Global 100 Software Leader และแนวโน้มของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาทาง PwC ได้ออกผลวิจัยเรื่อง Global 100 Software Leaders 2013   (ดูรายงานฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://tinyurl.com/nhdx5hl)   ซึ่งเป็นการจัดอันดับบริษัทซอฟต์แวร์ของโลกที่ทาง PwC ทำต่อเนื่องเป็นปีที่สอง โดย PwC ได้นำข้อมูลจากการสำรวจรายได้ของบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วโลกเมื่อปี 2011 มาจัดอันดับและมีการสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทซอฟต์แวร์ประกอบกับการนำข้อมูลอื่นๆมาวิเคราะห์เพื่อดูแนวโน้มของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์

Top 100 Global Software Companies

ซึ่งจากข้อมูลการจัดอันดับรายได้ของบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วโลก (รายได้ไม่รวม Services และ IT Outsourcing) จะพบว่าบริษัทซอฟต์แวร์ที่ใหญ่สุดคือ Microsoft  ซึ่งมีรายได้จากซอฟต์แวร์ในปี 2011 ถึง $57,668.40 ล้าน ตามด้วยบริษัท IBM, Oracle และ SAP ที่น่าสนใจคือบริษัทซอฟต์แวร์ที่ติด Top 100 ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทจากสหรัฐอเมริกาซึ่งมีรายได้จากซอฟต์แวร์ของบริษัทเหล่านี้รวมกันถึง  $190,816 ล้าน ส่วนประเทศอื่นๆที่มีบริษัทซอฟต์แวร์ติดอันดับก็จะมีอย่าง เยอรมัน ญี่ปุ่น สวีเดน อังกฤษ และมีบริษัทในประเทศกลุ่มที่เกิดใหม่ทางอุตสาหกรรมนี้ (Emerging Country) ที่ติดอันดับโลกอยู่บ้างบางบริษัทเช่น TOTVS ของบราซิล  Kaspersky Lab ของรัสเซีย และ Neusoft ของจีน ทั้งนี้ข้อมูลนี้ระบุถึงรายได้ที่เกิดจากการจำหน่ายซอฟต์แวร์ไม่ใช่รายได้รวมทั้งหมดจึ่งทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google มีรายได้ในปี 2011เพียง $575.62 ล้าน จากรายได้รวม $37,905.00 ล้าน

ทั้งนี้ข้อมูลของ Top 100 Software Companies ของโลกเป็นไปดังตารางนี้ (ข้อมูลจาก Global Software Business Strategies Group ของ IDC)

Screenshot 2013-10-12 09.35.26

Screenshot 2013-10-12 09.35.43

และถ้าพิจารณาแยกตามประเทศจะพบว่าบริษัทซอฟต์แวร์ Top 100 ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีรายได้รวมกัน $190,816  ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนประเทศที่มีรายได้รวมของซอฟต์แวร์ในอันดับสองคือ Germany ที่มีรายได้รวม  $190,816  ล้านเหรียญสหรัฐจากโดยมีบริษัทใหญ่ๆอย่าง SAP, Siemens และ Software AG ประเทศญี่ปุ่นเองก็มีบริษัทซอฟต์แวร์ใหญ่ๆหลายบริษัทเช่น Fujitsu,  Hitachi และ NEC  เราสามารถสรุปจำนวนบริษัท Top 100 แยกมาจากประเทศต่างๆ ได้ดังนี้ และมีรายได้รวมของประเทศต่างๆในบริษัท Top 100 ดังรูป

  • USA 73  บริษัท
  • Germany  7 บริษัท
  • Japan  4  บริษัท
  • Sweden, France, Canada, Netherlands, Belgium, Israel ประเทศละ  2  บริษัท
  • Norway, Brazil, Russia, China ประเทศละ  1  บริษัท

Screen Shot 2556-09-19 at 10.10.46 PM

แนวโน้มของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์

นอกจากนี้ทาง PwC ยังวิเคราะห์ถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์อย่างน่าสนใจในหลายๆด้าน โดยระบุว่าแนวโน้มของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์คือเรื่องของ  Cloud, Software as a Service (SaaS), อุปกรณ์โมบาย และ  Consumerization of IT โดยอุตสาหกรรมจะต้องปรับเปลี่ยนในหลายๆด้่านเช่น

  • อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในอนาคตจะไม่ใช่ Standalone Industry อีกต่อไป แต่อาจต้องผสมผสานกับอุตสาหกรรมและประสบการณ์ด้านอื่นเช่น บริการ หรือ Community  เป็นต้น
  • การคิดราคาซอฟต์แวร์จะเริ่มเปลี่ยนจาก License Model  มาเป็น SaaS  หรือ  Subscription model
  • มีการพัฒนา  Mobile Apps ที่ราคาไม่สูงนักมากขึ้น โดย App  เหล่านั้นจะเชื่อมต่อกับ Enterprise Software  ที่รันอยู่บน Data Center ขององค์กรหรือ  Public Cloud
  • การพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องคำนึงถึงลูกค้าที่เป็นผู้ใช้จริงๆในองค์กรมากขึ้น การตัดสินใจการใช้ซอฟต์แวร์ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับแค่ CIO หรือผู้บริหารไอทีขององค์กรอีกต่อไป
  • เรื่องของ  Customer loyalty จะกลายเป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆเพราะเทคโนโลยีใหม่อย่าง  Cloud  หรือ  Mobile ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนการใช้ซอฟต์แวร์ได้ง่าย
  • ตลาดซอฟต์แวร์กำลังเปลี่ยนจาก B2B  ที่ Vendor เคยขายผ่านตัวแทนเป็น การขายไปยังลูกค้าโดยตรง

ในแง่ของ  SaaS ทาง PwC  ได้แสดงข้อมูลของ 10 อันดับแรกของบริษัทซอฟต์แวร์โลกที่มีรายได้จาก SaaS  สูงสุด ซึ่งอันดับหนึ่งคือ Salesforce ที่มีรายได้ $1,848 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังพบในปัจจุบันสัดส่วนรายได้ซอฟต์แวร์ที่มาจาก SaaS ยังมีเพียง  5% จากรายได้ทั้งหมด แต่คาดการณ์ว่าจำนวนสัดส่วนนี้จะเพิ่มเป็น 25% ในปี  2016  นอกจากนี้ยังพบว่าบริษัทซอฟต์แวร์ที่เกิดใหม่ในปี 2012 ร้อยละ 82  จะจำหน่ายซอฟต์แวร์ในแบบ  SaaS มากกว่าแบบ Packaging Software

Screen Shot 2556-09-20 at 11.27.48 AMนอกจากนี้ก็ยังจะเห็นว่าเริ่มมีหลายๆบริษัทที่รายได้ของซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่มาจาก SaaS  โดย 10 อันดับแรกของบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้มาจาก SaaS สูงสุดมีดังนี้

Screenshot 2013-10-12 10.19.27

Top 100 Software Companies in Emerging Markets

ทาง PwC ยังจัดอันดับบริษัทซอฟต์แวร์ในตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่ทางด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เช่น ประเทศจีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย หรือประเทศอื่นๆ จะเห็นว่าบริษัทที่ติดอันดับ Top 100  จะอยู่ในประเทศจีนส่วนใหญ่โดยจะมีรายได้ของบริษัทที่ติด Top 100 รวมกัน $2,738 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยบริษัทจากอิสราเอลที่มีรายได้รวมกัน $1,174 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีรายชื่อของบริษัท Top 100 ดังนี้

Screenshot 2013-10-12 10.33.52

Screenshot 2013-10-12 10.34.13

ซึ่งเราสามารถสรุปจำนวนบริษัท Top 100 ของในกลุ่ม Emerging Markets แยกมาจากประเทศต่างๆ ได้ดังนี้ และมีรายได้รวมของประเทศต่างๆในบริษัท Top 100 ดังรูป

  • China 28 บริษัท
  • India  16  บริษัท
  • Korea 16 บริษัท
  • Brazil  9  บริษัท
  • Russia  6 บริษัท
  • Israel 5 บริษัท
  • Romania  3 บริษัท
  • Taiwan, Czech Republic, Poland, Argentina, Mexico, Turkey  ประเทศละ  2  บริษัท
  • Malaysia, Hong Kong, Saudi Arabia, Columbia, Slovakia  ประเทศละ  1  บริษัท

emerging

แนวโน้มการพัฒนา Emerging Technology ของบริษัทไอทีไทย

เมื่อเร็วๆนี้ทาง IMC Institute เปิดแถลงข่าวเรื่องผลสำรวจ “Emerging Technology: Thai Professional Readiness Survey” และก็มีสื่อหลายๆฉบับนำไปลงข่าวให้ รวมถึงบทบรรณาธิการของกรุงเทพธุรกิจที่เขียนในหัวข้อ “แรงงานฝีมือไอทีขาด ดับฝันผู้นำอาเซียน” ในฉบับวันที่ 19 กันยายน  (เนื้อหาของบทความสามารถอ่านได้ที่ http://tinyurl.com/mzq7xgv )และเพื่อให้เข้าใจรายละเอียดของการสำรวจครั้งนี้ผมจึงขอนำรายงานการสำรวจมาสรุปสั้นๆดังนี้

Screen Shot 2556-10-06 at 9.23.03 PM

การสำรวจครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบถึงสภาวการณ์โดยรวมของประเทศในปัจจุบัน และเพื่อประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาบุคลากรและวงการไอทีของไทยต่อไปในอนาคตโดยเน้นในกลุ่มของบุคลากรด้านซอฟต์แวร์ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้าน Emerging Technology โดยเฉพาะเมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) กำลังจะเข้ามามีบทบาทอย่างเต็มที่ทั้งในเชิงความร่วมมือและการแข่งขันในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ในปี พ.ศ.2558

การสำรวจข้อมูลดังกล่าวได้ถูกดำเนินการขึ้น ในช่วงระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน ถึง 31 สิงหาคม พ.ศ.2556 โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ และวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ทั้งนี้ ากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 165 ราย ทางทีมผู้วิจัยได้คัดเลือกตัวอย่างที่สมบูรณ์และมีความสามารถในการสะท้อนภาพรวมที่แท้จริงของวงการบุคลากรไอทีไทยออกมาได้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 89 ราย แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มบริษัท/หน่วยงานที่ประกอบธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมไอทีเป็นหลัก จำนวน 51 ราย ซึ่งโดยมากจะเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน แต่ก็มีบางบริษัทที่มัพนักงานซอฟต์แวร์อยู่ระหว่าง 101-500 คน ส่วนกลุ่มที่สองที่ทำการสำรวจคือบริษัท/หน่วยงานที่ประกอบธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีแผนกไอทีภายในองค์กร อาทิ กลุ่มการเงินการธนาคาร, กลุ่มโทรคมนาคม, กลุ่มพลังงาน เป็นต้น จำนวน 38 ราย ซึ่งในกลุ่มนี้โดยมากจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านบาทและโดยเฉลี่ยจะมีพนักงานไอทีอยู่ประมาณช่วง 11-100 คน โดยสามารถที่จะสรุปจำนวนพนักงานในกลุ่มบริษัทและหน่วยงานได้ดังรูป

Image

รูปที่   1) จำนวนของพนักงานไอทีและพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ภายในองค์กร ของบริษัท/หน่วยงานในอุตสาหกรรมไอที

Image

รูปที่ 2) จำนวนของพนักงานไอทีและพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ภายในองค์กร ของบริษัท/หน่วยงานในอุตสาหกรรมอื่นๆ

ผลการสำรวจความพร้อมด้าน Emerging Technology

การสำรวจครั้งนี้ได้ศึกษาความพร้อมของบุคลากรทางด้านซอฟต์แวร์ของหน่วยงานต่างๆในประเด็นต่างที่น่าสนใจ อันได้แก่ ทักษะของบุคลากรในด้านภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม, ด้านการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่น, ด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์บนคลาวด์เทคโนโลยี และด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ Emerginf Technology อื่นๆ รวมถึง ศึกษาทัศนคติที่มีต่อระดับความสำคัญของเทคโนโลยีต่างๆ, ปัญหาและอุปสรรค, ทัศนคติที่มีต่อแหล่งการจัดหาบุคลากรด้านเทคโนโลยีก่อกำเนิด และข้อเสนอแนะอื่นๆ

ทักษะในด้านภาษาคอมพิวเตอร์

ผลการสำรวจในหัวข้อด้านทักษะของบุคลากรไอทีไทยที่เกี่ยวข้องกับภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม (Computer Programming Language) เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้วพบว่า ปัจจุบันองค์กรต่างๆมีบุคลากรในการพัฒนาซอฟต์แวร์โดยหลักสามภาษาคือ PHP, Java และ .NET โดยทั้งสามภาษาทั้งสามมีองค์กรที่มีบุคลากรในการพัฒนาจำนวนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างนั้น ได้แก่ PHP (65.17%), Java (62.92%) และ .NET (61.80%) อีกทั้ง และยังมีแนวโน้มความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้านภาษาเหล่านี้เพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย แต่เมื่อพิจารณาจำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในแต่ละองค์กรจะพบว่าองค์กรโดยมากจะมีบุคลากรที่สามารถพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ที่ระบุน้อยกว่า 10 คน และมีเพียงไม่กี่องค์กรที่ระบุว่ามีนักพัฒนามากกว่า 20 คนกล่าวคือ มีเพียง 5 องค์กรที่ระบุว่ามีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้าน PHP มากกว่า 20 คน และมีองค์การที่ระบุว่ามีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้าน Java และ .NET มากกว่า 20 คนอย่างละ 10 องค์กร นอกจากนี้ยังพบว่าเริ่มมีหลายองค์กรที่ให้ความสนใจกับภาษาคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ อย่าง Python และ Ruby มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์อื่นๆ ที่เป็นที่ต้องการขององค์กรอาทิ C++, COBOL, Delphi เป็นต้น อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังไม่มีการกำหนดแผนงานในการขยายบุคลากรในกลุ่มภาษาคอมพิวเตอร์ใหม่ๆอย่างชัดเจนนัก

Image

รูปที่ 3) ร้อยละขององค์กรที่มีบุคลากรพัฒนาโปรแกรมสำหรับภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน

Image

รูปที่ 4)  แนวโน้มการวางแผนงานขององค์กรสำหรับบุคลากรด้านการพัฒนาโปรแกรมสำหรับภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆ

ทักษะในด้านการพัฒนา Mobile Application

สำหรับทักษะของบุคลากรไอทีไทยในหัวข้อการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่น (Mobile Application Development) นั้นพบว่า ในปัจจุบันองค์กรไอทีของไทยให้ความสนใจกับการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่นโดยใช้ Native Application บนระบบปฎิบัติการ iOS และ Android ในจำนวนที่เท่าเทียมกัน คือ 51.69% ตามมาด้วย Windows (24.72%) นอกจากนี้ยังพบว่าหลายๆองค์กรเริ่มให้ความสนใจกับการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่นแบบ Cross Platform โดยใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ HTML5 ในจำนวนถึง 50.56% อีกทั้งองค์กรส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มวางแผนเพิ่มบุคลากรในการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่นอย่างชัดเจนมากกว่าการเพิ่มบุคลากรการพัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้าน Emerging Technology อื่นๆ โดยมีความสนใจที่จะเพิ่มบุคลากรในการพัฒนาแพลตฟอร์มทางด้าน iOS มากที่สุด

สำหรับในแง่ของจำนวนบุคลากรผลการสำรวจจะออกมาในทำนองเดียวกับจำนวนบุคลากรทางด้านภาษาคอมพิวเตอร์ กล่าวคือองค์กรส่วนใหญ่จะมีบุคลากรในการพัฒนาด้านโมบายแอพพลิเคชั่นน้อยกว่า 10 คนในปัจจุบัน และมีเพียงอย่างละ1 องค์กรที่มีบุคลากรมากกว่า 20 คนในการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่น ด้าน iOS, Android และ HTML5

mobile

รูปที่ 5) ร้อยละขององค์กรที่มีบุคลากรพัฒนาด้าน Mobile Application จำแนกตามแพลตฟอร์มต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน

mobiletrends

รูปที่ 6)  แนวโน้มการวางแผนงานขององค์กรสำหรับบุคลากรด้านการพัฒนา Mobile Application จำแนกตามแพลตฟอร์มต่างๆ

ทักษะในด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์บนเทคโนโลยี Cloud Computing

ในปัจจุบันเทคโนโลยี Cloud Computing ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่สนใจกันอย่างกว้างขวางนักในกลุ่มบริษัท / หน่วยงานต่างๆในไทย แต่เมื่อมีการสำรวจแนวโน้มการพัฒนาซอฟต์แวร์บน Cloud Platform ก็ยังจัดว่ามีสัดส่วนที่ค้อนข้างน้อย โดยแพลตฟอร์มที่องค์กรต่างๆมีบุคลากรที่มีทักษะในการพัฒนามากที่สุดคือ Google App Engine แต่ก็ยังคิดเป็นเพียง 22.47% ตามมาด้วย Microsoft Azure จำนวน 19.10%  Amazon Web Services (13.48%) และ Heroku (5.62%)  โดยยังพบว่าองค์กรต่างๆจะมีบุคลากรที่พัฒนาซอฟต์แวร์บน Cloud Computing น้อยกว่า 10 คน นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังไม่มีการกำหนดแผนงานในการขยายบุคลากรในการพัฒนาซอฟต์แวร์บนเทคโนโลยี Cloud Computing อย่างชัดเจนนัก โดยพบว่าองค์กรต่างๆมีความต้องการที่จะเพิ่มบุคลากรด้านนี้น้อยมากเมื่อเทียบกับความด้องการเพิ่มบุคลากรในการพัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้าน Emerging Technology อื่นๆ

cloud

รูปที่ 7) ร้อยละขององค์กรที่มีบุคลากรซอฟต์แวร์ในการพัฒนา Cloud Technology จำแนกตามแพลตฟอร์มต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน 

cloudtrends

รูปที่ 8)  แนวโน้มการวางแผนงานขององค์กรสำหรับบุคลากรด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์บน Cloud Technology จำแนกตามแพลตฟอร์มต่างๆ

ทักษะในด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ Emerging Technology  อื่นๆ

นอกจากนี้ทาง IMC Institute ยังทำการสำรวจทักษะของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ Emerging Technology อื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจของบริษัท / หน่วยงานไทย  โดยผลการสำรวจพบว่าองค์กรจะมีบุคลากรที่พัฒนาทางด้าน Business Intelligence (BI) มากที่สุด โดยในปัจจุบันมีองค์กรที่มีบุคลากรทางด้านนี้อยู่ถึง 58.42% ตามมาด้วย Facebook Application Development (33.71%), noSQL (21.35%) และ Big Data (17.98%) ทั้งนี้องค์กรต่างๆยังมีความต้องการเพิ่มบุคลากรที่มีทักษะด้าน Emerging Technology เหล่านี้ในอนาคตอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังไม่มีการกำหนดแผนงานในหัวข้อนี้อย่างชัดเจนนัก

other

รูปที่ 9) ร้อยละขององค์กรที่มีบุคลากรซอฟต์แวร์ในการพัฒนา Emerging Technology อื่นๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน 

Othertrends

รูปที่ 10)  แนวโน้มการวางแผนงานขององค์กรสำหรับบุคลากรด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ Emerging Technology  อื่นๆ

ทัศนคติที่มีต่อความสำคัญของ Emerging Technology ขององค์กรต่างๆ

IMC Institute ยังได้สำรวจทางด้านการให้ความสำคัญของ Emerging Technology ของหน่วยงาน/บริษัทต่างๆ จากผลการสำรวจพบว่า ค่าเฉลี่ยของทัศนคติที่กลุ่มตัวอย่างโดยรวมที่มีต่อความสำคัญของ Emerging Technology ต่างๆ ด้วยการวัดค่าจากมาตรวัดคะแนน 5 ระดับ (5-Point Rating Scale) นั้น กลุ่มตัวอย่างเห็นความสำคัญของการพัฒนาซอฟต์แวร์เทคโนโลยีด้าน Mobile Application (3.80 คะแนน) สูงที่สุด ตามมาด้วย Business Intelligence / Big Data (3.58 คะแนน) Cloud Computing (3.57 คะแนน) และ Social Media  (2.97 คะแนน) ตามลำดับ ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมไอที และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ พบว่าแผนกไอทีในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆจะให้ความสำคัญในเทคโนโลยีด้าน Business Intelligence / Big Data และ Social Media มากกว่าในกลุ่มอุตสาหกรรมไอที

emerging

รูปที่ 11)  ทัศนคติที่มีต่อความสำคัญของ Emerging Technology จากคะแนนเต็ม  5.00

ทั้งนี้เหตุผลหลักที่กลุ่มตัวอย่างต้องการพัฒนา Emerging Technology ต่างๆ ภายในองค์กรนั้น พบว่ามีสาเหตุเนื่องจากต้องการสร้างโอกาสทางธุรกิจ และต้องการก้าวให้ทันเทคโนโลยีอยู่เสมอ โดยมีผู้ตอบเป็นจำนวนเท่ากันคือ 78.65% ตามมาด้วยความต้องการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ (60.67%) และมีความพร้อมของบุคลากรอยู่แล้ว (28.09%) นอกจากนี้ ยังมีผู้ให้เหตุผลอื่นๆ อีกด้วย อาทิ ต้องการลดต้นทุนการบริหารงาน, ดำเนินการตามนโยบายภาครัฐ, ดำเนินการตามข้อกำหนดของลูกค้า เป็นต้น

reason

รูปที่ 12)  เหตุผลที่องค์กรต้องการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้าน Emerging Technology

ปัญหาสำคัญที่กลุ่มตัวอย่างแสดงความคิดเห็นเอาไว้เป็นจำนวนมากที่สุดอย่างโดดเด่นคือ การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะความสามารถเกี่ยวกับ Emergin Technology ซึ่งมีจำนวนผู้ตอบถึง 76.40% ตามมาด้วยปัญหาการขาดแคลนแหล่งความรู้ / การฝึกอบรม (49.44%) ขาดงบประมาณ (42.70%), เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถก้าวตามได้ทัน (31.46%) ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ (25.84%) ยังมองไม่เห็นโอกาสทางการตลาด (16.85%) ตามลำดับ ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างยังได้มีการระบุถึงปัญหาอื่นๆ อีกบ้าง อาทิ ผู้บริหารไม่เข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีจึงไม่ได้รับการสนับสนุน หรือลูกค้าไม่ได้ให้ความสนใจกับเทคโนโลยี เป็นต้น

problem

รูปที่ 13)  ปัญหาที่องค์กรพบในการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้าน Emerging Technology

ในด้านการจัดหาหรือพัฒนาบุคลากรด้าน Emerging Technology นั้น จากผลการสำรวจด้วยวิธีการวัดค่าจากมาตรวัดคะแนน 5 ระดับ (5-Point Rating Scale) พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าการพัฒนาบุคลากรไอทีที่มีอยู่เดิมในองค์กรให้มีทักษะความสามารถเพิ่มขึ้นนั้นเป็นวิธีการที่ดีที่สุด (3.31 คะแนน) ตามมาด้วยการจัดหาบุคลากรใหม่ด้วยตนเอง (3.22 คะแนน), การรับสมัครบุคลากรผ่านทางมหาวิทยาลัย (2.72 คะแนน) และการใช้บริการตัวแทนจัดหาบุคลากร (2.07 คะแนน) ตามลำดับ

resource

รูปที่ 14)  ทัศนคติที่มีต่อแหล่งการจัดหาและพัฒนาบุคลากรด้าน Emerging Technology จากคะแนนเต็ม  5.00

ในการสำรวจครั้งนี้ ยังได้เปิดโอกาสให้กลุ่มตัวอย่างสามารถแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากรด้าน Emerging Technology ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเสนอแนะไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ต้องการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และได้รับการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการอย่างเหมาะสม เนื่องจากในปัจจุบันนี้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Emerging Technology ของบุคลากรไทยยังมีความคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่เป็นจริงอยู่มาก ดังนั้น จึงควรจะมีการปูพื้นฐานอย่างจริงจังตั้งแต่การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย และภาครัฐควรจะเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความสนับสนุนผลักดันอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การกำหนดมาตรฐาน หรือการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อการค้นคว้าวิจัย เป็นต้น  นอกจากนี้ ยังควรจะมีการจัดตั้งกลุ่มหรือชุมชนเพื่อเป็นศูนย์รวมการแลกเปลี่ยน แบ่งปัน และพัฒนาองค์ความรู้ระหว่างบุคลากรไอทีของไทยในด้านเทคโนโลยีก่อกำเนิดโดยตรงอีกด้วย

Big Data และเทคโนโลยี Hadoop กับการพัฒนาองค์กรด้านการวิเคราะห์ข้อมูล

แนะนำ Big Data

Big Data เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่เริ่มมีการกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งถ้าเราดูจาก Google Trends ก็จะเห็นได้ว่าทั่วโลกก็เริ่มให้ความสนใจในการค้นคำว่า  Big Data ตีคู่มากับคำว่า  Cloud Computing  แล้ว ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะว่าข้อมูลในโลกของอินเตอร์เน็ตเรื่มมีเยอะขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลจาก Social Network ที่ผู้คนต่างเข้ามาอัพเดทข้อมูลตลอดเวลา นอกจากนี้ราคาของ Storage ก็ถูกลงทำให้คนเริ่มที่จะเก็บข้อมูลเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทาง EMC/IDC ได้ทำตาดการณ์ว่าในปี 2015 จะมีข้อมูลดิจิตอลรวมกันประมาณ 7,910 ExaBytes

Image

หลายๆคนยังเข้าใจว่า Big Data คือการที่มีข้อมูลดิจิตอลขนาดมหาศาล แต่จริงๆแล้วเรามักจะนิยามความหมายของ Big Data ด้วยคำย่อว่า 3V คือ Volume, Velocity และ Variety

  • Volume: คือมืจำนวนข้อมูลมากเกินกว่าระบบฐานข้อมูลแบบเดิมๆจะสามารถที่จะจัดการได้
  • Velocity: คือข้อมูลจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่นข้อมูลจาก Social Media ข้อมูลการซื้อขาย ข้อมูล Transaction การเงินหรือการใช้โทรศัพท์  หรือข้อมูลจาก Sensor
  • Variety: คือข้อมูลจะมีหลากหลายรูปแบบทั้ง Structure และ Unstructure ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปทั้ง RDBMS, text, XML, JSON หรือ Image

ดังนั้นการจัดการ Big Data จึงจำเป็นต้องใช้ระบบการเก็บข้อมูลหรือการประมวลในรูปแบบอื่นๆที่อาจไม่ใช้เพียงแค่ฐานข้อมูล RDBMS แบบเดิมๆ ซึ่งหากเราพิจารณา Ecosystems ของ  Big Data เราจะสามารถจะเห็นได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานไอทีหลายๆด้านดังรูป

Image

เทคโนโลยี Hadoop

ซอฟต์แวร์ที่สำคัญตัวหนึ่งที่มีการนำมาใช้กันมาในระบบ Big Data คือ Hadoop เพราะ Hadoop เป็น Open Source Technology ที่จะทำหน้าที่เป็น Distributed Storage ที่สามารถเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่เป็น Unstructure และนำมาประมวลผลได้ โดยองค์ประกอบหลักๆของ Hadoop จะประกอบด้วย Hadoop Dustributed File System (HDFS) ที่ทำหน้่าที่เป็น Storage และ MapReduce ที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมประมวลผล ทั้งนี้โครงสร้างด้าน Hardware ของ  Hadoop  จะใช้เครื่อง  Commodity Server  จำนวนมากต่อเป็น Cluster กัน

Image

ในปัจจุบันหลายๆองค์กรจะใช้ Hadoop Technology ในการพัฒนา Big Data อาทิเช่น Facebook, Yahoo และ Twitter โดยจะมีเครื่อง Server  9yh’c9j 5  -1,000  เครื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดข้อมูล นอกจากนี้ Technology Vendor ต่างๆอาทิเช่น Oracle, IBM, EMC หรือแม้แต่ Microsoft  ต่างก็นำ Hadoop  มาใช้ในเทคโนโลยีของตัวเองในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางด้าน Big Data

ทั้งนี้ Hadoop จะไม่ได้นำมาแทนที่ระบบฐานข้อมูลเดิมแต่เป็นการใช้งานร่วมกันทั้ง Database แบบเดิมที่เป็น  Structure Data และการนำ Unstructure Data ขององค์กรที่อาจเก็บไว้ในระบบอย่าง Hadoop เข้ามาพิจารณาร่วมกับข้อมูลอื่นๆภายนอกเช่น Facebook แล้วนำมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เครื่องมืออย่าง Business Intelligence ดังรูป

Image

ซึ่งจากการสำรวจของ Unisphere Research  เมื่อพฤษภาคม 2013 พบว่าอุตสาหกรรมที่มีความสนใจจะพัฒนาเรื่อง  Big Data เป็นอันดับต้นๆคือ อุตสาหกรรมค้าปลีก อุตสาหกรรมธนาคารและประกันภัย อุตสาหกรรมโทรคมนาคม ซึ่งใช้ในการวิเคราะห์ลูกค้าและข้อมูลการตลาด นอกจากนี้หลายหน่วยงานก็มีการนำข้อมูลด้าน Social Media มาทำการวิเคราะห์เพื่อหาข้อมูลต่างๆ

การพัฒนา Big Data ที่สำคัญประการหนึ่งก็คือการปรับปรุงโครงสร้างระบบไอทีขององค์กรด้านข้อมูล (Information Infrastucture) รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้เข้าใจถึงเทคโนโลยีด้าน Big Data ใหม่ๆอย่าง Hadoop หรือ in-Momery Database และต้องมีการวางแผนในการนำข้อมูลทั้ง Structure และ  Unstructure จากภายในและภายนอกองค์กรมาใช้งาน รวมถึงการที่จะต้องหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านข้อมูลที่เป็น Data Scientist  มาร่วมทำงาน

การพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Big Data ของสถาบัน IMC

IMC Institute ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี Big Data  โดยที่ผ่านมาได้เปิดหลักสูตรอบรมในหลายหลักสูตรจำนวนผู้เรียนรวมกันมากกว่า 100  โดยมีหลักสูตรที่น่าสนใจคือ

โดยในวันที่ 18 ตุลาคมนี้ ทางสถาบัน IMC จะเปิดหลักสูตร Big Data on Public Cloud Computing ซึ่งเป็นการสอนหลักการของ Big Data ที่สามารถใช้งานได้จริงกับ Public Cloud อย่าง Amazon Web Services ซึ่งผู้เรียนจะได้ศึกษาการพัฒนา Big Data  ทั้งส่วนที่เป็น  Map/Reduce, Hive, Pig และ HBase  รวมถึงการนำข้อมูลขนาดใหญ่เข้า Amazon S3

อนึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ทางสถาบัน IMC ได้จัดสัมมนาหัวข้อ  Business Intelligence in a Big Data World  ร่วมกับ Oracle และ PwC โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจหลายๆเรื่อง ซึ่งสามารถที่จะดู  Slide  งานสัมมนานี้ได้ดังนี้

 

ธนชาติ นุ่มมนท์

IMC Institute

ตุลาคม 2556

โอกาสของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยบนเวทีโลก

บ่อยครั้งที่ผมจะได้ยินว่าเราอยากจะพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศไทยให้เข้าสู่เวทีโลกเหมือนอย่างความสำเร็จของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในประเทศอย่างจีนหรืออืนเดีย แม้แต่ผมเองก็เคยคิดอย่างนั้นว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เป็นเรื่องของสติปัญญาและนวัตกรรมคนไทยน่าจะแข่งได้ และเคยผลักดันหลายๆโครงการที่อยากจะเห็นซอฟต์แวร์ไทยอยู่บนเวทีโลก เราลองมาดูข้อมูลกันหน่อยว่าวันนี้เรามีโอกาสแค่ไหนที่จะผลักดันให้ซอฟต์แวร์ไทยปักหมุดอยู่บนแผนที่ของซอฟต์แวร็โลกได้

Global 100 Software Leaders 2013

ข้อมูลที่น่าสนใจอันหนึ่งคือรายงานของ PwC เรื่อง Global 100 Software Leaders 2013  ที่ออกมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 (ดูรายงานฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://tinyurl.com/nhdx5hl  ซึ่งเป็นการจัดอันดับบริษัทซอฟต์แวร์ของโลกที่ทาง PwC ทำต่อเนื่องเป็นปีที่สอง จากข้อมูลเราจะเห็นว่าบริษัทซอฟต์แวร์ที่ใหญ่สุดคือ Microsoft  ซึ่งมีรายได้จากซอฟต์แวร์ในปี 2011 ถึง $57,668.40 ล้าน ตามด้วยบริษัท IBM, Oracle และ SAP ที่น่าสนใจคือบริษัทซอฟต์แวร์ที่ติด Top 100 ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทจากสหรัฐอเมริกาซึ่งมีรายได้จากซอฟต์แวร์ของบริษัทเหล่านี้รวมกันถึง  $190,816 ล้าน ส่วนประเทศอื่นๆที่ทำซอฟต์แวร์ก็จะมีอย่าง เยอรมัน ญี่ปุ่น สวีเดน อังกฤษ และมีบริษัทในประเทศกลุ่มที่เกิดใหม่ทางอุตสาหกรรมนี้ (Emerging Country) ที่ติดอันดับโลกอยู่บ้างบางบริษัทเช่น TOTVS ของบราซิล  Kaspersky Lab ของรัสเซีย และ Neusoft ของจีน ทั้งนี้ข้อมูลนี้ระบุถึงรายได้ที่เกิดจากการจำหน่ายซอฟต์แวร์ไม่ใช่รายได้รวมทั้งหมดจึ่งทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google มีรายได้ในปี 2011เพียง $575.62 ล้าน จากรายได้รวม $37,905.00 ล้าน

Image

รายงานของ  PwC ยังชี้ให้อีกว่าแนวโน้มของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์จะเปลี่ยนรูปแบบเป็น Cloud Service มากชึ้นโดยคาดการณ์ว่าในปี 2016 ธุรกิจซอฟต์แวร์ที่เป็นแบบ SaaS (Software as a Service) จะขยายตัวเป็นสัดส่วนถึง 25% ของมูลค่าตลาดซอฟต์แวร์ทั้งหมด ทั้งนี้ข้อมูลรายได้บริษัทซอฟต์แวร์ที่ติด 100 อันดับแรกของโลกในปี 2011 ยังมีสัดส่วนเพียง 4.9% โดยบริษัท Salesforce เป็นบริษัทที่มีรายได้จาก SaaS สูงสุดคือ $1,848 ล้าน และมีบริษัทที่มีรายได้ด้าน SaaS สูงสุด 10 อันดับแรกดังนี้

Image

คราวนี้หากเรามามองบริษัทซอฟต์แวร์ไทยก็จะเห็นได้ว่าไม่ติดอันดับ 1-100  ของบริษัทโลก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะบริษัทซอฟต์แวร์อย่างในประเทศอินเดียก็ไม่ติดอันดับ เราจึงต้องมาดูอันดับบริษัทซอฟต์แวร์ 100 บริษัทแรกในกลุ่มประเทศ Emerging Market ซึ่งรายงานของ PwC ระบุว่ารายชื่อในประเทศอื่นๆไว้หลายบริษัทที่มีมากสุดก็คือบริษัทจากประเทศจีน ส่วนในอินเดียก็จะเป็นรายชื่อของบริษัทที่ผลิตซอฟต์แวร์อย่าง Geodesic  หรือ  OnMobile ซึ่งจะไม่ใช่บริษัทอย่าง Infosys หรือ TCS ที่เน้นเรื่องของ IT Outsourcing Service สำหรับประเทศในเอเซียอื่นๆที่ติดอันดับก็จะมีบริษัทจากไต้หวัน เกาหลี และมาเลเซีย ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าไม่มีบริษัทในประเทศไทยติดอันดับ และหากดูรายได้รวมของบริษัทซอฟต์แวร์ Emerging Market 100 บริษัท เราก็จะพบว่าบริษัทจากประเทศจีนมีรายได้รวมสูงสุด ตามด้วยอิสราเอล รัสเซีย และบราซิล ซึ่งหากพิจารณาข้อมูลเหล่านี้ให้ดีก็คงจะเห็นว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยในด้านนี้ไม่ติด 25 อันดับแรกของโลก และก็คงยากที่จะแข่งแม้แต่ในกลุ่ม Emerging Market

Image

IT Outsourcing

นอกเหนือจากการทำอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่เป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์จำหน่ายแล้ว อีกด้านหนึ่งที่เราพยายามจะแข่งมาตลอดก็คือเรื่องของการพัฒนานักซอฟต์แวร์เพื่อสร้างอุตสาหกรรม  Outsourcing ซึ่งเราเห็นความสำเร็จของบริษัทในอินเดียอย่าง TCS, Infosys หรือ Wipro  ซึ่งรายงานเมื่อปี  2011 ของ AT Kearney เรื่อง “Global Services Location Index 2011” ก็ระบุว่าประเทศไทยมีความสนใจในการเป็นแหล่งในการทำ Outsourcing อันดับที่ 7 ของโลก (ทั้งนี้ประเทศเราหล่นจากที่เคยเป็นอันดับที่ 4 เมื่อปี 2009)   โดยมีตัวชี้วัดจากสามด้านคือ  ความน่าสนใจในการลงทุน  (Financial attractiveness)  ความสามารถและความพร้อมของคน (People skills and availabilty) และ สภาวะแวดล้อมเชิงธุรกิจ (Business Environment) ซึ่งในรายงานระบุว่าประเทศอินเดียมีความน่าสนใจเป็นอันดับ  1 ตามด้วยประเทศจีน และมาเลเซีย โดยมีประเทศอื่นๆใน ASEAN อย่างอินโดนีเซียอยู่อันดับ 5 เวียดนามอันดับ 8 และฟิลิปปินส์อันดับ 9 แต่เมื่อดูข้อมูลจากรายงานก็กลับพบว่า AT Kearney ระบุว่าแม้ว่าประเทศไทยจะมีความน่าสนใจสำหรับการมาทำ  Outsourcing แต่ก็ไม่มีอุตสาหกรรมทางด้านนี้เหมือนอย่างในฟิลิปปินส์หรือเวียดนาม

นอกจากนี้หากมาดูข้อมูลล่าสุดของ Tholons ได้ออกรายงานระบุเมืองที่ติด 100 อันดับในการทำ Outsourcing ทั่วโลกเมื่อปี 2013 (2013 Top 100 Outsourcing Destinations) โดยดูจากปริมาณการจ้างงาน ความน่าสนใจ และแนวโน้ม จะพบว่าแหล่งที่น่าสนใจจะอยู่ทางเอเซียใต้ โดยมีเมืองที่ติดอันดับ 1 ถึง 7 ล้วนแต่เป็นเมืองในประเทศอินเดีย โดยมีเมือง Bangalore เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย Mumbai  ส่วนกรุงมะนิลาเป็นเมืองเดียวนอกประเทศอินเดียที่ติด 1 ใน  7 คือมีคะแนนมาเป็นอันดับ  3 และหากมาพิจารณาเฉพาะประเทศในกลุ่ม ASEAN  จะเห็นว่าเมืองในประเทศฟิลิปปินส์ติดอันดับหลายเมืองมากเช่น Cebu เป็นอันดับ 8 นอกจากนี้เรายังเห็นว่าเมืองในประเทศเวียดนามก็เป็นแหล่งที่น่าสนใจในการทำ Outsourcing  โดย Ho Chi Minh ติดอันดับ 16 และ Hanoi  ติดอันดับ 23 ขณะที่กรุงเทพมหานครอยู่อันดับที่ 83 แต่เมืองอื่นๆใน ASEAN ก็มีอันดับที่สูงกว่าเราเช่น กรุงกัวลาลัมเปอร์อันดับที่ 19 สิงคโปร์อันดับที่ 31 กรุงจาการ์ต้าอันดับที่ 61 และเมีองต่างๆในเอเซียทั้งในประเทศจีน เกาหลี หรือไต้หวันก็มีอันดับสูงกว่า ซึ่งดูจากข้อมูลนี้ก็คงเห็นว่าเราคงลำบากที่จะแข่งในด้านของ Outsourcing Services

Image

ความพร้อมของบุคลากรด้านซอฟต์แวร์

สิ่งที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์คือเรื่องของการพัฒนาคน แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อเร็วๆนี้ทาง World Economic Forum ได้มีผลการศึกษาศักยภาพการศึกษาของประเทศต่่างๆทั่วโลก และมีผลที่ระบุว่าการศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศไทยอยู่อันดับแปดในประเทศกลุ่มอาเซียน ซึ่งก็เริ่มมีคำถามว่าแล้วในสาขา Computer Science และ Information Technology ประเทศไทยเราพอจะแข่งขันได้หรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั้วโลกในสาขา Computer Science ของ QS หรือของหน่วยงานอื่นๆ จะพบว่าไม่มีมหาวิทยาลัยใดในประเทศไทยที่ติดอันดับ  Top 200 ซึ่งแตกต่างกับประเทศอื่นๆในเอเซียทีมีมหาวิทยาลัยติดในอันดับ Top 200 เช่นประเทศ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง เกาหลี อินเดีย และไต้หวัน (ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://tinyurl.com/mct6os7)

ในแง่ของการสนับสนุนของรัฐบาลเราจะเห็นได้ว่าในด้านนโยบายในเรื่องการพัฒนาคนทางด้านนี้เรายังไม่ชัดเจนเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอาทิเช่น สิงคโปร์มีแผนจะเพิ่มงานด้าน Infocomm อีก  80,000 ตำแหน่ง ฟิลิปปินส์มีแผนเพิ่มจำนวนงานของ IT/BPO ให้เป็น 900,000  ตำแหน่งในปี 2016 เวียดนามต้องการเพิ่มจำนวนแรงงานทางด้านอุตสาหกรรมไอซีทีให้เป็น  1 ล้านคนในปี 2020

นอกจากนี้เมื่อเร็วๆนี้ทาง IMC Institute ก็ได้เปิดเผยผลสำรวจ ในหัวข้อ “Emerging Technology: Thai IT Professional Readiness Survey” เพื่อศึกษาถึงภาพรวมและความพร้อมของประเทศไทยเกี่ยวกับการใช้งานทางด้านซอฟต์แวร์ และการพัฒนา Emerging Technology ซึ่งก็พบว่า เรามีปัญหาสำคัญคือขาดบุคลากรที่มีความเข้าใจทางด้านนี้เพียงพอ นอกจากนี้ยังพบว่าใน ไทยยังมีจำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในด้่าน  Emerging Technology ในแต่ละองค์กรน้อยโดยเฉพาะทางด้าน Cloud Technology  โดยบางเทคโนโลยีมีนักพัฒนาน้อยกว่า 10 คนในหนึ่งองค์กร (ดูรายงานได้ที่ http://tinyurl.com/kby5s2l)

บทสรุปความพร้อมของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยบนเวทีโลก

จากข้อมูลทั้งในด้านอันดับและรายได้ของบริษัทซอฟต์แวร์ ความพร้อมด้านการเป็นแหล่ง Outsourcing และการพัฒนาคน เราคงต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยคงแข่งในเวทีโลกค่อนข้างยากหรือแม้แต่แข่งกับประเทศในกลุ่ม Emerging Market  อย่างไต้หวัน รัสเซีย จีน หรือ ประเทศกลุ่มยุโรปตะวันออก หากเรามองศักยภาพของเราเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนก็คงจะแข่งลำบากเพราะเราต้องยอมรับว่าสิงคโปร์นำหน้าเราไปมาก เช่นเดียวกับมาเลเซีย ขณะที่ทางเวียดนามและฟิลิปปินส์ก็เด่นกว่าเรามากในแง่ของ Outsourcing

โอกาสของเราในวันนี้คงต้องพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศให้ดีที่สุด สร้างให้เกิดความต้องการการใช้ซอฟต์แวร์และไอซีทีมากขึ้น ซึ่งหากมีกระตุ้นการใช้ในประเทศส่วนหนึ่งก็จะเพียงพอกับบริษัทซอฟต์แวร์ต่างๆในประเทศ ส่วนโอกาสในการแข่งขันบนเวทีโลกเราอาจมีโอกาสสำหรับกลุ่ม  Start-up  หรือบางบริษัทที่มีนวัตกรรมดีๆที่สามารถจะเปิดตลาดไปต่างประเทศได้

ผมคิดว่าถ้าเราทำเรื่องอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์อย่างจริงๆจังเมื่อสิบกว่าปีก่อน และตอนนั้นถ้ารัฐบาลทุ่มเงินเป็นหมื่นล้านเราก็อาจแข่งขันบนเวทีโลกได้ในวันนี้ แต่พอมาถึงวันนี้ผมคิดว่าเราสายเกินไปแล้วครับที่จะเข้ามาแข่งในเวทีนี้ เพราะคู่แข่งเราเมื่อสิบกว่าปีก่อนนำหน้าเราไปไกล และบางประเทศเกิดใหม่ในอุตสาหกรรมนี้ที่เคยตามเราก็แซงเราไปแล้ว เราทุ่มงบประมาณและพัฒนาคนไม่เพียงพอ แต่อุตสาหกรรมนี้ก็ยังเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เราอาจเน้นช่วยพัฒนาผู้ประกอบรายใหม่บางรายให้ออกไปต่างประเทศ แต่ภาพโดยรวมเราคงไม่สามารถจะแข่งได้ยกเว้นเพียงบางรายที่มีความโดดเด่นและสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและนำรายได้กลับเข้ามา และข้อสำคัญในวันนี้เราต้องมาช่วยสร้างตลาดในประเทศให้กับผู้ประกอบการไทยมากกว่าจะไปตั้งเป้าว่าเป็นประเทศอันดับต้นของโลกทางอุตสาหกรรมนี้

แม้เราอาจรู้สึกว่าบริษัทหรือนักพัฒนาซอฟต์แวร์บางคนเราเก่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เหมือนที่เรามีเด็กไทยเราชนะเลิศวิทยาศาสตร์/คณิตศาสตร์โอลิมปิคแต่ภาพรวมการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์/คณิตศาสตร์ของเราก็ค่อนข้างแย่ เช่นเดียวกับเราก็อาจมีบริษัทซอฟต์แวร์หรือนักพัฒนาบางคนที่ขนะเลิศและแข่งบนเวทีโลกได้ เราก็ควรที่จะสนับสนุนบริษัทหรือนักพัฒนาเหล่านั้นให้ก้าวต่อไป แต่ภาพรวมของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เราคงไม่ใช่ครับ เราต้องดูที่ข้อมูลที่ตัวเลขซึ่งระบุชัดว่าเราไม่ใช่และต้องไม่ใช้ความรู้สึกมาวัดในการพัฒนาประเทศครับ

การกำหนดข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA) ของ Cloud Computing

Cloud Computing เริ่มเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้มากขึ้น แต่ผู้ใช้ก็ยังมีความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล มาตรฐาน และความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ Cloud ซึ่งโดยมากก็จะมีข้อแนะนำว่าขึ้นอยู่กับข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA: Service Level Agreement) ที่จะต้องนำมาพิจารณา แต่เราก็มักจะมีคำถามว่าแล้วจะเขียน SLA ของ  Cloud Computing อย่างไร

วันนี้เลยจะขอแนะนำการกำหนด SLA โดยใช้ Cloud Assessment Tool (CAT) ของ  Asia Cloud Computing Association ซึ่งสามารถเข้าไปดูได้ที่ https://accacat.herokuapp.com/ โดย Assessment Tool จะเป็นการกำหนดข้อกำหนดในมาตรฐานของ  Cloud Computing ให้ผู้ที่ต้องการใช้ Cloud หรือผู้ให้บริการ Cloud เลือกของกำหนดในแปดกลุ่มคือ

Image

  • Security  ที่จะพิจารณาด้าน สิทธิส่วนบุคคล ความปลอดภัยของข้อมูล และกฎระเบียบ
  • Life Cycle ที่จะพิจารณาด้านการให้บริการกับลูกค้่าในระยะยาวที่มีผลกระทบกับธุรกิจ
  • Performance ที่จะพิจารณาด้านลักษณะการทำงานของ application softwareที่ติดตั้ง
  • Access ที่จะพิจารณาด้านระบบการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้และผู้ให้บริการ Cloud
  • DC  Basic ที่จะพิจารณาด้านโครงสร้างของระบบ
  • Certification ที่จะพิจารณาด้านมาตรฐานการประกันคุณภาพาำหรับลูกค้า
  • Support ที่จะพิจารณาด้านการติดตั้ง  Application และการบำรุงรักษา
  • Interoperability ที่จะพิจารณาด้านการเชื่อมต่อระหว่าง Cloud hypervisor กับ applications

โดยในแต่ละกลุ่มจะมีหัวข้อย่อยๆเพื่อให้เราสามารถเลือกระดับ (Level) ต่างๆในการกำหนดการให้บริการได้ โดยจะมี 4 Level แต่ในบางกรณีก็อาจไม่มีให้เลือกเลย

เพื่อให้ภาพการเขียนข้อกำหนด SLA ผมจะอธิบายการใช้งาน CAT โดยจะเข้าไปที่เว็บไซต์ดังกล่าว และจะสาธิตในฐานะ Prospective Cloud User

Image

โดยผมจะกำหนดชื่อเป็น CRM Service และจะตั้งข้อกำหนดในกลุ่ม  Security, Life Cycle, Performance, Access, Certification  และ Support ดังรูป

Image

เมื่อผมกด  Next Step เมนูจะแสดงข้อกำหนดย่อยในกลุ่ม Security ให้ผมเลือก ซึ่งในที่นี้ผมไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกทุกข้อ โดยพิจารณาเลือกเฉพาะข้อกำหนดที่ผมต้องการ ซึ่งในที่นี้ผมเลือกข้อกำหนดด้าน Authenthication, User Account Logging, Protection, Data Removal และ Location Awareness ดังรูป

Image

โดยเราจะเห็นข้อความที่เป็นข้อกำหนดที่ทาง CAT แสดงมาให้ด้านล่างดังรูป

Image

ซึ่งเมื่อกด  Next Step ระบบก็จะให้เรากำหนดมาตรฐานในกลุ่ม Life Cycle ซึ่งผมเลือกข้อกำหนดต่างๆดังรูป

Image

จากนั้นก็จะเป็นข้อกำหนดในกลุ่ม Performance  ซึ่งผมเลือกข้อกำหนดต่างๆดังรูป

Image

จากนั้นก็จะเป็นข้อกำหนดในกลุ่ม Access  ซึ่งผมเลือกข้อกำหนดต่างๆดังรูป

Image

จากนั้นก็จะเป็นข้อกำหนดในกลุ่ม Certification  ซึ่งผมเลือกข้อกำหนดต่างๆดังรูป

Image

จากนั้นก็จะเป็นข้อกำหนดในกลุ่ม Support  ซึ่งผมเลือกข้อกำหนดต่างๆดังรูป

Image

ซึ่งเมื่อเราเลือกข้อกำหนดตามที่ต้องการแล้ว CAT ก็จะสรุปแล้วให้เราเลือกที่จะดูหรือส่งของกำหนดมายัง e-mail ของเราดังรูป

Image

ซึ่งเราก็จะได้ต้นแบบของ SLA เพื่อนำมาใช้เป็นข้อกำหนดที่สมบูรณ์ต่อไป ตัวอย่างของข้อกำหนดที่เหลือมาในกรณีนี้ก็จะเป็นดังนี้

Security: Privacy, information security, regulatory

Authentication: Level 1: Standard methods to authenticate the portal as well as the API access by a user.

User Account Logging: Added capability of logging management activities on requested resources and other actions.

Protection: Assurance that software, computing results, data and etc., cannot be accessed or infringed upon by other users. This includes inter-virtual machine attack prevention, storage block level isolation and hypervisor compromise protection.

Data Removal: In case a user requests his software or data to be deleted, all data/software stored in the cloud must be entirely and irretrievably removed. This requires that the appropriate techniques be employed to locate the data and all its backups, encrypted or otherwise, and to completely erase all of them into an unrecoverable state.

Location Awareness: The user receives an indication of where his data is being stored and processed. User can specify where software and data have to be stored, run and processed. Provisions are in place to ensure all data and backups are stored only in these locations agreed by contract or the service level agreement.

Life Cycle: Long-term support impacting customer business processes 

Dev. Roadmap: Ensure that the service provider has a planned way forward (process) to evolve available features and introduce new capabilities. For L2 to L4 a well-defined approach comparable to “Capability Maturity Model” is needed, e.g. L2 is CMM L2, L3 is CMM L3 and L4 is CMM L4.

Service Management: In general terms cloud services are IT services remotely offered to the customer. There are well defined and well structured methods available to determine how services are expected to be managed in an enterprise environment. One should expect the same structured approach to IT service offerings from a service provider as would be expected from an in-house IT organization. Cost, effort and rigidness increase with the ITIL level and present a natural way for mapping it into the CAT framework levels.

Reporting: L2: In addition to L1 requirements an on- line information dashboard should be made available to the user, showing the list of essential Cloud services currently being deployed and utilized. It may include real-time update of information on status of VMs, Storage usage, Storage Buckets, Data transfer and others.

Portal: “Self Service” is the cloud Web portal feature that enables customers to perform most of the essential services themselves. This includes provisioning resource, managing resources such as controlling VM status (reboot, shutdown, restart, etc.), viewing various subscribed services, downloading essential support documents (e.g. user guides and FAQ list, etc.).

Billing: L3: Service provider keeps a history of the customer’s use of chargeable resources and services.

Performance: Runtime behavior of deployed application software

Availability %: Refers to the length of time the service is offering without interruption (outside defined maintenance windows). L1: 99.95% represents standard IT hardware and software runtime uptime.

Elasticity: Addresses the how fast a deployed application can increase its performance response with increasing service requests.

Redundancy: Redundancy architectures frequently rely on a well-defined set of software components to preserve states and transactions.

Access: Connectivity between the end user and cloud service provider

Access: This parameter measures the type of access. L1: Access through public Internet.

Availability: Indicates the “guaranteed” level of uptime of the network access.

Scalability: Capability to increase and decrease user’s access bandwidth based on actual capacity demand.

Certification: Degree of quality assurance to the customer

ISO 9000: A series of standards, developed and published by the International Organization for Standardization that define, establish, and maintain an effective quality assurance system for manufacturing and service industries.

ISO 27001/2: The objective of this pair of standards is to “provide a model for establishing, implementing, operating, monitoring, reviewing, maintaining, and improving an Information Security Management System”.

Vendor Cert.: Validates the integrity of commercial software products. It indicates the competence and ability of the provider to operate or offer any third party SW.

Support: Deployment and maintenance of applications

Customer Support: Methods and capabilities available for how a user can interact with the service provider.

Service Responsiveness: Time it takes for the service provider to respond to calls or customer inquiries.

Incident Response Time (Pri1): Maximum time it takes for service provider to react and act on Priority 1 incidents (an event where a service/application is not working or accessible). L1: 30 minutes

Technology Trends 2014

ไม่ได้เขียนบล็อกมาหลายสัปดาห์ พอดีสัปดาห์นี้มาบรรยายงาน Thailand ICT Awards (TICTA) 2013 ในหัวข้อ Technology Trends 2014  จริงๆผู้จัดตอนแรกบอกว่า Trends 2013 ก็เลยบอกว่าจะสิ้นปีแล้วขอเป็น  2014 แล้วจะรวบรวมข้อมูลมาให้ ซึ่งโดยปกติสิ้นปีนักวิจัยค่ายต่างๆ และนักวิเคราะห์ก็จะต้องคาดการณ์กระแสในปีหน้าอยู่แล้ว แต่สำหรับในประเทศไทยโดยมากเราก็มักจะเอา  Trends ของค่ายวิจัยอย่าง Gartner หรือ IDC มาพิจารณา ซึ่งถ้าพิจารณากันจริงๆแล้วบริบทหลายๆด้านอาจแตกต่างกัน ดังนั้นในการบรรยายของผมจึงพยายามเอาข้อมูลในประเทศไทยมาเป็นการวัดกระแสไอทีปีหน้า โดยมี Slide ตังนี้

และสามารถสรุปได้ 10 เรื่องดังนี้

1) Smartphone/Tablet Explosion:Post-PC Era

กระแสการใช้ Smartphone และ Tablet บ้านเราก็ยังแรงต่อเนื่อง และการใช้ไอทีในบ้านเราก็เข้าสู่ยุคหลังพีซีอย่างแท้จริงจากเดิมที่ผู้ใช้ไอทีจะใช้เครื่องพีซีที่มีระบบปฎิบัติการ  Windows เป็นหลัก แต่วันนี้ผู้ใช้ไอทีจะมีอุปกรณ์และระบบปฎิบัติการที่หลากหลายและ  Windows เป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือก

ข้อมูลล่าสุดจากกสทช.จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เครื่องที่ในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 89.98 ล้านเลขหมาย ซึ่งคิดเป็น 131.84% ของประชากร และในจำนวนนี้คาดว่า 31% ของประชากรไทยมีการใช้งาน Smartphone [ข้อมูลจาก  Our Mobile Planet] และถ้าบริษัทวิจัย GfK ก็ระบุว่าใน 4 เดือนของปี 2013  มีเครื่อง Smartphone จำหน่ายไปแล้วกว่า 2.87 ล้านเครื่อง โดยคาดการณ์ยอดจำหน่ายทั้งปีประมาณ 7.5 ล้านเครื่องจากเครื่องโทรศัพท์มือถือ 16  ล้านเครื่อง

ในด้านของอุปกรณ์เราจะเห็นว่าข้อมูลจากการสำรวจของสวทช.ระบุว่าปีที่แล้วเรามียอดจำหน่ายเครื่องเดสต์ท็อปพีซี 1.26  ล้านเครื่อง Notebook 2.1 ล้านเครื่อง และ Tablet 1.3 ล้านเครื่อง ซึ่งในปีนี้ทาง IDC คาดการณ์ว่ายอดจำหน่าย Tablet จะพุ่งขึ้นสูงถึง 3.5  ล้านเครื่องทั้งนี้จากนโยบาย OTPC  ของรัฐบาล และจะมียอดของ Notebook 2.5 ล้านเครื่อง และ เดสต์ท็อปพีซี 1.5  ล้านเครื่อง

ข้อมูลจาก Gartner เมื่อเดือนเมษายน 2013 ก็ระบุให้เห็นเช่นกันว่ายอดจำหน่ายเครื่องพีซีทั้งเดสต์ท็อปและ Notebook ทั่วโลก จะมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่องคือประมาณการณ์ว่าจาก 315  ล้านเครื่องต่อปีในปี 2013  เหลือเพียง 271  ล้านเครื่องต่อปีในปี 2017 ในขณะที่ยอดจำหน่าย Tablet ทั่วโลกจะแซงหน้ายอดของเครื่องพีซีโดยจะมีจำนวน  467  ล้านเครื่องต่อปีในปี 2017

สำหรับสัดส่วนการตลาดของเครื่อง Smartphone  และ Tablet  ทาง IDC ได้เปิดเผยข้อมูลยอดจำหน่ายในไตรมาสสองปีนี้ให้เห็นว่าเครื่องที่ใช้ระบบปฎิบัติการ  Android มีสัดส่วนที่แซงหน้ารับบปฎิบัติการ iOS ของ Apple  ไปอย่างมากโดยมีสัดส่วนการตลาด Smartphone ถึง  79% เมื่อเทียบกับ   iOS  ที่ลดลงเหลือเพียง  13% และก็มีสัดส่วนการตลาดของ  Tablet  62.6% เมื่อเทียบกับ   iPad  ที่ลดลงเหลือเพียง  32.5% ทั้งๆที่ในไตรมาสสองปีที่แล้ว iPad มีสัดส่วนการตลาดนำ  Android ถึง 60% ต่อ 38%  ซึ่งแนวโน้มนี้ก็สอดคล้องกับตลาดในประเทศไทยที่ทาง GfK ระบุว่า ตลาด Smartphone ในประเทศไทยเป็นระบบ  Android  70% เมื่อเทียบกับ iOS ที่ 20%

2)  Cloud Computing: From Personal Cloud to SaaS

กระแสไอทีที่น่าจะมาแรงในปีหน้าอีกเรื่องก็คือ Software as a Service (SaaS)  ทั้งนี้เนื่องจากผู้ใช้ไอทีในบ้านเราที่เริ่มคุ้นเคยกับการใช้ Cloud  โดยเฉพาะ  Personal Cloud  ที่เป็นการใช้  Storage as a Service  อาทิเช่น  Dropbox, iCloud  หรือ Google Drive ประกอบกับบริษัทซอฟต์แวร์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเริ่มให้บริการ  SaaS ในประเทศไทยมากขึ้น และเริ่มมีการทำตลาดในประเทศไทย อาทิเช่น   Creative Cloud  ของ Adobe ที่เลิกทำ Packaged Software แล้วมาทำตลาด SaaS อย่างเดียว ก็ทำราคาในประเทศไทยแบบรายเดือนที่เริ่มต้นตั้งแต่ 600 บาท หรือทาง ไมโครซอฟต์เองก็ประกาศจำหน่ายโปรแกรม Office 365 ที่เป็น Home Edition ในราคา 2,290 บาทต่อปีที่มาพร้อมกับพื้นที่บน SkyDrive และการใช้โทร Skype

นอกจากนี้ข้อมูลจากรายงานของ PwC  เมื่อเดือนพฤษภาคม 2013  ก็แสดงให้เห็นว่าตลาดซอฟต์แวร์ SaaS  ซึ่งในปี 2011 มีมูลค่าตลาดรวมเพียง 7 พันล้านเหรียญสหรัฐและคิดเป็นสัดส่วนเพียง 7  % ของมูลค่าการตลาดซอฟต์แวร์ทั้งโลก จะโตขึ้นเป็น 24% ในปี 2016    ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เห็นว่ากระแสของ SaaS  จะโตขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและกลุ่ม SME

สุดท้ายผมได้ไปดูข้อมูลจาก  Google Trends ที่เปรียบเทียบการค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่จะเห็นได้ว่าแม้กลุ่มของ Storage as a Service  เช่น  Dropbox จะเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในบ้านเรา แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาคำว่า  Office 365 หรือ  Google Apps ก็เริ่มเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น

trends

3)  Online Consumerization: Social Networks / 3G /Broadband

การเปิดให้บริการ  3G   อย่างเต็มรูปแบบของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยจะทำให้คนไทยใช้บริการออนไลน์มากขึ้น ได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งจากข้อมูลของ TrueHits  แสดงให้เห็นว่าในป้จจุบันเรามีประชากรอินเตอร์เน็ตในประเทศจำนวน 23.86 ล้านคนหรือคิดเป็นอัตราส่วน 35.8% และเรายังมีการเชื่อมต่อ   Broadband  ตามบ้านถึง 4.55  ล้านหลัง หรือคิดเป็น 22.7%  ของจำนวนที่อยู่อาศัย นอกจากนี้คนไทยยังใช้งาน Social Networks ค่อนข้างสูง โดยได้เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารแบบเดิมมาสู่สังคมออนไลน์มากขึ้น โดยข้อมูลจาก ZocialRank ระบุว่าเรามีจำนวนผู้ใช้ Facebook 18.5 ล้านคน Line  18 ล้านคน และ Twitter 2 ล้านคน นอกจากนี้เรายังมีวิดีโอบน  YouTube  ในประเทศถึง 5.3 ล้านคลิป

คนไทยกำลังเข้าสู่ยุคที่มีสี่หน้าจอต่อหนึ่งผู้ใช้ ที่เราอาจใช้อุปกรณ์อย่างมือถือ คอมพิวเตอร์ ทีวี หรือแทปแล็ตที่ทำงานคล้ายๆกัน และ  sync   ข้อมูลต่างๆเข้าหากัน โดยเราอาจดูทีวีหรือหนังผ่านมือถือหรือแทปเล็ต และก็เป็นไปได้ที่เราอาจเล่นอินเตอร์เน็ตทางจอทีวี ข้อมูลจาก We arre social  ระบุว่าคนไทยโดยเฉลี่ยใช้เวลา 16.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการเล่นอินเตอร์เน็ตขณะที่เราใช้เวลาในการดูทีวีโดยเฉลี่ยเพียง 10.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นอกจากนี้จากการสำรวจของ Nielsen Thailand ระบุว่า คนไทยเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์มือถือถึง 49% ขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์เพียง36%

4) Mobile Applications: Cross Platform with HTML5

เนื่องจากการใช้งานของผู้ใช้ไอทีเปลี่ยนไปสู่อุปกรณ์อย่างSmartphone หรือ  Tablet มากขึ้น การทำ Application จึงต้องเน้นกลุ่มผู้ใช้เหล่านี้มากขึ้น และจะต้องทำ  Mobile Application  หลากหลาย Platform ทั้ง  Android, iOS และ Windows ซึ่งภาษาการพัฒนาโปรแกรมโดยใช้ HTML5 จะช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถพัฒนาโปรแกรมเพียงครั้งเดียวแต่ใช้ได้ทุกแพลตฟอร์ม แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาโปรแกรมแบบ  Native App  จะสามารถใช้ฟังก์ชั่นต่างของอุปกรณ์ได้ดีกว่าเช่น การบอกตำแหน่ง ทำให้ผู้พัฒนาก็ยังจะให้ความสำคัญอยู่

ในปีหน้าคาดว่าหน่วยงานต่างๆในบ้านเราจะมีการพัฒนา  Mobile Application มากขึ้น และข้อมูลจาก Distimo เริ่มแสดงให้เห็นว่าตลาด Google Play  ประเทศไทยเริ่มโตขึ้นทั้งในด้านรายได้และจำนวนการดาวน์โหลด ซึ่งทาง Our Mobile Planet ระบุว่าโดยเฉลี่ยคนไทยจะมี Application อยู่ใน smartphone ประมาณ  21 App แต่ใช้ประจำเพียง 8 App และมีเพียง 4  App ที่จ่ายเงิน

Screen Shot 2556-09-06 at 1.28.50 PM

 5) Bring Your Own Devices: Flexible Office/Workers

กระแสการใช้อุปกรณ์ smartphone และ Tablet  แทนที่การใช้เครื่องพีซี ประกอบกับการใช้ 3G และ  Broadband ทีมีอย่างกว้างขวางขึ้นทำให้วิถีการทำงานของคนเปลี่ยนไป พนักงานในองค์กรก็ต้องการที่จะใช้อุปกรณ์ที่สามารถทำงานได้ทั้งงานขององค์กรและเรื่องส่วนตัว ทำให้องค์กรต่างๆเริ่มอนุญาตให้พนักงานนำอุปกรณ์ส่วนตัวเข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้น

กระแส   BYOD กำลังเข้ามาในบ้านเรา ซึ่งจากการสำรวจของ VMware  พบว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทที่ทำการสำรวจอนุญาตให้พนักงานนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ในที่ทำงานได้ ดังนั้นองค์กรต่างๆต้องเริ่มปรับนโยบายในเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลขององค์กร สิ่งที่องค์กรต่างๆจะลงทุนมากขึ่นในปีหน้าทางด้านนี้ก็คือเรื่องการวางนโยบายตลอดจนการหาเครื่องมือด้านความปลอดภัยเพือรองรับ BYOD มาใช้ในองค์กร

6) IaaS: Migrate Servers to Cloud

การใช้ Cloud Service  ที่เป็น Infrastructure as a Service (IaaS) ในประเทศจะเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ผู้ให้บริการ Data Center หรือแม้แต่ Telecom Operator ในประเทศจะให้บริการ IaaS มากขึ้น โดยผู้ใช้บริการส่วนหนึ่งจะมาจากกลุ่ม SME ในฝั่งของภาครัฐบาลก็จะเห็นการให้บริการ  G-Cloud  ที่ดีขึ้น การใช้  Cloud ก็จะแพร่หลายมากขึ้น องค์กรต่างๆก็จะสนใจใช้ Cloud ทั้งๆที่มาจากในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการใช้เป็น DR site

นอกจากนี้องค์กรใหญ่ๆก็จะเริ่มมีการติดตั้ง  Private Cloud มากขึ้น ซึ่งจากการสำรวจของ VMWare เมื่อปัี 2012 พบว่าองค์กรต่างๆในประเทศไทยถึง 83% มีการติดตั้งหรือมีแผนที่จะทำ  Private Cloud  และจากการสำรวจข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการว่าตลาด  Cloud Computing ของประเทศไทยในปี  2013 จะโต 16.7%-22.1% คือมีมูลค่าระหว่าง 2,220  – 2,330 ล้านบาท

7) Internet of things: Connected Anywhere, Anytime and Anydevices

นอกเหนือจาก  Mobile Technology  กระแสอีกอย่างหนึ่งที่น่าจะมาแรงคือ อุปกรณ์ต่างๆที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ทั้ง Smart TV หรือ Wearable Technology ซึ่งในปัจจุบัน 50% ของอุปกรณ์ที่ต่ออินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งของต่างๆ โดยในปี2010 เรามีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในโลก 5 พันล้านชึิ้นและมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น  50,000 ล้านชิ้นในปี 2020

อุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอาจเป็นการเชื่อมต่อผ่าน NFC, Bluetooth, 3G หรือ WiFi  โดยอุปกรณ์ตัวหนึ่งที่กำลังกล่าวถึงอย่างมากคือ Google Glass ที่คาดว่าจะวางตลาดในปีหน้า และยังมีอุปกรณ์อย่าง Jawbone UP หรือนาฬิกาที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าตลาดของ  Internet of Things และ Machine to Manchine (M2M) จะโตขึ้นเป็น 290 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2017

8) M-Commerce: From e-Commerce to mobile payment

คนไทยเริ่มยอมรับการซื้อของผ่านอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติประมาณตลาด  e-commerce ในบ้านเราไว้ที่ 340,903 ล้านบาทในปี 2011 ซึ่งน่าจะรวมถึงตลาดการซื้อขายออนไลน์ของภาครัฐด้วย ขณะที่ Paypal ประมาณการว่าตลาด e-coomerce ในประเทศไทยจะโตสูงขึ้นถึง 15 พันล้านบาท ในปี 2013

นอกจากนี้ก็มีผลสำรวจของทาง  Mastercard ที่สำรวจพฤติกรรมการซื้อของทาง e-commerce ของคนไทย พบว่า 67% ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามเคยซื้อของทาง e-commerce และ 37% เคยใช้  M-Commerce ซึ่งถือว่าเป็นประเทศหนึ่งในเอเซียที่มีการซื้อของทาง smartphone ค่อนข้างสูง ซึ่งก็สอดคล้องกับผลสำรวจของ OurMobilePlanet  ที่คนไทยเคยซื้อของผ่าน smartphone สูงถึง 51% มากกว่าประเทศอื่นๆอย่าง สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ หรือไต้หวัน

Screen Shot 2556-09-06 at 1.33.06 PM

ข้อมูลทางด้านการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยยังแสดงให้เห็นว่าเมื่อเดือนเมษายนปีนี้ ประเทศไทยมีบัญชี Internet Banking ถึง 7 ล้านบัญชี และมีบัญชี  Mobile Banking  969,977 บัญชี ซึ่งจากข้อมูลต่างๆ สนับสนุนให้เห็นว่าตลาด M-commerce ในปีหน้าในประเทศไทยน่าจะโตขึ้นอย่างมาก

9) Big Data: BI in a Big Data World

การโตขึ้นของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต และการใช้อุปกรณืเชื่อมต่อต่างๆ ทำให้ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ทั้งในรูปของข้อมูลแบบ  structure และ unstructure รวมถึงมีข้อมูลจากแหล่งต่างๆทั้งที่อยู่ใน social networks และข้อมูลบริษัท ทำให้องค์กรต่างๆอยากใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้มากขึ้น

กระแสของการหาเครื่องมือใหม่เพื่อมาวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จึงมีมากขึ้น อาทิเช่นการใช้เทคโนโลยีอย่าง Hadoop ทำให้องค์กรต่างๆจะต้องลงทุนในการพัฒนาบุคลากรและพัฒนาเทคโนโลยีมากขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดด้าน   Big Data จะโตเป็น 16.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจะมีความต้องการบุคลากรด้านนี้ถึง  4.4 ล้านตำแหน่งในปี 2015

10)Augmented Reality:Changing our daily life

เทคโนโลยีเสมือนจริง ( AR: Augmented Reality) เริ่มเป็นทีแพร่หลายมากขึ้น ในบ้านเรา มีการนำมาใช้ในด้านการศึกษาและการตลาด เราน่าจะเห็นตลาดทางด้่านนี้โตขึ้นมาก โดยทาง Research and Market คาดการณ์ว่าตลาดด้านนี้ทั่วโลกจะโตขึ้นถึง 5.155 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2016 และในปัจจุบันเราก็เริ่มเห็นบริษัทไทยหลายๆบริษัทมาทำงานทางด้านนี้มากขึ้น

ธนชาติ นุ่มนนท์

5 กันยายน 2013

8 ทักษะที่สำคัญของคนไอทีในการทำงานในอนาคต

บ่ายวันจันทร์นี้ทางสถาบัน IMC จะจัดงานสัมมนาในหัวข้อเรื่อง “Technology Trends / AEC 2015 Shaping the IT workforce” โดยได้เชิญวิทยากรมาบรรยายเพื่อชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะมีผลกระทบต่อคนทำงานด้านไอทีอย่างไร ซึ่งทางผมจะมาบรรยายให้เห็นภาพของทางด้านเทคโนโลยีและ AEC นอกจากนี้ได้เชิญดร.จีรพันธ์ แดงเดช คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ABAC มาบรรยายเรื่อง ASEAN IT professional skills & Shaping software engineering skills และสุดท้ายเชิญ คุณวีรชัย โมกขเวศ และ คุณกรรณิการ์ เศรษฐี ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาองค์กรและบุคลากร มาบรรยายในเรื่อง  Softskills for IT Professionals

ในหัวข้อของผมจะกล่าวบรรยายให้เห็นภาพตลาดไอทีของอาเซียนและให้เห็นผลกระทบเมื่อมีการเปิด AEC 2015 และจะเน้นให้เห็นถึงเทคโนโลยีสำคัญ 4 อย่างที่จะเป็น IT Mega Trends คือ Cloud Computing, Mobile Technology, Social Technology และ Information (Big Data) ว่าจะมีผลต่อการทำงานเราอย่างไร  โดยมี Slide การบรรยายดังนี้

ประเด็นสำคัญในการบรรยายก็คือจะกล่าวถึง 8 ทักษะที่จำเป็นของคนไอทีในอนาคต ที่ผมนำมาจาก Forbe โดยมีทักษะต่างๆดังนี้

  • Cloud Computing Technical Skills

การเข้ามาของ Cloud Computing  ทำให้วิธีการดูแล Data Center การพัฒนาโปรแกรม และการใช้ซอฟต์แวร์เปลี่ยนไป ทักษะที่มีความจำเป็นคือการติดตั้งและ Cloud Computing การทำ Virtualization ในแง่ของนักพัฒนาโปรแกรมจำเป็นต้องเรียนรู้การพัฒนาโปรแกรมขึ้น Public Cloud อย่างเช่น Microsoft Azure, Google App Engine, Amazon หรือ  Heroku นอกจากนี้คนไอทีควรจะต้องรู้เครื่องมือที่ Open Source ต่างๆในการพัฒนา Cloud Computing

  • Mobile app development and management

สมาร์ทโฟนและแทปเล็ตกลายเป็นอุปกรณ์หลักที่คนจะใช้เล่นอินเตอร์เน็ตแทนที่โน็ตบุ๊คและพีซี หน่วยงานต่างๆจึงจำเป็นจะต้องพัฒนา Mobile Application  มากขึ้นและมีความต้องการนักพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านโมบายแทบทุก Platform ทั้ง iOS, Android  และ Windows นอกจากนี้  HTML5 จะเป็นภาษาสคริป์ที่หลายๆองค์กรนำมาใช้ในการพัฒนา Mobile Web/App ที่ทำให้ cross platform ได้  อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือการที่องค์กรต่างๆจะให้พนักงานพกอุปกรณ์มาใช้งานเอง (Bring Your Own Device: BYOD) องค์กรจะมีความต้องการหาคนมาทำ Mobile Device Management และ Enterprise App Store มากขึ้น

  • Enterprise architecture and business needs analysis

องค์กรต่างๆจะต้องมีการวางแผนไอทีมากขึ้น ดังนั้นจะมีความต้องการทีมงานที่จะมาทำ Enterprise Architecture มากขึ้น รวมถึงการเข้ามาของ  Cloud Computing จะยิ่งทำให้องค์กรมีความจำเป็นที่จะต้องปรับสถาปัตยกรรมไอทีให้เป็น Service Oriented Architecture (SOA) และต้องทำให้คนทางไอทีกับหน่วยงานอื่นๆในองค์กรทำงานร่วมกันมากขึ้น คนไอทีจึงมีความจำเป็นจะต้องเข้าใจธุรกิจขององค์กรมากขึ้น และต้องมีความรู้ด้าน Business Domain

  • Project management skills

ทักษะการบริหารโครงการยังเป็นที่ต้องการสูง เพราะต้องใช้ความสามารถในการบริหารจัดการความต้องการ และทีมงานที่เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น และเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไปการบริหารความต้องการและการเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งอยากขึ้น ทักษะที่จำเป็นอีกด้านก็คือเรื่องของวิศวกรรมซอฟต์แวร์ (Software Engineering) ที่อาจรวมถึงการเข้าใจมาตรฐานอย่าง CMMI หรือการทำซอฟต์แวร์แบบ Agile

  • Security and compliance

ทักษะด้านความปลอดภัยทางด้านไอทีจะมีความต้องการมากในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้โมบายและ Cloud Computing มากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้ต้องการทักษะใหม่ๆทางด้าน  Mobile Security, Cloud Security รวมถึงทางด้าน Social Network Security นอกจากนี้องค์กรบางแห่งอาจต้องปฎิบัติตามระเบียบและมาตรฐานบางอย่างเช่น Sarbanes-Oxley หรือ HIPAA ความต้องการบุคลากรไอทีที่มีความรู้เรื่อง Compliance  ก็จะเป็นสิ่งจำเป็น

  • Data integration/Big Data and analysis skills

ข้อมูลที่อยู่บน  Cloud จะมีมากขึ้นและจำนวนมากจะเป็น  Unstructured Data  ดังนั้นคนไอทีจะต้องพัฒนาทักษะใหม่ๆทางด้านการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data  ทำให้บุคลากรไอทีต้องมีทักษะการพัฒนาระบบเก็บข้อมูลใหม่เช่น Hadoop การพัฒนาโปรแกรม MapReduce และการใช้ NoSQL Database อย่าง  MongoDB หรือ Big Table  ตลอดจนจะต้องมีความรู้การใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลในการทำ Business Analysis อย่าง Pentaho หรือ SQL Server

  • Contract and vendor negotiation

Cloud Computing จะทำให้รูปแบบการซื้อขายสินค้าไอทีเปลี่ยนไปจาก Product  สู่  Service  ซึ่งจะเป็นการเช่า หรือจ่ายตามการใช้งานมากขึ้น ทำให้รูปแบบของสัญญา ข้อตกลง รวมถึง Service Level Agreement (SLA) เปลี่ยนไป คนไอทีจำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจเรื่องการทำข้อตกลงและต่อรองกับผู้ให้บริการในรูปแบบใหม่นี้

  • Business and financial skills

IT Mega Trends จะทำให้การลงทุนด้านไอที ต้องมีความเข้าใจเรื่องธุรกิจและการลงทุนที่ดีขึ้น เพื่อให้เกิดผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่คุ้มค่า ดังนั้นคนไอทีจะต้องมีความรู้ความเข้าใจทางด้านนี้มากขึ้น

ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

The Next Big Things: Wearable Technology

ข้อมูลปัจจุบันได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคหลังพีซี (Post-PC Era) คือเป็นยุคที่อุปกรณ์โมบายอย่างสมาร์ทโฟนและแทปเล็ตเข้ามาแทนที่เครืองคอมพิวเตอร์อย่างเดสต์ท็อปและโน๊ตบุ๊ค ในการที่คนทั่วไปจะใช้งานเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต โดยเราเห็นจำนวนยอดจำหน่ายของสมาร์ทโฟนและแทปเล็ตที่พุ่งแซงหน้าเครื่องพีซีไปหลายเท่า เราเห็นการติดตั้งเครือข่ายระบบ 3G หรือ 4G ในหลายๆประเทศที่ทำให้การใช้งานระบบอินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์โมบายเป็นไปด้วยความรวดเร็วเทียบเท่ากับระบบ  Broadband ตามบ้าน และเราเห็นกระแสของการทำธุรกิจผ่านอุปกรณ์มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้าน Mobile Social Media, Mobile Commerce หรือ Mobile Payment

กระแสของสมาร์ทโฟนและแทปเล็ตทำให้อุตสาหกรรมด้่านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต่างก็มุ่งไปที่การพัฒนาระบบและโซลูชั่นบนโมบาย และเราก็เริ่มเห็นว่าผู้นำอุตสาหกรรมไอทีกำลังเปลี่ยนค่ายสู่เจ้าของแพลตฟอร์มและผู้ผลิตอุปกรณ์โมบายอย่าง Google, Facebook, Apple และ Samsung ทำให้ผู้นำอุตสาหกรรมไอทีในยุคพีซีอย่าง Microsoft ก็จำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์เข้าสู่ยุคโมบายเช่นกัน โดยการพัฒนาระบบ Windows 8 หรือ Surface

อุปกรณ์โมบายยังทำให้เกิดการพัฒนาอุปกรณ์อื่นๆที่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์โมบายโดยใช้  Bluetooth NFC หรือ การเชื่อมต่อผ่านสาย อาทิเช่น นาฬิกาข้อมือ กำไลข้อมือ และเครื่องวัดความดันเป็นต้น มีการคาดการณ์กันว่าในปี 2020 จะมีอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในโลกนี้ถึง 50,000 ล้านชิ้น ซึ่งอาจเป็นสมาร์ทโฟนเพียงแค่ 8,000  ล้านเครื่อง แต่ที่เหลือจะเป็นอุปกรณ์อื่นๆตั้งแต่ Smart TV, ตู้เย็น, เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ชิ้นเล็กๆต่างๆ ซึ่งทางสำนักวิจัย Gartner ก็กำหนดให้หนึ่งในแนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจก็คือ Internet of Things

กระแสของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเหล่านี้ที่กำลังได้รับความสนใจก็คือ Wearable Technology ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ผู้ใช้สามารถสวมใส่และเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ต และเรียกใช้ซอฟต์แวร์ที่รันบนระบบ Cloud Computing ได้ ในปัจจุบันเริ่มมีผู้ผลิตหลายรายเร่งพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้ออกมาจำหน่าย เช่นแว่นตาที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ กำไลข้อมือที่ช่วยดูแลสุขภาพ หรือ นาฬิกาข้อมือที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งทางสำนักวิจัย  Credit Suisse กล่าวว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะเป็น  The Big Next Things และคาดว่าตลาดของอุปกรณ์เหล่านี้จะโตจาก 3 พันล้านเหรียญสหรัฐเป็น  5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ และจะขึ้นไปถึง  50 พันล้านเหรียญสหรัฐในห้าปีข้างหน้า

WearableTechต้วอย่าง Wearable Technology

เพื่อที่ให้เห็นภาพของ Wearable Tech ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างอุปกรณ์เด่นๆบางตัวดังนี้

Smart Glasses

ในงาน Google I/O 2012 เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ทาง Google ได้เปิดตัวโปรเจ็คที่ชื่อ Glass ซึ่งเป็นแว่นตาที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตและสามารถที่สั่งงานด้วยเสียงได้ ทำให้ผู้สวมใส่แว่นตาสามารถที่จะรับอีเมล์ ถ่ายรูป ดูแผนที่ หรือใช้ Google Hangout ในการที่จะติดต่อกับเพื่อนๆใน Social Media ตลอดจนเล่น application อื่นๆได้ แม้ในปัจจุบัน Google Glass ยังถูกทดลองกลุ่มนักพัฒนาจำนวนไม่มากนักและราคาสูงถึง  $1,500 แต่ก็คาดการณ์ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนแปลงการสื่อสารของโลก Social Media เมื่อมีการจำหน่ายสู่สาธารณะในต้นปีหน้า

วิดีโอสาธิตการใช้งาน Google Glass

นอกเหนือจาก Google Glass แล้ว ยังมีแว่นตาอัจฉริยะอีกหลายค่ายที่เริ่มเปิดตัวออกมาเช่น Telepathy One และ Vuzix M100 Smart Glasses เป็นต้น

Smart Wristband

Wearable Technology กลุ่มหนึ่งที่มีผู้นิยมใช้กันมากก็คืออุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะกำไลข้อมือที่สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์สมารท์โฟนหรือแทปเล็ตได้ ซึ่งในปัจจุบันจะมีอุปกรณ์หลักๆอยู่หลายรุ่นที่นิยมใช้กันอาทิเช่น

  • Nike FuelBand เป็นอุปกรณ์สำหรับคนที่นิยมออกกำลังกายที่จะจับความเคลื่อนไหวในแต่ละวัน ในกลุ่มสังคมของคนที่ใช้  Nike ทำให้ทราบข้อมูลการออกกำลังกายของตัวเองและสามารถที่จะแชร์ไปยังเพื่อนในกลุ่มได้ นอกจากนี้อุปกรณ์สามารถที่จะเป็นนาฬิกาได้
  • Fitbit Flex เป็นกำไลข้อมือคล้ายๆกับ Nike FuelBand แต่ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูล การหลับนอน การรับประทานอาหาร และยังสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ Fitbit อื่นๆเช่นเครื่องชั่งน้ำหนัก
  • Jawbone Up  เป็นกำไลข้อมูลที่สามารถตรวจสอบข้อมูล การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การหลับนอน เช่นเดียวกับ Fitbit Flex แต่ราคาไม่สูงมากเพียง $99.99

วิดีโอสาธิตการทำงานของ Jawbone Up

อุปกรณ์ Jawbone Up กำลังเป็นที่นิยมใช้กันมาก เพราะราคาไม่แพงและยังมีฟังก์ชั่นต่างๆเพื่อช่วยวิเคราะหฺข้อมูลพื้นฐานของเราให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น เช่นการให้ข้อมูลจำนวนแคลอรี่ของอาหารที่เราทานไป การแจ้งเตือนหากเราอยู่นิ่งนานไป และสามารถตั้งเป้าหมายระยะเวลาการหลับนอน และการเคลื่อนไหวในแต่ละวัน

Smartwatch

อุปกรณ์ Wearable อีกประเภทหนึ่งที่เริ่มได้รับความนิยมก็คือนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ ซึ่งก็มีข่าวลืออยู่อย่างต่อเนื่องว่าทาง Apple จะออกอุปกรณ์ iWatch ออกมา แต่บางค่ายก็ออกนาฬิกาอัจฉริยะออกมาแล้วเช่น

  • Sony Smartphone นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน Android ผ่าน Bluetooth ได้ และมีระบบการแจ้งเตือน ที่เป็นระบบ “สั่น”เมื่อมีข้อความมาทาง Facebook หรือ Twitter หรือมีสายโทรศัพท์เข้ามา
  • Basis Band อุปกรณ์นี้เป็นทั้งนาฬิกาข้อมูลและตัวที่ใช้วัดกิจกรรมประจำวันของเรา การเคลื่อนไหว การหลับ อัตราการเต้นของหัวใจ คล้ายๆกับสายรัดข้อมูลอัจฉริยะ


วิดีโอแนะนำ Sony Smartwatch

SmartDevices

อุปกรณ์อัจฉริยะอีกกลุ่มที่เริ่มมีผู้ผลิตออกมาก็คืออุปกรณ์ขนาดเล็กที่ออกแบบมาให้สามารถใช้ติดอยู่กับเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ เช่น

  • Fitbit Zip เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กราคาเพียง $59 สามารถที่จะคำนวณจำนวนก้าวที่เราเดิน ระยะทาง และจำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญไปได้ และสามารถที่จะ sync กับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนได้
  • Memoto กล้องถ่ายรูปขนาดเพียง  1 ตารางนิ้ว ที่สามารถที่จะติดไว้ที่คอปกเสื้อแล้วจะสามารถถ่ายรูปได้อย่างต่อเนื่องทุก  30 วินาที และมีข้อมูลที่ sync กับ GPS
  • Misfit Shine เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจจับกิจกรรมประจำวันที่มีขนาดเล็ก สามารถที่จะใส่ไว้ในที่ต่างๆได้ ทั้งติดกับเสื้อผ้า หรือรองเท้าที่สวมใส่

วิดีโอแนะนำ Misfit Shine

นอกจากนี้ยังมี Smart Devices อื่นๆที่เริ่มเข้ามาจำหน่าย โดยส่วนมากจะเน้นในแง่ของการดูแลสุขภาพอาทิเช่น

  • Armour39 เป็นสายรัดเอวสำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย ในการวัดกิจกรรมการเคลื่อนไหว แบบเดียวกับสายข้อมูลอัจฉริยะอื่นๆ
  • Biostamp Temporary Tattoo เป็นลายสักอิเล็กทรอนิกส์ชั่วควารที่จะสามารถใช้วัดความเคลื่อนไหวได้

สรุปการอบรม Planning on Mobile Strategy 29-30 พฤษภาคม

เมื่อวันที่ 29-30 พฤษภาคมที่ผ่านมาทาง IMC Institute  ได้จัดการอบรมหลักสูตร Planning on Mobile Strategy  เพื่อให้ความรู้ด้านการวางแผนกลยุทธ์ทางด้านโมบายให้กับผู้บริหารองค์กรต่างๆ โดยได้เชิญวิทยากรที่เป็นกูรูทางด้านนี้จำนวน 12  ท่านร่วมให้ความรู้กับผู้เข้าอบรม บล็อกนี้เลยขอสรุปการบรรยายในการอบรม นำเสนอภาพบรรยากาศและเอกสารการอบรมดังนี้

วันที่ 29 พฤษภาคม

การบรรยายใน session แรกเริ่มโดยตัวผมเองที่ชี้ให้เห็นถึง “Mobile Technology Trends” โดยระบุว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคหลังพีซี ที่การใช้อินเตอร์เน็ตจะผ่านอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟนและแทปเล็ดมากกว่าพีซี และองค์กรต่างๆก็เริ่มสนใจที่จะให้พนักงานนำอุปกรณ์โมบายของตัวเองมาใช้ในการทำงานมากขึ้น (BYOD: Bring Your Own Device) องค์กรเองก็ต้องเริ่มคิดกลยุทธ์ทางด้านโมบายต่างๆเช่น Mobile Commerce, Mobile Social Marketing, Mobile Payment หรือ Mobile Security นอกจากนี้ผมยังได้แสดงให้เห็นเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงานและการใช้ชีวิตของพวกเราเช่น Google Glass ดังวิดีโอนี้

Session ที่สองได้รับเกียรติจากคุณ Mimee (อรนุช) จากThumbsup.in.th มาบรรยายในหัวข้อ “Mobile Social Marketing”  เธอได้นำเสนอให้เห้นภาพรวมของตลาด Social Media ในบ้านเรา และชี้ให้เห็นว่าในปัจจุบันคนเข้าถึงสื่อ  social media   ผ่าน  mobile device มากถึง 64% มากกว่าพีซีที่มีเพียง  36%   พร้อมทั้งกล่าวถึงชนิดของ Mobile Marketing ประเภทต่างๆพร้อมทั้งกรณีศึกษาต่างๆ ปิดท้ายด้วยเทอมต่างๆที่เราควรจะต้องรู้เช่น Gamification, SOLOMO และ ZMOT

การบรรยายใน session ทีี่สามเป็นเรื่อง “กลยุทธ์ด้าน BYOD” โดยได้รับเกียรติจาก อ.ไชยกร (S-Generation) มาเป็นวิทยากรให้ อาจารย์เป็ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน IT Security และมีความเข้าใจเรืองของการบริหารจัดการ  Mobile Devices  ในองค์กร ได้มากล่าวถึงข้อดีข้อเสียของการทำ BYOD ความเสี่ยงที่จะต้องคำนึงถึง สุดท้ายพูดถึงข้อคำนึง 10  อย่างที่จะต้องมีในการทำ BYOD  Strategy  คือ  Business value (ROI), Stakeholders’ expectation, Coverage of service and support, Business risk and need of controls, Security, Balance of Control and Privacy, Classification of data app and network, Current environment and technological dynamic, Consumer technology movement และ Compliance

ถัดมาทาง ดร.บุญนิตย์ มัธยมจันทร์ จากม.มหิดล มาบรรยายเรื่อง “Strategy on Mobile Applications for your organization” โดยชี้ให้เห็นกลยุทธ์ในการทำ Mobile Application สามด้่านคือ  1) การทำ Application สำหรับการใช้งานภาบใน 2) การทำ Application สำหรับลูกค้า และ 3) ด้านนวัตกรรม

และ Session สุดท้ายของวันเป็นกรณีศึกษาจากวิทยากรสามท่าน ท่านแรกคือคุณอภิชัย เรืองศิริปิยะกุลจากบริษัท Think Technology มาพูดถึงกรณีการใช้ Augmented Reality ให้กับหน่วยงานต่างๆทั้งทางด้านการศึกษา งานการตลาด โดยได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้เข้าอบรม ซึ่งทางรายการ MCOT Dot Net ก็เพิ่งเชิญคุณอภิชัยไปออกรายการสาธิตเมื่อต้นสัปดาห์นี้ สำหรับวิทยากรท่านถัดไปใน session นี้คือคุณอุกฤษ์จากบริษัท Apptividia ที่มาแบ่งปันประสบการณ์เรื่องการทำ Digital Publishing Platform และท่านสุดท้ายคุณคุณเฉลิมพล จากบริษัท CRM-C  ที่เล่ากรณีศึกษาการทำ  Enterprise Mobile Applicationโดยเฉพาะระบบ CRM ให้กับหน่วยงานต่างๆ

วันที่ 30 พฤษภาคม

งานอบรมในวันที่สองเริ่มต้นด้วยการบรรยายของ คุณภาวุธ จาก Tarad.com  มาบรรยายในเรื่อง “Mobile Commerce”  โดยเริ่มบรรยายให้เห็นตลาด Mobile Commerce ของทั่วโลกและตลาดที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งทาง Rakuten ผู้ร่วมลงทุนของ Tarad.com มีข้อมูลอยู่ จากนั้นก็แสดงเห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของการใช้มือถือในการ Shopping Online โดยนำข้อมูลบางส่วนมาจากประสบการณ์จริงของ  Tarad.com  สุดท้ายได้ยกตัวอย่างโปรเจ็คที่ทาง Tarad.com ทำร่วมกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ในการเปิดโอกาสให้ผู้โดยสารสามารถ shopping online ได้ที่สถานีรถไฟฟ้า

Session เป็นการบรรยายโดยคุณปฐม จาก ARiP ที่มาให้ข้อมูลเรื่อง “Mobile Device Battles” โดยให้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขต่างๆทางด้านตลาดสมาร์ทโฟนและ Tablet ทั่วโลก ร่วมทั้งข้อมูลในประเทศไทย ภาพที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือจำนวนยอดขายของสมาร์ทโฟนและ Tablet มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะจำนวน Mobile Phone ที่ขายในปี 2017 ถึง 2.1 พันล้านเครื่อง และมียอด  Tablet  467 ล้านเครื่อง ขณะที่ยอดจำหน่ายพีซีและ Notebook จะลดลงมาเหลือเพียง 217 ล้านเครื่อง โดยเราจะเห็น Android เป็นเจ้าตลาดของสมาร์ทโฟน

อ.ปริญญา หอมเอนก มาในบรรยาย Session ที่สามเรื่องของ “Mobile Security”  โดยได้ Highlight ให้เห็นภัยทางด้านความปลอดภัยไอทีจากการใช้สมาร์ทโฟน โดยแสดงให้เห็นกรณีศึกษาต่างๆ ตามมาด้วย Session ของคุณนพพร จาก Digio (Thailand) ที่มากล่าวถึง “Mobile Payment

Session ในตอนบ่ายเป็น Workshop เรื่อง  “How to develop and evaluate a mobile strategy for your organization” โดย Ville Kulmala  จาก Mobile Spark และเป็น Chairman ของ Mobile Monday Thailand ซึ่งทาง Ville ได้ระบุว่าการทำกลยุทธ์จะต้องพิจารณาสามด้านคือ Demand, Supply และ Governance and Risk  โดยมีการให้ผู้อบรมได้ร่วมกันศึกษาการทำกลยุทธ์สำหรับกรณีศึกษาที่ทาง Ville  ได้ตั้งขึ้น และทาง Ville ก็มีตัวอย่าง Template ของการกำหนด BYOD Strategy ขององค์กร

และเอกสารการอบรมทั้งหมดสามารถ Download ได้จาก https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/mobile-strategy-all.pdf

ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Instittute

การลงทุนด้าน IT ของประเทศต่างๆในกลุ่ม ASEAN

เมื่อเร็วๆนี้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งใน ATCI โทรมาถามผมว่า ผมมีตัวเลข IT Spending ของประเทศในกลุ่ม ASEAN หรือไม่ เพราะท่านต้องการจะเปรียบเทียบการใช้จ่ายทางด้านไอทีกับการเติบโตของอุตสาหกรรมไอทีในประเทศว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร ผมเลยไปค้นหาข้อมูลตัวเลขดังกล่าวโดยได้ข้อมูลของ Business Monitor International (BMI) ที่พอสรุปได้ดังนี้

Screen Shot 2556-05-13 at 7.51.56 AM

ประเทศสิงคโปร์

BMI คาดการณ์การใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศสิงคโปร์ในปี 2012 คือ  6.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 944 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที (IT Service) 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยภาครัฐบาลเป็นกลุ่มที่มีการลงทุนทางด้านไอทีมากที่สุด โดยมีมูลค่างานทางด้่านไอทีสูงถึง 890 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะการลงทุนทางด้าน Public และ Private Cloud ของภาครัฐในหลายๆหน่้วยงานอาทิเช่น กระทรวงศึกษาธิการ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และสนามบินสิงคโปร์ นอกจากนี้สิงคโปร์ยังมีการขยายตัวการลงทุนทางด้านซอฟต์แวร์ในกลุ่ม SME โดยเฉพาะโปรแกรมทางด้าน ERP และ CRM นอกจากนี้ทาง  BMI คาดการณ์ว่าตัวเลขประมาณการใช้จ่ายด้านไอทีของสิงคโปร์จะโตขึ้นเป็น 9.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016

ประเทศมาเลเซีย

BMI คาดการณ์การใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศมาเลเซียในปี 2012  คือ  5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ  โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 873 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที  1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ  โดยตัวเลขการใช้จ่ายไอทีปี 2012 เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเที่ยบกับปี  2011 ก็เนื่องมาจากการโตขึ้นของการใช้ Cloud Computing  ของหน่วยงานต่างๆโดยเฉพาะในกลุ่ม SME โดยมีผู้ให้บริการในประเทศหลายรายเช่น Maxis Cloud นอกจากนี้ทางรัฐบาลมาเลเซียยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ภายในประเทศเพื่อขึ้นอยู่บนระบบ Cloud Computing  ส่วนตัวเลขทางด้านฮาร์ดแวร์ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการเพิ่มการเข้าถึงของ Broadband ของรัฐบาลทำให้มียอดจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีมากขึ้น

 ประเทศอินโดนีเซีย

BMI คาดการณ์ว่ายอดการใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศอินโดนีเซียในปี  2012  จะเพิ่มขึ้นถึง 11% คือ  5.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ  โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 687 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที  989 ล้านเหรียญสหรัฐ  จะเห็นได้ว่ายอดการใช้จ่ายด้านไอทีเกือบ  70% จะอยู่ทางด้านฮาร์ดแวร์ทั้งนี้เนื่องจากการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในประเทศอินโดนีเซียยังมีเพียง 20% จึงยังมีความต้องการทางด้านฮาร์ดแวร์อีกมาก โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มาจากประเทศจีน  Cloud Computing ก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่บริษัทต่างๆให้ความสนใจตลาดในประเทศอินดีเซีย อาทิเช่นทางบริษัท  Microsoft  มีแผนงานที่จะลงทุนระบบ Cloud Computing ร่วมกับบริษัทด้านโทรคมนาคม Telekom เป็นจำนวนเงินถึง 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ทางทาง  BMI คาดการณ์ว่าตัวเลขประมาณการใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์ของอินโดนีเซียจะโตขึ้นเป็น 11.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016 เมื่อมีการเข้าถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น

 ประเทศฟิลิปปินส์

BMI คาดการณ์ว่ายอดการใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศฟิลิปปินส์ในปี  2012  จะเพิ่มขึ้นถึง 19% คือ  3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ  โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 401 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที  996 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีเทคโนโลยีด้าน Cloud Computing เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่ามีการลงทุนจากบริษัทต่างๆที่ให้ความสำคัญทางด้านนี้หลายรายอาทิเช่น บริษัท  Microsoft  ที่ร่วมมือกับบริษัทโทรคมนาคมในประเทศอย่าง PLDT และบริษัท Datacraft ทั้งนี้ภาครัฐเองก็มีการลงทุนทางด้านไอทีค่อนข้างมากจากส่วนของศุกลากร สาธารณสุข คณะกรรมการการเลือกตั้ง และภาคการศึกษา นอกจากนี้ทาง  BMI คาดการณ์ว่าตัวเลขประมาณการใช้จ่ายด้านไอทีของฟิลิปปินส์จะโตขึ้นเป็น 4.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016

 ประเทศเวียดนาม

BMI คาดการณ์ว่ายอดการใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศเวียดนามในปี  2012  จะเพิ่มขึ้นถึง 15% คือ  2.53 พันล้านเหรียญสหรัฐ  โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 222 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที  474 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ทางภาครัฐมีแผนนโยบายไอซีที ระหว่างปี  2010-2020 และทำให้คาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนทางไอทีของภาครัฐสูงถึง  17 พันล้านเหรียญสหรัฐใน 5 ปีข้างหน้าโดยเป็นทางด้านฮาร์ดแวร์สูงถึง  1.2  พันล้านเหรียญสหรัฐ  นอกจากนี้ทาง BMI ยังระบุว่าองค์กรต่างๆในประเทศเวียดนามมีความต้องการโซลูชั่นทางด้่าน ERP อยู่มาก และตลาดทางด้าน  Cloud Computing จะโดขึ้นถึง 300% ในห้าปีข้างหน้า  นอกจากนี้ทาง  BMI คาดการณ์ว่าตัวเลขประมาณการใช้จ่ายด้านไอทีของเวียดนามจะโตขึ้นเป็น 4.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016

 ประเทศไทย

BMI ระบุว่าตลาดการใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศไทยมีมูลค่าสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยคาดการณ์การใช้จ่ายด้านไอทีในปี 2012 ไว้ที่  6.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 893 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที (IT Service) 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลาดฮาร์ดแวร์ในประเทศไทยโตขึ้นจากความต้องการใช้เทคโนโลยีโมบาย และนโยบายของภาครัฐบาลในการแจกเครื่องแทปเล็ตให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษา  นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่านโยบายทางด้าน Cloud Computing ของภาครัฐจะทำให้ตลาดทางด้านนี้โตขึ้นถึง 200-300% ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ทาง  BMI คาดการณ์ว่าตัวเลขประมาณการใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศไทยจะโตขึ้นเป็น 9.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016

นอกจากนี้ผมยังค้นไปเจอข้อมูลของ IDC ที่เป็นภาพกราฟฟิกประมาณการ IT Spending ของ ASEAN  ในปี 2015 ดังรูปนี้

Image

ธนชาติ นุ่มนนท์

ผอ. IMC Institute