจะใช้ผ่าน App ที่พัฒนามากจาก Twitter APIs เช่น Tweet Deck

Screenshot 2014-11-02 11.14.13

รูปที่ 4 Twitter Platform

  • Best Buy ร้านขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริกาก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เปิด APIs คู่ค้าของ Best Buy สามารถที่จะใช้ Best Buy APIs เพื่อมาดูข้อมูลสินค้า หรือสั่งซื้อสินค้าได้ คู่ค้าก็สามารถที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์หรือเว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าจาก Best Buy ผ่านเว็บไซต์ของตัวเองได้

Screenshot 2014-11-02 11.16.10

รูปที่ 5 BBYOpen เว็บไซต์สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่จะเข้ามาใช้ Best Buy APIs

  • Netflix เป็นผู้ให้บริการ Movie Online ซึ่งผู้ใช้บริการจำนวนมากในปัจจุบันอาจไม่ได้ดูภาพยนตร์จากเว็บ Netflix แต่เลือกที่จะดูผ่านอุปกรณ์ต่างๆเช่น smart TV, Apple TV, smartphone หรือ Tablet ซึ่งในปัจจุบันมีอุปกรณ์เหล่านี้อยู่จำนวนมากและเพิ่มใหม่เรื่อยๆตลอดเวลา ถ้าจะหวังพึ่งให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Netflix ต้องมาพัฒนาซอฟต์แวร์ให้เล่น Netflix ได้กับทุกอุปกรณ์คงเป็นไปไม่ได้ ทาง Netflix ก็ใช้วิธีเปิด APIs เพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถเข้าถึงระบบของ Netflix ได้ ทำให้ในปัจจุบันมีอุปกรณ์มากกว่า 800 ชนิดที่สามารถเล่น Netflix ได้ โดยไม่ต้องพัฒนาเอง

Screenshot 2014-11-02 11.19.50

รูปที่ 6 Netflix Platform ที่ปัจจุบันมีอุปกรณ์ต่างเลือกได้กว่า 800 ชนิด [ภาพจาก Daniel Jacobson, Netflix Engineering Blog, July 9, 2012]

  • Dropbox เป็นอีกตัวอย่างของคู่ค้า Amazon ที่ใช้ Infrastructure ของ Amazon ที่เป็น storageในการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ โดยไม่ได้ลงทุน infrastructure ของตัวเอง แต่เรียกใช้ Amazon APIs ในการจัดการข้อมูลใน Amazon S3 Storage และบริษัท Dropbox เองก็เปิด APIs ต่อเพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถเขียนโปรแกรมไปติดต่อกับ Dropbox ได้โดยไม่ต้องผ่านเว็บไซต์หรือ Application  ของ Dropbox เราจึงเห็นตัวอย่าง App บนมือถือของ Samsung ที่เมื่อเราถ่ายรูปแล้วขึ้นไปยัง Dropbox ได้โดยอัตโนมัติ

Screenshot 2014-11-02 11.24.23

รูปที่ 7 เว็บไซต์ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ต้องการใช้ Dropbox APIs

  • การทำ APIs ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่วงการซอฟต์แวร์ แม้แต่ Nike ที่ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอย่าง Nike FuelBand หรือ Nike Sportwatch ก็ต้องสร้าง Nike+ Platform  ที่มี APIs ให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ สามารถเขียนโปรแกรมมาเรียกใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เหล่านี้ได้ เช่นเดียวกับ Samsung ที่มีนาฬิกา Samsung Gear  หรือ Google  ทีีออก Google Glass ต่างก็เปิด APIs ให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อให้เขียนโปรแกรมได้

Screenshot 2014-11-02 11.40.46

รูปที่ 8 เว็บไซต์ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ต้องการใช้  Nike+ APIs

ในปัจจุบันมี APIs จำนวนมากที่เปิดให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์มาใช้ เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ๆหรือการมาเป็นคู่ค้าของบางธุรกิจที่ต้องการทำ B2B เราสามารถหาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่ชื่อ Programmableweb ที่รวบรวม APIs จากที่ต่างๆกว่า 12,720 แห่ง ซึ่งในปัจจุบันซอฟต์แวร์ใหม่ๆแทบทุกตัวเน้นที่จะเปิด APIs แม้แต่โปรแกรม Office 365 ที่เราใช้ทำเอกสารยังมี APIs ที่ให้เราสามารถเรียกดู สร้าง และเก็บเอกสารเช่น Word, Excel ได้โดยไม่ต้องผ่านเว็บไซต์หรือโปรแกรม Office ของ Microsoft

Screenshot 2014-11-02 11.34.04

รูปที่ 9 เว็บไซต์ Programmableweb

ที่เขียนมาทั้งหมดก็เพื่อที่จะบอกว่าโลกของซอฟต์แวร์ และธุรกิจกำลังเปลี่ยนไป ถ้าเราจะเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) มันไม่ใช่แค่ทำซอฟต์แวร์ แต่มันคือการทำ APIs  ยุคของดิจิทัลกำลังเข้าสู่ API Economy ที่กำลังเป็น Digital Revolution รอบที่สอง คราวหน้าจะมาเขียนตอนที่สองให้เห็นว่าการทำ APIs มีประโยชน์และกลยุทธ์อย่างไร

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

 

การดูงาน Cloud Expo Asia 2014 ของหลักสูตร Cloud Computing for Senior Management

Screenshot 2014-10-27 18.27.31

ช่วงสัปดาห์นี้ ผมพาผู้ที่เข้าอบรมหลักสูตร Cloud Computing for Senior Management ของ IMC Institute ไปร่วมงาน Cloud Expo Asia ที่สิงคโปร์ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 ตุลาคม ปีนี้เป็นปีที่สองที่จัดงานนี้ โดยมีผู้ให้บริการ Cloud หลายรายจากทั่วโลก และเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Cloud หลายรายมาร่วมออกบูธและบรรยายในงาน อาทิเช่น Amazon Web Services,Dell,Intel, Rackspace, Huawei, HP, Cisco และ SoftLayer งานนี้น่าจะเป็นงาน Cloud Computing ที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย โดยงานนี้จัดคู่กับงาน Data Center Expo ทำให้เห็น Booth จำนวนมากและมีการบรรยายหัวข้อต่างๆนับร้อยหัวข้อ

481326_405025372978142_4019319897038293296_n

ภาพบรรยากาศในงานคนค่อนข้างมากพอสมควร นอกจากทีมคนไทยที่ทาง IMC Institute พามาแล้ว ยังพบคนไทยที่มาจากหลายบริษัทและสถาบันการศึกษาเข้าร่วมดูงาน งานนี้ผู้จัดร่วมหลักๆคือ IDA ซึ่งเป็นหน่วยงานดูแลดานไอทีของรัฐบาลสิงคโปร์ งานนี้ Booth ที่ค่อนข้างใหญ่จะเป็นของ AWS ที่มาแสดง IaaS และมีของ HP Helion ที่ แต่ก็พบผุ้ให้บริการจากของสิงคโปร์อย่าง StarHub ที่มาออกบูธแสดงบริการ IaaS และ SaaS และยังมีบูธของกลุ่มผู้ให้บริการ Data Center ของมาเลเซีย รวมถึงผู้ให้บริการ Big Data อย่าง MapR หรือ Qubola ที่เป็น Hadoop as a Service มาแสดง ในแง่ของบริษัทในไทยก็มีบริษัทอย่าง Computerlogy ที่มานำเสนอ TH3RE ที่เป็น Cloud Software ทำ Social Media Command Center ซึ่งเมื่อดูเทคโนโลยีจากบูธต่างๆที่นำมาแสดงจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยี Cloud Computing เปลี่ยนไปเร็วมากจนเราตามแทบไม่ทัน

Screenshot 2014-10-30 19.27.42

การบรรยายในงานแบ่งเป็นห้อง Keynote 2 ห้อง และห้องอื่นๆอีกร่วม10 ห้อง โดยมี session ที่หลากหลายตั้งแต่ด้าน Cloud Security, Cloud Management, Big Data and Analytics การบรรยายแต่ละหัวข้อใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที มีหัวข้อที่น่าสนใจเต็มหมด แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถเข้าไปฟังได้ทั้งหมด ผมเลือกที่จะฟัง Keynote บางหัวข้อที่เป็น Big Data and Analytics ในงานนี้ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผอ.สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (EGA) ก็มาบรรยายเป็น Keynote ในหัวข้อ Thailand G-Cloud: The story so far and the next step ก็หวังว่าทางผู้จัดคงมีการแชร์ presentation จากการบรรยายต่างๆมาให้เราได้ดูกัน

   10609479_405402539607092_3549559096381968890_n

ก่อนเริ่มงาน Cloud Expo Asia เราได้พาผู้เข้าร่วมอบรมไปเยี่ยมชมบริษัท Oracle ที่มาแนะนำเรื่อง Cloud ทำให้ทราบถึงโซลูชั่นที่เป็น private และ public cloud ของ Oracle ที่น่าสนใจคือ Virtualization Product ที่ชื่อ Oracle Virtualization Manager ที่ลดค่าใช้จ่ายเรื่อง license เมื่อต้องการใช้ Oracle Product ต่างๆ เช่น Database หรือ Web Server และเป็น VM ที่สามารถรันกับ OS ต่างๆทั้ง Windows, Linux และ Solaris โดย Oracle มีเครื่อง server ที่เป็น Appliance สามารถติดตั้งเป็น Private Cloud ที่ทำเป็น IaaS, PaaS และ SaaS ได้ หรือจะใช้ Public Cloud ที่มีคุณสมบัติเดียวกันจากเว็บไซต์ cloud.oracle.com 

544920_405402176273795_7586001560181715799_n

จากนั้นก็ไปดูงานต่อที่บริษัท Amazon Web Services การบรรยายของ AWS ทำให้มั่นใจในเรื่องระบบความปลอดภัยบริการ IaaS ของ AWS และที่น่าสนใจคือแม้แต่ทางทีมงานด้านการขายหรือการตลาดของ AWS ก็ไม่ทราบตำแหน่งที่ตั้งของ AWS Data Center ที่สิงคโปร์เพื่อความปลอดภัย และทีมงาน AWS ก็ไม่สามารถที่จะมาดึงข้อมูลต่างๆของผู้ใช้บริการได้ นอกจากนี้ AWS ยังมีบริการที่หลากหลายมากสมกับผู้ใหับริการ IaaS เบอร์หนึ่งของโลก และมีลูกค้าอยู่จำนวนมาก ซึ่งทางทีม AWS ก็แนะนำตัวอย่างลูกค้าใน ASEAN และในประเทศไทย หลายรายก็เป็นบริษัท Startup หรือหน่วยงานอย่างธนาคาร ที่ทำงานของ AWS น่าสนใจมากเพราะมีห้องที่ให้พนักงานพักผ่อนและมีเครื่องดื่มแม้กระทั่งเบียร์ให้ดื่มได้ฟรี

Screenshot 2014-10-30 19.52.12

ส่วนเช้าวันที่ 30 ตุลาคม เรามาดูงานที่บริษัท Microsoft  โดยทางไมโครซอฟต์ได้จัด session แนะนำ Office 365 ซึ่งเป็น SaaS โดยนอกจากแนะนำคุณสมบัติต่างๆของ Office 365 แล้วก็ยังเน้นให้เห็นถึงเรื่องความปลอดภัยของการเก็บข้อมูลที่อยู่ใน OneDrive ที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะเรื่อง encryption จนผู้ที่มาจากด้านธนาคารบอกว่าโซลูชั่นนี้ตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัยได้ดี นอกจากนี้ได้ฟังบรรยายเรื่อง Microsoft Azure ที่เป็น Public Open Cloud Platform ที่สามารถทำงานกับทุกๆ Product ได้ตั้งแต่ Java, .NET หรือ Linux ซึ่งเป็นเหตุผลให้ Microsoft เปลี่ยนชื่อ Product จาก Windows Azure เป็น Microsoft Azure และพูดถึงประโยชน์การใช้ Dev Test Environment บน Azure ที่มีสำหรับ SAP, Oracle  หรือ Sharepoint และพูดถึงระบบความปลอดภัยของ Azure สุดท้ายทาง Microsoft ได้พามาชม Microsoft Technology Center ที่แสดงผลิตภัณฑ์ต่างๆของ Microsoft ที่น่าสนใจ

1376554_405402349607111_2727954607712893955_n

ตอนบ่ายวันที่ 30 ตุลาคม เราไปดูงานต่อที่บริษัท VMWare ซึ่งเป็นผุ้นำการตลาดด้านซอฟต์แวร์ Virtualization ที่มาพูดถึง Software Defined Data center (SDDC) โดยพยายามเน้นให้เห็นว่าสิ่งที่ธุรกิจต้องการต่อจาก Virtualization คือ Speed/Agility ซึ่งถ้าทีมไอทีไม่สามารถให้คำตอบเรื่องนี้ได้ทีมกลุ่มธุรกืจก็จะมองข้ามทีมไอทีไปหาโซลูชั่นเช่น Public Cloud  ทาง VMware แสดงโซลูชั่นสำหรับทำ Cloud Management Platform ทำให้เราสามารถสร้าง Private Cloud เพื่อตอบโจทย์ทีมกลุ่มธุรกิจในการทำ service provisioning ได้อย่างรวดเร็วการให้บริการ Infrstructure หรือ Application ตอบโจทย์ที่จะช่วยดูค่าใช้จ่ายในการใช้ไอที และช่วยตอบโจทย์ในการ operate ไอทีได้

สุดท้ายนี้คงต้องขอบคุณทุกท่านช่วยประสานงานและต้อนรับผู้เข้าอบรมในการดูงานครั้งนี้ ขอบคุณคุณเอกราช คงสว่างวงศา จาก Microsoft Thailand, คุณชลตะวัน สวัสดี จาก Amazon Web Services, ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ และ คุณเอกภาวิน สุขอนัตต์ จาก VMWare และคุณพีระพงษ์ คุณาศิริรัตน์ จาก Oracle Thailand

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

ความพร้อมด้าน Big Data ของบ้านเรา คงต้องให้ระยะเวลาอีกพักหนึ่ง

Big Data เป็นเทคโนโลยีที่ถูกกล่าวขานกันมากที่สุดในช่วง 1-2 ปีนี้ Big Data ไม่ใช่เรื่องที่พูดกันเฉพาะวงการไอทีแต่มีการพูดถึงกันมากในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรมทั้งด้านการตลาด ภาคการค้าขาย ภาคสาธารณสุข วงการวิทยาศาสตร์ ภาครัฐบาล หรือแม้แต่ภาคการเงินการธนาคาร หลายๆคนกล่าวกันการเข้ามาของ Big Data จะทำให้เรามีข้อมูลที่ดีขึ้น สามารถคาดการณ์ข้อมูลแม่นยำยิ่งขึ้น และเมื่อเห็นโลกของ Social Network ที่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายคนก็คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีของ Big Data บางคนพยายามจะบอกว่า Big Data ของประเทศไทยกำลังจะโตขึ้นมากจะมีการใช้กันมากมายเพราะเรามีการใช้อินเตอร์เน็ตแบะ Social Media มากขึ้น และบ้างก็เข้าใจว่าบ้านเราพร้อมและอยู่แนวหน้าทางด้าน Big Data ในฐานะที่ผมอยู่ในภาคอุตสาหกรรมและเกี่ยวข้องการภาคการศึกษาโดยตรงในการพัฒนาบุคลากร และได้เริ่มสนใจเรื่อง Big Data อย่างจริงจังในช่วงสองปีที่ผ่านมา อาจเห็นแย้งในเรื่องนี้ จึงขอให้เหตุผลประกอบว่าทำไมบ้านเรายังต้องพัฒนาเรื่อง Big Data อีกมากก่อนจะพร้อมที่แข่งขันกับที่อื่นๆได้ดังนี้

การขาดความเข้าใจเรื่อง Big Data

คนจำนวนมากยังไม่เข้าใจว่า Big Data คืออะไร หลายๆคนก็ไปแปลตรงๆว่าคือข้อมูลใหญ่ซึ่งส่วนหนึ่งก็ไม่ผิดอะไร ผมเคยเขียนบทความหลายๆครั้งแล้วเรื่องความหมายของ Big Data จึงไม่อยากกล่าวซ้ำอีก แต่สิ่งสำคัญคือ Big Data คือการมองอนาคตที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการจัดการข้อมูล แผนกไอทีจะต้องพร้อมที่จะบริหารจัดการกับข้อมูลแบบผสม (Hybrid Data) ที่จะมีทั้ง structure data และ unstructure data รวมถึงความสามารถในการที่นำ Dark Data ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราเก็บไว้แต่ไม่เคยนำมาใช้ประโยชน์ มาสร้างประโยชน์ให้กับหน่วยงาน นอกจากนี้บางครั้งเรายังไม่เข้าใจถึงประโยชน์ของ Big Data ที่ได้จากการทำ Predictive Analytics ซึ่งมันแตกต่างกับการทำ Business Intelligence ที่เราเคยทำกัน และการทำ Big Data Analytics ต้องการบุคลากรที่เป็น Data Scientist ไม่ใช่เฉพาะ Programmer หรือ Business Analytist  ความเข้าใจคาดเคลื่อนเกี่ยวกับ Big Data ทำให้องค์กรขาดการเตรียมพร้อมเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเข้าใจผิดคิดว่าโครงสร้างข้อมูลในปัจจุบันรองรับแล้ว ขาดการเตรียมพร้อมด้านบุคลากรทั้งทางด้านไอทีและนักวิเคราะห์ข้อมูล

ขาดข้อมูลขนาดใหญ่

ข้อมูลส่วนใหญ่ในบ้านเรายังเป็นข้อมูลแบบปิดยังไม่มีการทำ Open Data กันมากเท่าไร และข้อมูลที่มีอยู่ส่วนมากก็เป็นเพียง structure data ขนาดที่แนวโน้มของ Big Data ระบุว่าข้อมูลเกือบ 80% จะเป็น unstructure data ขณะที่ข้อมูลที่เก็บอยู่ในบ้านเราจะมีเพียงเล็กน้อย หน่วยงานที่จะมีข้อมูลมากกว่า 10 TB ก็หาค่อนข้างยาก หน่วยงานที่มีข้อมูลมากๆก็จะเป็นข้อมูล Transaction ของลูกค้าเช่น CDR ของบริษัทด้าน Telecom เรายังไม่มีผู้ให้บริการที่ให้ข้อมูล unstructure เช่น Web Crawler, Social Network ที่ให้เราดึงข้อมูลขนาดใหญ่มาวิเคราะห์ได้ แต่การจะใช้ประโยชน์จาก Big Data ได้อย่างเต็มที่ส่วนหนึ่งก็คือการต้องนำข้อมูลภายนอกองค์กร (External Data) เหล่านี้มาช่วยในการวิเคราะห์ คาดการณ์ต่างๆ เราจะเห็นได้ว่าเราสามารถไปดึงข้อมูลจากต่างประเทศที่เป็น unstructure หรือ semi-structure ขนาดใหญ่เช่น ข้อมูล Twitter หรือข้อมูลจากYelp มาได้ หรือแม้แต่ข้อมูลจาก Web Crawler ที่มีขนาดมากกว่า 500 TB ก็ยังมีให้บริการ ขณะที่บ้านเราไม่มีบริการข้อมูลเหล่านี้ การทำ Big Data ให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ต้องมีข้อมูลขนาดใหญ่ๆที่ว่าแต่บ้านเรายังขาดอยู่ คงต้องใช้เวลาอีกหลายปีจึงจะได้ข้อมูลที่ดีขึ้น

ขาดบุคลากรด้าน Big Data

ปัญหานี้ถ้าพูดไปเป็นเป็นคลาสสิคในวงการไอที ไม่ว่าเทคโนโลยีใหม่อะไรเข้ามาบ้านเรามักจะขาดคนไม่ว่าจะเป็นด้าน Mobile Developer, Cloud Computing Expert หรือ Enterprise Architect แต่ปัญหาการขาดบุคลากรด้าน Big Data เป็นปัญหาทั่วโลก เพราะสำนักวิจัย Gartner คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการบุคลากรด้านนี้ทั่วโลกถึง 4.4 ล้านตำแหน่งในปี 2015 และเป็นตำแหน่งงานทึ่สหรัฐอเมริกาถึง 1.9 ล้านตำแหน่ง แต่ปรากฎว่าจะมีเพียง 1/3 เท่านั้นที่หาบุคลากีที่มีทักษะตรงกับที่ต้องการได้ งานทางด้าน Big Data หนึ่งตำแหน่งจะสร้างงานตำแหน่งอื่นๆนอกกลุ่มไอทีได้ถึงสามตำแหน่ง การขาดแคลนบุคลากรทางด้านนี้ทำให้หน่วยงานต้องเร่งพัฒนาบุคลากรและหาวิธีการดึงดูดบุคลากรเข้ามาในหน่วยงาน เทคโนโลยี Big Data ต้องการบุคลากรที่มีทักษะใหม่ๆในการบริหารจัดการข้อมูลที่กำลังเปลี่ยนแปลง ต้องรู้ถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และต้องการบุคลากรที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์เรื่องต่างๆได้ ซึ่งบ้านเรายังขาดบุคลากรเหล่านี้อีกมาก

ขาดเทคโนโลยีสำหรับโครงสร้างข้อมูลแบบใหม่

การเข้ามาของ Big Data ทำให้หน่วยงานจะต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลเพิ่มเติม ฐานข้อมูลแบบ RDBMS เดิมไม่สามารถจะรองรับ unstructure data ได้ ทาง Gartner เองก็ระบุว่า 75% ของ Data Warehouse ในปัจจุบันจะไม่สามารถรองรับข้อมูลในเรื่องของ Velocity และ Variety ได้ การเข้ามาของ unstructure data ขนาดใหญ่ทำให้หน่วยงานต้องนำเทคโนโลยีใหม่อย่าง Hadoop หรือ No SQL เข้ามาใช้ โดย Hadoop ก็เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเก็บข้อมูลหลายร้อย TB ซึ่งจากการสำรวจองค์กร 86% ทั่วโลกก็ยังไม่สามารถบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้องค์กรก็อาจต้องลงทุนทางด้าน BI & Analytics Tool เพื่อจะได้ประโยชน์จากการใช้ข้อมูลต่างๆทั้งแบบ Structure และ unstructure ที่อยู่ภายในและภายนอกองค์กร  ซึ่งในปัจจุบันมีหน่วยงานเพียง 13% ที่มีเครื่องมือแบะสามารถทำ Predictive Analytics ได้

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าการประยุกต์ใช้ Big Data เป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนกว่าที่เราคิด และเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับองค์กรต่างๆทั่วโลก แม้จะบอกว่าบ้านเรายังไม่พร้อม แต่เชื่อว่าถ้าเราตั้งใจทำกันจริงๆ ปรับความเข้าใจ สร้างข้อมูลให้มากขึ้น พัฒนาบุคลากร และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล บ้านเราแข่งกับเขาได้แน่

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC institute

ตุลาคม 2557

Cloud Application ที่ SME ควรเลือกใช้

Screenshot 2014-10-27 18.27.31

แม้ในปัจจุบันคนไทยจะมีการใช้ไอทีกันมากขึ้น มีการใช้อินเตอร์เน็ตผ่าน Smartphone หรือ Tablet มากขึ้น มีการสนทนาสื่อสารผ่านแอปพลิเคชั่นอย่าง Line หรือ Facebook มากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่พบก็คือส่วนใหญ่ยังใช้เพื่อความบันเทิงและเรื่องส่วนตัว มากกว่าในงานหรือเพื่อทางธุรกิจ ถ้ามีการนำไอทีใหม่ๆเข้ามาใช้ในงานเพื่อทางธุรกิจโดยมากที่เห็นก็เป็นแค่การใช้ Group Chat ใน Line เพื่อสื่อสารและโต้ตอบในการทำงาน แต่การใช้ Collaboration Tools ในการทำงานอื่นๆยังถือว่าน้อยมาก และยิ่งเห็นช่องว่างมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบการใช้งานของคนต่างจังหวัดกับคนในกรุงเทพมหานครที่เริ่มมีการใช้งานด้านไอทีมากกว่า

จริงๆแล้วการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสู่ยุคของ Cloud Computing ทำให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลในการทำงาน เพราะนอกจากค่าใช้จ่ายลดลง ข้อมูลหรือ Application ที่ขึ้นไปอยู่บน Cloud ช่วยทำให้เราสามารถทำงานจากที่ไหนหรืออุปกรณ์ใดๆก็ได้ และข้อสำคัญการใช้ Cloud Computing จะช่วยทำให้เราสามารถทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ (online collaboration) ได้ ผู้ประกอบการ SME คือกลุ่มหนึ่งที่จะใช้ประโยชน์จาก Cloud ได้มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ผมก็ได้ไปบรรยายการใช้ Cloud ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ SME ในต่างจังหวัด แต่น่าเสียดายที่พบว่าส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของ Cloud และมีการนำไอทีมาใช้เในเชิงธุรกิจน้อย บางรายก็กลัวกับค่าใช้จ่ายแพงๆ บางรายก็ไม่ทราบว่ามีแอปพลิเคชั่นบน Cloud ตัวใดบ้าง

Cloud Computing จะเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายการใช้ไอที และเหมาะกับ SME ที่อาจต้องการให้ความสำคัญกับการดำเนินงานธุรกิจของตัวเองมากกว่าจะต้องมาวุ่นวายในการบริหารจัดการไอทีซึ่งอาจไม่ใช่ความถนัดขององค์กร หาก SME  เลือกApplication  ที่อยู้บน Cloud ที่เหมาะสมมาใช้งาน จะทำให้ธุรกิจแข่งขันได้ เช่นการทราบข้อมูลลูกค้า การติดต่อออนไลน์ การลดเวลาการทำเอกสาร และโดยแท้จริงแล้วมี Cloud Application อยู่มากมายบางอันสามารถเริ่มต้นได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บางอันให้เราทดลองใช้ก่อน และโปรแกรมเหล่านี้สามารถใช้งานได้โดยง่าย ซึ่งทุกคนสามารถเริ่มต้นใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องรออะไร เพราะ Cloud Application สามารถลงทะเบียนใช้งานและติดต่อซื้อได้ผ่านระบบออนไลน์ทันที วันนี้ผมเลยขอแนะนำ Cloud Application เด่นๆสำหรับ SME เพื่อให้ทดลองใช้งานดังนี้

1) Google Apps for Work

ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากยังใช้ Public E-mail อย่าง  Google, Yahoo หรือ WindowLive  (เช่น @gmail.com) ในการติดต่อธุรกิจ การใช้อีเมล์แบบนี้เป็นเรื่องทีดูไม่เหมาะสมเพราะเหมือนกับเป็นการใช้อีเมล์ส่วนตัว มากกว่าการใช้งานธุรกิจ โดยเฉพาะการติดต่อกับต่างประเทศจะดูว่าขาดควาน่าเชื่อถือ หากเราต้องการใช้อีเมล์ของ Google  เราสามารถที่จะใช้โปรแกรม Cloud Apps for Business ซึ่งทาง Google ให้บริการกับหน่วยงานธุรกิจ และทำให้เรามีอีเมล์ของบริษัทเราเอง อาทิเช่น thanachart@imcinstitute.com นอกจากนี้ก็ยังมีโปรแกรมอื่นๆที่ทำให้เราสามารถทำงานร่วมกับพนักงานในบริษัทได้อาทิเช่น

  • Google Calendar  สำหรับการจัดตารางนัดหมายของตัวเองและทีมงาน
  • Google Drive สำหรับเก็บข้อมูลบน  Cloud เหมือน Dropbox ที่ทำให้เราสามารถใช้ข้อมูลของเราจากเครื่องไหนก็ได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต และสามารถแชร์ข้อมูลให้คนอื่นได้ ทำให้ลดการส่งข้อมูลขนาดใหญ่ผ่านอีเมล์ และลดการใช้  ThumbDrive
  • Google Office Suite เป็นชุดโปรแกรมทำเอกสาร สเปรดชีต หรือสไลด์ ที่สามารถสร้างและแก้ไขเอกสารได้แบบออนไลน์และสามารถทำเอกสารร่วมกัน (collaboration) กับผู้อื่นได้แบบ Real time ทำให้การแก้ไขเอกสารเป็นไปได้ง่าย และสะดวกเมื่อต้องทำเอกสารร่วมกันจากที่ต่างๆกัน
  • Google Site สำหรับการทำ Web Site ของบริษัท

Screenshot 2014-10-25 17.23.45

Google กำหนดราคา Google App for Works  ไว้ที่ราคา $5 ต่อผู้ใช้ต่อเดือนกรณีที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ 30GB และราคา $10 ต่อผู้ใช้ต่อเดือนกรณีที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลไม่จำกัด เราสามารถเริ่มต้นทดลองใช้งานได้ฟรีได้ที่ Free Trial Google App for Works

2) Microsoft Office 365

จุดเด่นของ Google Apps  คือการมีระบบอีเมล์และการใช้ Cloud Storage  แต่ถ้าพูดถึงการใช่เครื่องมือออนไลน์ทำเอกสารอย่าง Google Docs หลายๆคนอาจไม่คุ้นเคยเพราะโดยมากธุรกิจในบ้านเราจะทำเอกสารโดยใช้ Microsoft Office ซึ่งหลังจากที่ Microsoft ปล่อยให้ Google เข้ามาทำเครื่องมือการทำเอกสารแบบร่วมกันอยู่หลายปี ทาง Microsoft ก็เลยต้องทำ Microsoft Office ให้เป็นเวอร์ขั่นบน Cloud ที่สามารถจะใช้โปรแกรม Microsoft Office ออนไลน์ สามารถเก็บข้อมูลบน Cloud และสามารถทำเอกสารร่วมกันได้อย่าง Google Docs โดยตั้งชื่อผลืตภัณฑ์ว่า Office 365

Screenshot 2014-10-25 17.43.30

Office 365 ก็จะมีผลิตภัณฑ์ต่างๆคล้ายกับ Google Apps คือมีระบบอีเมล์ที่เราสามารถตั้งที่อยู่ตามธุรกิจของเรา (name@yourcompany.com) พร้อมเนื้อที่เก็บอีเมล์ 50 GB  มีระบบ Calendar มีระบบ Cloud Storage ที่ชื่อว่า OneDrive ให้จำนวน 1TB มีโปรแกรม Office Online ที่ให้เราสามารถทำงานร่วมกันได้ และมีโปรแกรม Lync สำหรับการประชุมออนไลน์และการประชุมทางวิดีโอแบบ HD

Screenshot 2014-10-25 17.38.13

Microsoft กำหนดราคา Office 365 สำหรับธุรกิจไว้สามแบบคือ

  • Business Essential ราคา $5 ต่อผู้ใช้ต่อเดือน สำหรับผู้ที่ต้องการใช้โปรแกรม Office Online  และอีเมล์ พร้อมทั้ง OneDrive ขนาด  1TB
  • Business ราคา $8.25 ต่อผู้ใช้ต่อเดือน สำหรับผู้ที่ต้องการใช้โปรแกรม Office Online และต้องการใช้ออฟไลน์ลงบนเครื่องพีซีที่เป็น Windows, Mac หรือ Tablet ที่ใช้ Windows จำนวนสูงสุด 5 เครื่อง แต่จะไม่มีระบบอีเมล์และโปรแกรม Lync
  • Business Premium ราคา $12.5 ต่อผู้ใช้ต่อเดือน สำหรับผู้ที่ต้องการใช้โปรแกรมแบบ  Business  ที่รวมอีเมล์เข้าไปด้วย

ถ้าผู้ใช้เลือกโปรแกรมแบบ  Business ผมแนะนำให้ใช้ Google Docs ร่วมกัน แต่ถ้าเลือกโปรแกรม  Business Essential หรือ Business Premium  ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องหาระบบอีเมล์เพิ่มเติม

3) Dropbox

เชื่อว่าคนจำนวนมากเริ่มใช้ Dropbox ที่เป็น Cloud Storage แต่คนหลายๆคนที่ใช้ Dropbox ก็ยังไม่ได้นำมาใช้เพื่องานด้านธุรกิจเต็มที่ Dropbox ช่วยทำให้เราลดการใช้ Physical Storage อย่าง Harddisk  หรือ  Thumbdrive เราสามารถที่จะแชร์ไฟล์ต่างๆของเราจาก Dropbox ให้คนอื่นๆสามารถใช้ร่วมกันกับเราได้ และสามารถที่จะดูไฟล์เวอร์ชั่นย้อนหลังได้ นอกจากนี้ยังทำการสำรองข้อมูลให้เราอัตโนมัติทำให้เรามั่นใจว่าข้อมูลของเราไม่สูญหายแม้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราจะเสียหาย นอกจากนี้ยังช่วยลดการส่งไฟล์ผ่านอีเมล์ได้ Screenshot 2014-10-26 06.32.17 ผู้ที่ใช้ฟรีเวอร์ชั่นส่วนใหญ่ของ Dropbox จะมีขนาดเริ่มต้นตั้งแต่  2GB และสามารถที่จะซื้อบริการเพิ่มขนาดเป็น 1 TB ในราคา $ 9.99 ต่อเดือน หรือเลือกใช้โปรแกรม Dropbox for Business ที่ราคา $ 15 ต่อเดือน สำหรับลูกค้าธุรกิจที่ต้องการพื้นที่ไม่จำกัด และสามารถเก็บข้อมูลเวอร์ชั่นเก่าหรือไฟล์ที่ถูกลบไม่จำกัด รวมถึงมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น หลายท่านอาจจะสงสัยว่าถ้ามี Google Drive ใน Google Apps หรือ One Drive ใน Office 365 แล้ว เราต้องมีโปรแกรม Dropbox อีกไหม ซึ่งถ้าต้องการเฉพาะ Cloud Storage ก็คงพอแล้ว แต่ถ้าต้องการใช้คุณสมบัติเด่นอื่นๆเช่น การ Sync ไฟล์ การแชร์ไฟล์ การใช้โปรแกรมเฉพาะ การมีพื้นที่ไม่จำกัด โปรแกรม Dropbox จะทำได้ดีกว่า

4) Salesforce

การเก็บข้อมูลของลูกค้าเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องสำคัญมาก การทราบข้อมูลของลูกค้า ข้อมูลการขาย , ข้อมูลการติดต่อกับลูกค้า จะช่วยทำให้ธุรกิจเราเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น โปรแกรมที่เกี่ยวกับการบริหารข้อมูลลูกค้าหรือที่เรียกว่า CRM ( Customer Relationship Management ) ในอดีตจะมีราคาแพงทำให้ธุรกิจต่างๆไม่สามารถจัดหามาใช้งานได้ แต่เมื่อมีเทคโนโลยี Cloud บริษัทอย่าง Salesforce ก็ได้จัดบริการ CRM บน Cloud  ทำให้เราสามารถเก็บข้อมูลของลูกค้าบน Cloud และโปรแกรมมีราคาถูกลงมาก โดยเราสามารถที่จะใช้โปรแกรมผ่่าน Web Browser จากเครื่องใดก็ได้ หรือจะใช่้  Mobile App ที่ชื่อ Salesforce1 ก็ได้ ทำให้ทำงานได้คล่องตัวจากที่ใดก็ได้ ในปัจจุบัน Salesforce มีผู้ใช้จำนวนมากกว่า 2 ล้านคนและมีรายรับประมาณ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐอมริกาเมื่อปี 2012  ซึ่งถือว่าเป็นบริษัททางด้าน SaaS Cloud ที่มีรายได้สูงสุด ทั้งนี้โปรแกรม CRM  ของ Salesforce.com จะมีโซลูชั่นอยู่หลายตัวทั้ง Sales Cloud, Service Cloud, Marketing Cloud, Data Cloud และ Collaboration Cloud (Chatter) ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกใช้โซลูชั่นต่างๆเหล่านี้ได้โดยมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนผู้ใช้ต่อเดือน ในประเทศไทยก็มีหลายองค์กรที่ใช้ Salesforce รวมทั้ง ภาคการเงินการธนาคารอาทิเช่น  ธนาคารไทยพาณิชย์

Screenshot 2014-10-26 07.05.14 ทาง IMC Institute ก็เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ใช้ Salesforce โดยได้ใช้ Force.com มาพัฒนาโปรแกรมระบบบริหารการฝึกอบรมที่เก็บข้อมูล CRM จำนวนหลายหมื่นเรคอร์ดโดยใช้เวลาในการพัฒนาเพียง 1 สัปดาห์ ทำให่้การทำงานของหน่วยงานมีความคล่องตัวมาก ทั้งนี้โปรแกรม  Salesforce.com มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ $25 ต่อผู้ใช้ต่อเดือน และยังมีตลาดกลางที่ชื่อ  AppExchange  ซึ่งในปัจจุบันมีโปรแกรม Business Application มากกว่า  1,700 Apps ที่มีโปรแกรมทั้งทางด้าน HR, Finance, Project Management และ ERP ให้เราสามารถเลือกซื้อใช้บริการเพิ่มเติมจากโปรแกรม  Sales Cloud  ได้

Screenshot 2014-10-26 07.06.35

5)  Skype

ถึงแม้ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะเลือกใช้ Line เป็นโปรแกรมสำหรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบมือถือ แต่เราปฎิเสธไม่ได้ว่า Line  เป็นที่นิยมใช้งานในไม่กี่ประเทศอาทิเช่น ญี่ปุ่น ไทย หรือ ไต้หวัน แต่ตลาด Instant Messaging ทั่วโลกยังเป็นของ Whatspp และถ้าต้องการโปรแกรมสนทนาแบบ  VoIP Skype ยังเป็นโปรแกรมที่นิยมมากที่สุดอยู่ ยิ่งถ้ามีลูกค้าหรือคู่ค้าในต่างประเทศการใช้โปรแกรม Skype ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้มาก ทั้งนี้โปรแกรม Skype สามารถจะติดตั้งได้บนเครื่องพีซี มือถือ หรือ  Tablet และช่วยทำให้เราสนทนากับคู่สนทนาที่มี Skype ด้วยกัน หรือใช้ Skype โทรเข้าเบอร์โทรศัพท์ปกติได้

Screenshot 2014-10-26 07.16.30

ผมเองก็ใช้โปรแกรม Skype  เป็นประจำในการติดต่อกับต่างประเทศ ซึ่งบางครั้งใช้ในการสนทนาร่วมชั่วโมง โดยการซื้่อ Skype Credit ไว้ และใช้เมื่อต้องการโทรศัพท์ไปต่างประเทศ หรือใช้เมื่อเดินทางไปต่างประเทศและต้องการโทรศัพท์ไปตามที่ต่างๆ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายของการ Roaming ไปได้มาก

6) Evernote

โปรแกรม Evernote เป็นเสมือนสมุดโน๊ตที่อยู่บน Cloud ช่วยทำให้เราสามารถจดบันทึกต่างๆได้ และแชร์ให้กับคนอื่นๆได้ โปรแกรม Evernote จะมีทั้งเวอร์ชั่นที่อยู่บนเครื่องพีซี มือถือ หรือ Tablet ทำให้เราสามาถที่จะเข้าถึงเอกสารของเราจากเครื่องใดก็ดี นอกจากนี้ยังสามารถใช้บันทึกภาพถ่าย เสียง หรือ Web Clip และเอดสารที่เราจดบันทึกจะเก็บไว้บน Cloud ตามหมวดหมู่ที่เราระบุ ทำให้สะดวกต่อการค้นหา การใช้ Evernote ช่วยให้เราลดความจำเป็นที่จะต้องใช้สมุดโน๊ต และลดการใช้กระดาษในองค์กร โดยไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลจะสูญหาย

Screenshot 2014-10-27 18.11.17

เวอร์ชั่นฟรีของ Evernote ให้เราสามารถจดบันทึกข้อมูลใหม่ได้เดือนละ 60 MB และมีเนื้อที่การเก็บข้อมูลไม่จำกัดที่สามารถ sync ได้กลับทุกอุปกรณ์ ซึ่งก็น่าจะเพียงพอต่อการทำงาน แต่ถ้าเราเน้นการบันทึกเสียงหรือมีเอกสารจำนวนมากที่ต้องการบันทึก และต้องการสืบค้นข้อความภายในเอกสารที่บันทึกไว้ เราอาจต้องอัพเกรดมาใช้ Evernote Premium ที่สามารถบันทึกข้อมูลใหม่ได้เดือนละ 1 GB ในราคา 150 บาทต่อเดือน

7) Teamwork

การบริหารโครงการเป็นเรื่องยาก ยิ่งในปัจจุบันเราจะต้องเจอกับทีมงานที่หลากหลาย ทำงานคนละที่ บางกลุ่มอาจเป็น outsource บางครั้งก็ต้องการข้อมูลมาแชร์ร่วมกัน ต้องตามงาน ต้องกำหนดเวลานัดหมาย โปรแกรม Cloud Application ที่ชื่อว่า Teamwork ช่วยให้คำตอบเรื่องนี้ได้ เพราะเป็นโปรแกรมที่ใช้ในการประสานงานโครงการผ่าน Cloud ทีมงานสามารถจะป้อนข้อมูลต่างๆ แชร์ไฟล์ กำหนด Milestone หรือ Task ต่างๆได้

Screenshot 2014-10-27 18.13.29

Teamwork เป็นโปรแกรมที่เล่นผ่าน Browser หรือ App บนมือถือและ Tablet สามารถใช้บริหารโครงการ (Project  Management) ทำให้ทีมงานทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิททธิภาพ สามารถจะดู Gantt Chart กำหนดระยะเวลาต่างๆของโครงการ กำหนด Task ให้ทีมงาน และทุกคนสามารถเข้ามาดูหรือแก้ไขงานต่างๆได้ ทั่งนี้ขึ้นอยู่กับสิทธิที่เจ้าของโครงการจะกำหนด Teamwork ในเวอร์ชั่นที่ให้เราใช้งานได้ฟรีจะสามารถใช้งานได้กับงานสองโครงการและมีพื้นที่เก็บข่อมูล 10 MB แต่ถ้าต้องการใช้งานมากกว่านี้เราสามารถที่จะเลือกใช้เวอร์ชั่น Personal  ในราคา $12  ต่อเดือนและจะใช้บริหารโครงการได้ 5 โครงการและมีพื้นที่เก็บข่อมูล 1 GB หรือเวอร์ชั่น Business1  ในราคา $24  ต่อเดือนและจะใช้บริหารโครงการได้ 15 โครงการและมีพื้นที่เก็บข่อมูล 5 GB

8) ERP

โปรแกรมที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งในการบริหารงานธุรกิจคือโปรแกรมด้าน ERP (Enterprise Resource Planning) ที่ช่วยจัดการทรัพยากรของหน่วยงานได้ แต่โปรแกรม ERP จะมีราคาค่อนข้างสูง และมีโปรแกรมบน Cloud ไม่มากนักโดยเฉพาะสำหรับงานที่เหมาะกับธุรกิจไทย โปรแกรมของบริษัทหนึ่งที่อยากแนะนำคือโปรแกรมของบริษัท EFlowSys

Screenshot 2014-10-27 18.19.56

EFlowSys จะมีโซลูชั่นบน Cloud สำหรับธุรกิจที่หลากหลาย เช่นธุรกิจยานยนต์ ธุรกิจแฟชั่น  ธุรกิจขายส่ง ธุรกิจขายปลีก ธุรกิจไอที รวมถึงโปรแกรมคลังสินค้าบน Cloud โดยข้อมูลจะเก็บอยู่บน Cloud และคิดค่าใช้จ่ายรายได้เริ่มต้นตั้งแต่ 3,875  บาทต่อเดือน

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของ Cloud Application เด่นสำหรับธุรกิจ ที่ SME สามารถเริ่มใช้ได้ทันที เพื่อการแข่งขันในยุค Digital Economy

ธนชาติ นุ่มนนท์่

IMC Institute

Data Scientist กับเทคโนโลยี Big Data: Hadoop, MapReduce, R และ Mahout

ได้เขียนเรื่อง Data Scientist  ไปหลายครั้ง (เช่น Big Data Analytics กับความต้องการ Data Scientist ตำแหน่งงานที่น่าสนใจในปัจจุบัน)  และก็ได้หยิบยกบทความของ ดร.อธิป อัศวานันท์ เรื่อง “ความเข้าใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับ Big Data และ Analytics  ทั้งตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2”  มาให้อ่านกัน ก็หวังว่าเราคงเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นระหว่าง  Programmer, BI Analyst และ  Data Scientist  ที่ผมพยายามบอกว่า Data Scentist ต้องมีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์และ Predictive Algorithm

คนที่จะเป็น Data Scientist  จะต้องมีความสามารถอยู่ในสามด้านก็คือ  1)  Programming  กล่าวคือจะต้องมีทักษะการโปรแกรมที่ดีเช่นสามารถเขียนโปรแกรมอย่าง Map/Reduce, R หรือ  Hive  ได้ 2) มีความรู้ด้าน Math และ  Statistics คือจะต้องเข้าใจการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล มีความเข้าใจเรื่อง  Algorithm โดยเฉพาะด้าน Predictive Analytics สำหรับทำ Machine Learning ได้ และ 3) ต้องมีความเข้าใจเรื่องธุรกิจที่จะมาวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อจะได้ทราบว่ารูปแบบของข้อมูลเป็นอย่างไร หรือจะต้องการข้อมูลใดสำหรับการวิเคราะห์และการคาดการณ์ ซึ่งทักษะเหล่านี้ได้สรุปรวมไว้ในรูปที่ 1

Screenshot 2014-10-20 09.35.54รูปที่  1 ทักษะของ Data Scientist 

จริงๆแล้วการทำ Predictive Analytics ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การคาดการณ์ต่างๆจะมีความแม่นยำและใก้ลเคียงกับความจริงมากขึ้นถ้ามีข้อมูลจำนวนมากขึ้น ดังนั้นเทคโนโลยี Big Data  จึงทำให้การคาดการณ์ต่างๆแม่นยำขึ้น และการมีข้อมูลขนาดใหญ่จะมีประโยชน์มากยิ่งขึ้นถ้าเราสามารถทำ Predictive Analytics ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ากรณีนี้มีความแตกต่างกันกับ  Business Intelligence (BI)

  • BI คือการดู Business Insight เพื่อให้ทราบว่าข้อมูลที่ผ่านมาเป็นอย่างไร โดยนำเสนอในมุมมองต่างๆ ทั้งในรูปแบบของรายงาน กราฟ  หรือ Dashboard
  • Predictive Analytics  คือการคาดการณ์อนาคตโดยใช้โมเดลคณิตศาสตร์ที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากและอาจจะมาจากหลายแหล่ง

Screenshot 2014-10-20 09.47.12

รูปที่  2 เครื่องมือและเทคโนโลยีของ Data Science

เทคโนโลยี Big Data ทำให้ Data Scentist มีเครื่องมือที่หลากหลายขึ้น ทั้งในการเก็บข้อมูลเช่น RDBMS ในรูปแบบเดิม หรือ  NoSQL อย่าง MongoDB หรือ  unstructure storage  อย่าง Hadoop HDFS  ทั้งเครื่องมือในการถ่ายโอนข้อมูลอย่าง Sqoop หรือ  Flume และเครื่องมือหรือภาษาในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่าง Java, R, Mahout และเนื่องจากข้อมูลในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็น  unstructure data  ก็เลยทำให้ Hadoop กลายเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจที่สุดของ Big Data เพราะนอกจากสามารถที่จะเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ได้แล้ว ยังมีเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลาย

Screenshot 2014-10-20 09.53.48

รูปที่  3 หน้าที่ของ Data Science

สุดท้ายเพื่อให้เข้าใจว่า Data Scientist ทำอะไรจากเทคโนโลยีต่างๆที่มีอยู่ ลองพิจารณาดูรูปที่ 3 จะเห็นว่าจะมีการกล่าวถึงเทคโนโลยีต่างๆ เช่นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลที่ทำ ETL เครื่องมือในการเก็บข้อมูลอย่าง Hadoop เครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่าง R, Hive, Pig, Java, Mahout  เครื่องมือในการแสดงผลอย่าง Dashboard, Web App และ เครื่องมือในการพยากรณ์ข้อมูลที่ทำ Machine Learning  จากรูปจะเห็นได้ว่าบทบาทของ Data Scientist จะคาบเกี่ยวกับบทบาทของ Data Architecture/Management และ Analytics โดย Data Sceintist จะต้องใช้เครื่องมือต่างๆทั้ง Hadoop, R, MapReduce หรือ Mahout  ในการวืเคราะห์ข้อมูล รวมถึงมีการใช้  Algorithm สำหรับ Machine Learning

  • R เป็๋นภาษาที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้
  • Mahout เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์  Large Scale Data  บน  Hadoop  โดย Mahout จะมี Library  สำหรับ Predictive Analytics สามด้านคือ Recommender, Clustering และ  Classification

การพัฒนาหรือหา Data Scientist คงไม่ใช่ง่าย และไม่สามารถทำได้โดยระยะเวลาอันสั้น จากข้อมูลการสำรวจส่วนใหญ่ก็จะต้องเป็นที่มีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อย่างดี โลกของ Big Data กำลังมา ตรงนี้น่าจะเป็นโอกาสอันดีของนักคณิตศาสตร์ และจำเป็นอย่างยิ่งที่บ้านเราจะต้องเร่งพัฒนาคนทางด้านนี้ แต่อย่ามองว่าเป็นเรื่องง่าย เพราะการเรียนคณิตศาสตร์ไม่ได้ทำกันได้เพียงสัปดาห์เดียว การจะเรียนปริญญาเอกก็ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ ดังนั้นการที่จะสร้าง Data Scentist ทีดีก็ต้องบ่มเพราะเป็นปีๆเช่นกัน

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

ตุลาคม 2557

Hadoop Ecosystem สำหรับการพัฒนา Big Data

เมื่อพูดถึง Big Data นอกเหนือจากข้อมูลจะมีขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว รูปแบบของข้อมูลในอนาคตส่วนใหญ่ก็จะเป็น Unstructure และข้อมูลก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามที่เรานิยามคุณลักษณะของ Big Data ด้วย 3V: Volume, Variety และ Velocity ดังนั้นเครื่องมือในการที่จะทำ Big Data ก็จะต้องเปลี่ยนไปจากที่เราเคยใช้ RDBMS ที่เป็น SQL คนก็เริ่มต้องหาเครื่องมืออื่นๆที่จะจัดการกับข้อมูลจำนวนมากได้อย่าง NewSQL เช่น MySQL Cluster, Amazon RDS หรือ  Azure SQL หรือเครื่องมือที่เป็น NoSQL อย่าง MongoDB หรือ Cassandra และเครื่องมืออย่าง Hadoop ที่ใช้สำหรับจัดการ  Unstructure Data ที่เป็น PetaByte

Hadoop เป็นหนึ่งในเครื่องมือ Big Data ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างเพราะสามารถที่จะจัดการข้อมูล Unstructure ขนาดใหญ่ได้ เช่นข้อมูลที่เป็น Text File, XML หรือ  JSON ผมเองเจอไฟล์ที่เป็น Web Crawl อยู่ในรูปแบบของไฟล์ Web ARChive (WARC) ซึ่งเป็น Text ขนาดใหญ่ขนาดหลายร้อย TeraByte ซึ่งแน่นอนการจัดการข้อมูลแบบนี้ต้องหาเครื่องมือที่เหมาะสม และ Hadoop ก็คือเครื่องมือที่ผมเลือกใช้

Hadoop Project

Hadoop เป็น Open source Project ของ Apache สำหรับการเก็บและบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ Hadoop เขียนด้วยโปรแกรมภาษาจาวา มีความสามารถในการทำ Fault Tourarent เพราะจะเก็บข้อมูลซ้ำกันในหลายๆที่ และเป็นระบบที่เป็น Horizontal Scale ที่รันบนเครื่อง commodity server จำนวนมาก Hadoop Project เริ่มต้นโดย Doug Cutting และ Mike Cafarella ที่เป็นทีมงานของบริษัท Yahoo ซึ่งต่อมาก็มีบริษัทอื่นๆนำไปใช้กันอย่างมากทั้ง eBay, Facebook และ Amazon รวมถึงมีบริษัทหลายๆรายที่นำมา Hadoop มาทำ Commercial Distribution อาทิเช่น Cloudera, MapR, IBM Infoshphere BigInsight, Hortonwork หรือ Amazon Elastic Map Reduce

Screenshot 2014-10-18 11.50.04

รูปที่  1: Hadoop Environment [Source: Hadoop in Practice; Alex Holmes]

Hadoop เวอร์ชั่นแรกจะมีองค์ประกอบหลักสองส่วนคือ

  • HDFS (Hadoop Distribution File System) ที่ทำหน้าที่เป็นส่วนเก็บข้อมูลซึ่งจะเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่จะแบ่งเป็นไฟล์ย่อยขนาดใหญ่เก็บลงใน Data Node จำนวนมาก โดยจะมี Master Node ที่ทำหน้าที่ระบุตำแหน่งของข้อมูลที่เก็บใน Data node
  • Map/Reduce จะเป็นส่วนประมวลผลข้อมูล ที่นักพัฒนาสามารถเขียนโปรแกรมโดยใช้ภาษาจาวามาวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบของฟังก์ชันการ Map และ Reduce ได้ โดยระบบก็จะกระจาย Task ไปรันแบบ Parallel บนเครื่องหลายๆเครื่อง

ข้อมูลที่เก็บอยู่ใน HDFS จะไม่ใช่รูปแบบ Table อย่างที่เก็บในฐานข้อมูล RDBMS จะเหมาะกับการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่มากที่ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง และไม่สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลแบบ Random Access ได้ ส่วนการประมวลผลแบบ Map/Reduce ก็ไม่ใช่ realtime Online แบบ SQL ของ RDBMS แต่จะเป็นแบบ Batch Offilne ใช้เวลาพอสมควรขึ้นอยู่กับขนาดข้อมูล

สถาปัตยกรรมฮาร์ดแวร์ของระบบ Hadoop จะประกอบด้วยเครื่อง Server จำนวนมาก โดยจะมีเครื่องหนึ่งทำหน้าที่เป็น Master และจะมีเครื่องลูกอีกจำนวนมากทำหน้าที่เป็น Slave โดยปกติ Hadoop จะกำหนดให้ข้อมูลที่เก็บในเครื่อง Slave มีการเก็บข้อมูลซ้ำกันสามแห่ง ดังนั้นเครื่อง Slave ควรจะมีอย่างน้อยสามเครื่อง ส่วนเครื่อง Master ก็จะทำหน้าที่หลักในการระบุตำแหน่งของข้อมูลและ Task ที่กระจายในการประมวลผลของ Map/Reduce ดังนั้นเครื่อง Master จึงมีความสำคัญอย่างมาก และต้องมีเครื่อง Secondary Master ในการที่จะสำรองไว้ในกรณีเครื่อง Master ตายไป ดังนั้นระบบ Hadoop โดยทั่วไปจะเริ่มต้นที่เครื่อง Server 5 เครื่อง สำหรับ Master หนึ่งเครื่อง, Secondary Master หนึ่งเครื่อง และ Slave สามเครื่อง โดยหากต้องการเก็บข้อมูลมากขึ้นหรือต้องการประมวลผลข้อมูลให้เร็วขึ้นก็ต้องเพิ่มจำนวนเครื่อง Slave ให้มากขึ้น ทั้งนี้ขนาดของข้อมูลที่เก็บได้ก็จะขึ้นอยู่กับขนาดความจุข้อมูลของเครื่อง Slave รวมกันหารด้วยจำนวนข้อมูลที่ต้องการเก็บซ้ำ (default คือ 3) ซึ่งการเก็บข้อมูลจำนวนเป็น Petabyte ได้ก็ต้องมีเครื่องเป็นจำนวนมากกว่าร้อยเครื่อง โดยปัจจุบัน Yahoo เป็น site ที่มี Hadoop Cluster ใหญ่ที่สุด โดยมีเครื่องจำนวนถึง 40,000 เครื่อง

Screenshot 2014-10-18 11.54.53

รูปที่  2: Hadoop Architecture [Source: Hadoop in Practice; Alex Holmes]

Hadoop Ecosystem

ระบบ Hadoop เองจะมีองค์ประกอบหลักอยู่แค่สองส่วนคือ HDFS และ Map/Reduce ซึ่งค่อนข้างจะไม่สะดวกกับผู้ใช้งานที่มีความต้องการอื่นๆเช่น  การประมวลผลโดยใช้ภาษา SQL การเขียนหรืออ่านข้อมูลแบบ Random access หรือการถ่ายโอนข้อมูลจากที่อื่นๆ จึงมีการพัฒนาโปรเจ็คอื่นๆที่มาทำงานร่วมกับ Hadoop เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ดังแสดงตัวอย่างในรูปที่ 3 ซึ่งมีเครื่องมือที่สำคัญดังนี้

Screenshot 2014-10-18 12.00.24

รูปที่  3: Hadoop Ecosystem [Source: Big Data Analytics with Hadoop: Phillippe Julio]

  • Hive เป็นเครื่องมือสำหรับผู้ต้องการสืบค้น (Query) ข้อมูลที่เก็บใน HDFS ด้วยภาษาลักษณะ SQL แทนที่จะต้องมาเขียนโปรแกรม Map/Reduce โดย Hive จะทำหน้าที่ในการแปล SQL like ให้มาเป็น Map/Reduce แล้วก็ทำการรันแบบ Batch
  • Pig เป็นเครื่องมือคล้ายๆกับ Hive ที่ช่วยให้ประมวลผลข้อมูลโดยไม่ต้องเขียนโปรแกรม Map/Reduce ซึ่ง Pig จะใช้โปรแกรมภาษา script ง่ายๆที่เรียกว่า Pig Latin แทน โดย Pigเหมาะกับการทำ ETL สำหรับการแปลงข้อมูลในรูปแบบต่างๆเช่น JSON
  • Sqoop เป็นเครื่องมือในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างฐานข้อมูลที่อยู่รูปแบบ Table บน RDBMS อย่าง SQL server, Oracle หรือ MySQL กับข้อมูลบน HDFS ของ Hadoop
  • Flume เป็นเครื่องมือในการดึงข้อมูลจากระบบอื่นๆแบบ Realtime เข้าสู่ HDFS เช่นการดึง Log จาก Web Server การดึงข้อมูลเหล่านี้จะต้องมีการติดตั้ง Agent ที่เครื่อง Server
  • HBase เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ Hadoop สามารถอ่านและเขียนข้อมูลแบบ Realtime Random Access ได้โดยจะทำให้เป็น BigTable ที่เก็บข้อมูลได้ไม่จำกัด row หรือ column ซึ่ง HBase ก็จะเป็นเสมือนการทำให้ Hadoop เป็น NoSQL Database
  • Oozie เป็นเครื่องมือในการทำ Workflow จะช่วยให้เราเอาคำสั่งประมวลผลต่างๆของระบบ Hadoop เช่น Map/Reduce, Hive หรือ Pig มาเชื่อมต่อกันในรูปของ Workflow ได้
  • Hue ย่อมาจากคำว่า Hadoop User Experience เป็นเครื่องมือช่วยทำ User interface ของ Hadoop ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นกว่าการต้องใช้ command line
  • Mahout เป็นเครื่องมือของ Data Scientist ที่ต้องการทำPredictive Analytics ข้อมูลบน Hadoop โดยใช้ภาษาจาวา ทั้งนี้ Mahout สามารถใช้ Algorithm ที่เป็น Recommender, Classification และ Clustering ได้

Hadoop 2.0

Hadoop เวอร์ชั่นแรกมีข้อจำกัดหลายประการอาทิเช่น ระบบการสำรองของ Secondary Master เป็นแบบ Passive และไม่สามารถทำ Multiple Master ได้จึงจำกัดเครื่อง Slave ไว้ไม่เกิน 4,000 เครื่อง และขัอสำคัญการประมวลผลต้องใช้ Map/Reduce ที่เป็นแบบ Batch ดังนั้นจึงมีการพัฒนา Hadoop 2.0 ที่จะลดข้อจำกัดต่างๆ  Hadoop เวอร์ชั่นนี้จะมีสถาปัตยกรรมดังรูปที่ 4 โดยมีการนำ Data Opeating System ที่เรียกว่า YARN (Yet Another Resource Negotiator) เข้ามา

Screenshot 2014-10-18 12.06.08

รูปที่  4 : Hadoop 2.0

เราจะเห็นได้ว่าการมี YARN ทำให้เรามีวิธีการประมวลผลที่หลากหลายขึ้น ทั้งแบบ Batch อย่างเดิมที่ใช้ Map/Reduce หรือผ่าน Hive และก็เป็น Realtime ที่ใช้ Streaming หรือ MPI รวมถึงสามารถขยายจำนวนเครื่อง Slave ได้จำนวนมาก  ในปัจจุบันมี่ Hadoop Distribution หลายตัวรวมทั้งที่เป็นผู้ให้บริการบน Cloud แบบ Hadoop as a Service ที่ใช้ Hadoop 2.0 จึงทำให้โอกาสการใช้งานของ Hadoop ในอนาคตจะขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

ตุลาคม 2557

เศรษฐกิจใหม่ว่าด้วยเรื่องดิจิทัล

ตอนผมเด็กๆกิจกรรมหนึ่งที่ผมชอบเล่นกับพี่ชายในช่วงวันปีใหม่ของทุกๆปีคือการติดสคส.ปีใหม่จำนวนมากที่แม่และพ่อได้รับติดโชว์รอบบ้าน มาวันนี้คุณแม่ผมจะบ่นว่าหาซื้อการ์ดปีใหม่ยากและไม่ค่อยได้รับเท่าไรแล้วแล้วคนที่เขาเคยมีอาชีพเหล่านี้ไม่ว่าคนทำสคส. คนส่งจดหมายต่อไปเขาไม่แย่หรอ

สมัยเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อมีน้องใหม่เข้ามารายงานตัว เราจะเห็นร้านถ่ายรูปมารอรับถ่ายรูปนักศึกษาใหม่เต็มไปหมด รายได้ดีมากร้านถ่ายรูปร้านรับอัดภาพคนเนื่องแน่นอยู่เสมอ เราต้องขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปในเมืองรอรับรูป รอคิวเป็นเวลานานกว่าจะได้ เป็นธุรกิจที่น่าอิจฉาและน่าทำมาก แต่เมื่อวันก่อนผมกลับไปบริเวณเดิมที่เคยมีร้านถ่ายรูปหลายร้านในจังหวัด เหลือเพียงรายเดียวและไม่มีคนมากนัก

ยังไม่ต้องพูดถึงกิจการอื่นๆอีกมากมายที่กำลังเปลี่ยนไป ร้านขายหนังสือที่เคยเป็นเอเยนต์หนังสือรายใหญ่วันนี้เงียบเหงามาก ร้าน Travel Agent ร้าน Xerox แถวมหาวิทยาลัยที่เคยเฟื่องฟู พวกนี้หายไปหมดเพราะการเปลี่ยนแปลงสู่เทคโนโลยีดิจิทัล

โลกกำลังเปลี่ยนไปก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ เราหนีไม่พ้นเพราะดิจิทัลกำลังเข้ามา เราจะต้องมาคิดว่าเราจะอยู่รอดกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมเห็นข่าวตัวแทนจากธนาคารโลกในประเทศไทยกล่าวถึงตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศว่าประเทศไทยเราบ๊วยสุดในอาเซียน บางท่านก็อาจมองไปว่าเป็นเพราะปัญหาทางการเมืองเรา ผมคิดว่านั้นก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่ผมคิดว่าอีกส่วนหนึ่งที่เรากำลังลำบากในการที่จะเห็นเศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตแบบเดิมๆลำบากก็เพราะเราติดกับดักดิจิทัล เรากำลังตามเศรษฐกิจใหม่ที่เราอาจใช้คำพูดว่า Digital Economy ไม่ทัน

Screenshot 2014-10-13 23.52.54

โลกกำลังเปลี่ยนแปลง แต่เรากำลังเดินอยู่ในวิถีเศรษฐกิจแบบเดิม เราเห็นการค้า E-Commerce กำลังเข้ามาแต่เราคิดว่าคนไทยไม่พร้อม เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของ Internet Banking แต่เรากลับคิดว่าการทำธุรกรรมออนไลน์มีความเสี่ยง เราเห็นการทำ Booking Online แต่เรากลับคิดว่าเป็นเรื่องของคนต่างชาติหรือมองเป็นเรื่องไฮเทค เราเห็นหนังสือพิมพ์แบบอีบุ๊คเข้ามาแต่เราคิดว่าคนยังชอบอ่านแบบกระดาษ ก็เพราะเราคิดช้าเราคิดแบบเดิม ทำให้หลายๆอาชีพกำลังลำบากกำลังแข่งขันในอนาคตลำบาก

ทันทีที่ผมเห็นข่าวว่ารัฐบาลกำลังทำ Digital Economy ผมดีใจมากครับคิดว่าประเทศเรากำลังก้าวไปสู่เศรษฐกิจใหม่ นึกถึงโครงการใหญ่ๆอย่าง Eastern Sea Board สมัยพลเอกเปรมเป็นนายกฯที่ลงทุนเป็นหมื่นล้านแล้วช่วยทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงความเจริญที่เข้ามายังจังหวัดแถวนั้น ทำให้เราเห็นแถวชลบุรี ระยอง โตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

การทำ Digital Economy คือการสร้างเศรษฐกิจแบบใหม่ที่จะทำให้ประเทศไทยแข่งขันได้แบบก้าวกระโดด ผมอยากเห็นว่าถ้าเปลี่ยนตรงนี้มันจะต่างจากเศรษฐกิจแบบเก่าอย่างไร เราจะมีงานใหม่เกิดขึ้นในประเทศกี่ล้านตำแหน่ง คนในภาคเกษตรกรรม ภาคท่องเที่ยว หรือภาคอุตสาหกรรมอื่นๆจะได้ประโยชน์อย่างไร ตัวชี้วัดก็ควรจะเป็นว่า GDP โดยรวมของประเทศจะโตขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ใน 5 ปี เช่นขึ้นไปถึง 20-30% ไหม มันจะโตแบบก้าวกระโดดอย่างไร แต่ไม่ใช่ตัวชี้วัดของกระทรวงไอซีทีครับต้องเป็นตัวชีวัดของรัฐบาล

ดังนั้นเศรษฐกิจดิจิทัลไม่ใช่แค่เรื่องของไอที ไม่ใช่มาดูว่าเราจะทำอะไรกับอุตสาหกรรมไอทีหรือจะกระตุ้นอุตสาหกรรมไอทีของประเทศอย่างไร ตอนนี้เปรียบเสมือนว่าประเทศคือบริษัทแห่งหนึ่งที่กำลังประสบปัญหาว่าอัตราการเจริญเติบโตของธุรกิจไม่ดีพอ เราต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอาจต้องหาสินค้าหรือบริการใหม่ หรือข้อมูลสำหรับวิธีการขายแบบใหม่ๆ บริษัทนี้คงไม่ใช่แค่มามองว่าจะปฎิรูปแผนกไอทีอย่างไร ไม่ได้มาวัดว่าจะลงทุนด้านไอทีเป็นอัตราส่วนเท่าไร แต่มันควรเป็นการที่ฝ่ายต่างๆในบริษัทจะมาแนวทางร่วมกันว่าจะใช้ไอทีอย่างไรเพื่อให้บริษัทเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด

เช่นเดียวกันครับ บริบทของภาครัฐในการทำ Digital Economy ต้องไม่ใช่แค่เรื่องของกระทรวงไอซีที ไม่ใช่แค่เรื่องของการปรับโครงสร้างกระทรวงไอซีที แต่มันควรเป็นเรื่องของทุกกระทรวงโดยเฉพาะกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจว่าเราจะทำอย่างไรโดยใช้ไอทีเพื่อให้เศรษฐกิจโตแบบก้าวกระโดด อะไรคือยุทธศาสตร์สำคัญในอนาคต ท่องเที่ยวหรือเกษตร ไอซีทีจะเข้ามาช่วยได้อย่างไร คิดอย่างไรถึงจะต่าง ตอนนี้ประเทศเรากำลังไล่ตามเขาเรื่องดิจิทัล ทำตามเขาเรื่อง E-Service อย่างมากก็ไล่เขาทัน ถ้าจะชนะเขาต้องหาวิธีคิดต่าง ข้อสำคัญเรากำลังทำ New Economy ต้องช่วยกันทุกฝ่ายว่าจะปฎิรูปประเทศให้เศรษฐกิจเราโตขึ้นอย่างไร ไม่ใช่มาคิดว่าอุตสาหกรรมไอซีทีในประเทศจะโตขึ้นกี่เปอร์เซนต์ อันนั้นมันเป็นผลพลอยได้ เพราะถ้าเศรษฐกิจของประเทศโตจากการใช้ไอซีที ยังไงอุตสาหกรรมไอซีทีก็ต้องโตขึ้นอย่างมาก

ธนชาติ นุ่มนนท์