Facebook ซื้อ Whatsapp กับความคุ้มค่า !!!

ตอนที่ผมได้ข่าวว่า Facebook  ซื้อกิจการของ Whatsapp  ด้วยวงเงิน  19 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ผมแปลกใจมาก เพราะ Whatsapp  เป็นบริษัทที่ก่อตั้งมาเพียง 5 ปีมีพนักงานเพียง  50 คน คำนวณแล้วเป็นเงินถึง 380 ล้านเหรียญสหรัฐต่อพนักงานแต่ละคน วงเงิน   19 พันล้านเหรียญสหรัฐแบ่งเป็นเงินสด  4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในรูปของหุ้นของ Facebook อีก  12 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอีก  3 พันล้านเหรียญสหรัฐจะเป็นหุ้นที่จะทยอยให้กับพนักงานในอีก 4  ปีข้างหน้า

การซื้อกิจการ  Facebook ถือว่าเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับสองจาการเข้าซื้อบริษัทด้านเทคโนโลยีโดยการซื้อกิจการทีใหญ่ที่สุดคือการที่ HP เข้าซื้อ Compaq  เมื่อปี 2001 ซึ่งเมื่อปรับค่าตามเงินเฟ้อในปีนี้จะพบว่ามีมูลค่าถึง 33.4  พันล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าที่ Facebook ซื้อ Whatsapp ทำให้ผมนึกถึงบริษัทเก่าผมคือ Sun Microsystems ที่ถูก Oracle ซื้อไปด้วยมูลค่า 7.4  พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2010 และนึกถึงตอนที่ Microsoft ซื้อ Nokia  เมื่อปีทีแล้วด้วยมูลค่า 7.2  พันล้านเหรียญสหรัฐ สองบริษัทนี้ถูกซื้อถูกจนเกินไปไหม  Sun Microsystems มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีมากมายทั้ง Java, MySQL และเครื่อง Server และนวัตกรรมเหล่านั้นยังคงอยู่และเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย ส่วน Nokia ก็มีนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่และมีทีมวิจัยและพัฒนาที่เข้มแข็ง คำถามคือ Whatsapp มีอะไร ที่คุ้มค่ากับการซื้อกิจการครั้งนี้

unnamed-45

หากเราลองมาดูการเข้าซื้อกิจการนับตั้งแต่ปี 1998 ที่วิเคราห์โดย  BI Intelligence  เราจะพบว่าการควบกิจการของบริษัท Technology ต่างๆในอดีต จะถูกซื้อโดยบริษัทด้าน Hardware/Software  รายใหญ่ๆอย่าง HP, Oracle และ IBM โดยบริษัทเหล่านั้นพยายามจะขยายฐานทางด้าน Products  ที่ตัวเองมีอยู่เช่น   HP ซื้อ Compaq, EDS และ Mercury หรือ Oracle ที่ซื้อบริษัทฮาร์ดแวร์อย่าง Sun Microsstems  และซื้อบริษัทซอฟต์แวร์อย่าง Peoplesoft, BEA และ Hyperion

แต่ในระยะหลังบริษัทที่เข้ามาซื้อกิจการกลับเป็นบรืษัทที่ทำอินเตอร์เน็ตอย่าง Yahoo, Facebook, Google และ Microsoft และจุดประสงค์ก็เพื่อที่จะขยายฐานลูกค้าบนอินเตอร์เน็ตผ่านซอฟต์แวร์ต่างๆ รวมไปถึงการหาซื้อเทคโนโลยีอย่างโทรศัพท์มือถือ เราจึงภาพของ Microsoft มาซื้อโปรแกรมอย่าง Skype หรือกิจการโทรศัพท์อย่าง  Nokia เห็น Google เข้าซื้อ Youtube และ Motorola และ Facebook  เข้าซื้อ  Instagram  และ  Whatsapp

chartoftheday_1927_Tech_acquisitions_n

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ Whatsapp ยังมีฐานลูกค้ามากพอหรือ ในปัจจุบัน Whatsapp ก็ยังครองตลาดค่อนข้างสูง โดยมีจำนวนผู้ใช้ประมาณ 450 ล้านราย ซึ่งทาง Statistica ระบุว่ามี  Active Users ในเดือนสิงหาคมถึง 300 ล้านราย

chartoftheday_1341_Whatsapp_Reaches_300_Million_Active_Users_b

แม้ในประเทศไทยตลาดด้าน Mobile Messaging Application จะเป็นตลาดของ Line แต่ข้อมูลของ Onava เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วแสดงให้เห็นว่า Whatsapp ยังครองตลาดในหลายๆประเทศโดยเฉพาะตลาดใน Latin America รวมถึงประเทศในอเมริกาใต้อย่างบราซิล และครองตลาดยุโรปหลายๆประเทศทั้ง เยอรมัน อังกฤษ และ อิตาลี และยิ่งถ้ามารวมกับ  Facebook Messaging   ก็จะเป็นตลาดอันดับหนึ่งในหลายๆประเทศรวมทั้งอเมริกา ส่วนตลาดของ Line หลักๆก็เป็นของญี่ปุ่นซึ่งมีความเฉพาะ เหมือนกับ Kakao Talk  ที่ใช้เฉพาะในประเทศเกาหลี และ WeChat ของจีน

onavo-insights1

ดังนั้นถ้าดูข้อมูลการเข้าซื้อ  Whatsapp แล้วคงคาดได้ว่า สิ่งที่ทาง Facebook  คาดหวังส่วนหนึ่งก็คือฐานข้อมูลลูกค้า และการเป็นเบอร์หนึ่งด้าน  Messaging Apps แต่จะคุ้มค่ากับเงิน  19 พันล้านเหรียญสหรัฐที่เป็นเงินสดถึง  4 พันล้านเหรียญสหรัฐ คงต้องรอดูกันต่อไป

แนวโน้มการพัฒนา Emerging Technology ของบริษัทไอทีไทย

เมื่อเร็วๆนี้ทาง IMC Institute เปิดแถลงข่าวเรื่องผลสำรวจ “Emerging Technology: Thai Professional Readiness Survey” และก็มีสื่อหลายๆฉบับนำไปลงข่าวให้ รวมถึงบทบรรณาธิการของกรุงเทพธุรกิจที่เขียนในหัวข้อ “แรงงานฝีมือไอทีขาด ดับฝันผู้นำอาเซียน” ในฉบับวันที่ 19 กันยายน  (เนื้อหาของบทความสามารถอ่านได้ที่ http://tinyurl.com/mzq7xgv )และเพื่อให้เข้าใจรายละเอียดของการสำรวจครั้งนี้ผมจึงขอนำรายงานการสำรวจมาสรุปสั้นๆดังนี้

Screen Shot 2556-10-06 at 9.23.03 PM

การสำรวจครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบถึงสภาวการณ์โดยรวมของประเทศในปัจจุบัน และเพื่อประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาบุคลากรและวงการไอทีของไทยต่อไปในอนาคตโดยเน้นในกลุ่มของบุคลากรด้านซอฟต์แวร์ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้าน Emerging Technology โดยเฉพาะเมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) กำลังจะเข้ามามีบทบาทอย่างเต็มที่ทั้งในเชิงความร่วมมือและการแข่งขันในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ในปี พ.ศ.2558

การสำรวจข้อมูลดังกล่าวได้ถูกดำเนินการขึ้น ในช่วงระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน ถึง 31 สิงหาคม พ.ศ.2556 โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ และวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ทั้งนี้ ากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 165 ราย ทางทีมผู้วิจัยได้คัดเลือกตัวอย่างที่สมบูรณ์และมีความสามารถในการสะท้อนภาพรวมที่แท้จริงของวงการบุคลากรไอทีไทยออกมาได้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 89 ราย แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มบริษัท/หน่วยงานที่ประกอบธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมไอทีเป็นหลัก จำนวน 51 ราย ซึ่งโดยมากจะเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน แต่ก็มีบางบริษัทที่มัพนักงานซอฟต์แวร์อยู่ระหว่าง 101-500 คน ส่วนกลุ่มที่สองที่ทำการสำรวจคือบริษัท/หน่วยงานที่ประกอบธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีแผนกไอทีภายในองค์กร อาทิ กลุ่มการเงินการธนาคาร, กลุ่มโทรคมนาคม, กลุ่มพลังงาน เป็นต้น จำนวน 38 ราย ซึ่งในกลุ่มนี้โดยมากจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านบาทและโดยเฉลี่ยจะมีพนักงานไอทีอยู่ประมาณช่วง 11-100 คน โดยสามารถที่จะสรุปจำนวนพนักงานในกลุ่มบริษัทและหน่วยงานได้ดังรูป

Image

รูปที่   1) จำนวนของพนักงานไอทีและพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ภายในองค์กร ของบริษัท/หน่วยงานในอุตสาหกรรมไอที

Image

รูปที่ 2) จำนวนของพนักงานไอทีและพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ภายในองค์กร ของบริษัท/หน่วยงานในอุตสาหกรรมอื่นๆ

ผลการสำรวจความพร้อมด้าน Emerging Technology

การสำรวจครั้งนี้ได้ศึกษาความพร้อมของบุคลากรทางด้านซอฟต์แวร์ของหน่วยงานต่างๆในประเด็นต่างที่น่าสนใจ อันได้แก่ ทักษะของบุคลากรในด้านภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม, ด้านการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่น, ด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์บนคลาวด์เทคโนโลยี และด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ Emerginf Technology อื่นๆ รวมถึง ศึกษาทัศนคติที่มีต่อระดับความสำคัญของเทคโนโลยีต่างๆ, ปัญหาและอุปสรรค, ทัศนคติที่มีต่อแหล่งการจัดหาบุคลากรด้านเทคโนโลยีก่อกำเนิด และข้อเสนอแนะอื่นๆ

ทักษะในด้านภาษาคอมพิวเตอร์

ผลการสำรวจในหัวข้อด้านทักษะของบุคลากรไอทีไทยที่เกี่ยวข้องกับภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม (Computer Programming Language) เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้วพบว่า ปัจจุบันองค์กรต่างๆมีบุคลากรในการพัฒนาซอฟต์แวร์โดยหลักสามภาษาคือ PHP, Java และ .NET โดยทั้งสามภาษาทั้งสามมีองค์กรที่มีบุคลากรในการพัฒนาจำนวนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างนั้น ได้แก่ PHP (65.17%), Java (62.92%) และ .NET (61.80%) อีกทั้ง และยังมีแนวโน้มความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้านภาษาเหล่านี้เพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย แต่เมื่อพิจารณาจำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในแต่ละองค์กรจะพบว่าองค์กรโดยมากจะมีบุคลากรที่สามารถพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ที่ระบุน้อยกว่า 10 คน และมีเพียงไม่กี่องค์กรที่ระบุว่ามีนักพัฒนามากกว่า 20 คนกล่าวคือ มีเพียง 5 องค์กรที่ระบุว่ามีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้าน PHP มากกว่า 20 คน และมีองค์การที่ระบุว่ามีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้าน Java และ .NET มากกว่า 20 คนอย่างละ 10 องค์กร นอกจากนี้ยังพบว่าเริ่มมีหลายองค์กรที่ให้ความสนใจกับภาษาคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ อย่าง Python และ Ruby มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์อื่นๆ ที่เป็นที่ต้องการขององค์กรอาทิ C++, COBOL, Delphi เป็นต้น อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังไม่มีการกำหนดแผนงานในการขยายบุคลากรในกลุ่มภาษาคอมพิวเตอร์ใหม่ๆอย่างชัดเจนนัก

Image

รูปที่ 3) ร้อยละขององค์กรที่มีบุคลากรพัฒนาโปรแกรมสำหรับภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน

Image

รูปที่ 4)  แนวโน้มการวางแผนงานขององค์กรสำหรับบุคลากรด้านการพัฒนาโปรแกรมสำหรับภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆ

ทักษะในด้านการพัฒนา Mobile Application

สำหรับทักษะของบุคลากรไอทีไทยในหัวข้อการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่น (Mobile Application Development) นั้นพบว่า ในปัจจุบันองค์กรไอทีของไทยให้ความสนใจกับการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่นโดยใช้ Native Application บนระบบปฎิบัติการ iOS และ Android ในจำนวนที่เท่าเทียมกัน คือ 51.69% ตามมาด้วย Windows (24.72%) นอกจากนี้ยังพบว่าหลายๆองค์กรเริ่มให้ความสนใจกับการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่นแบบ Cross Platform โดยใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ HTML5 ในจำนวนถึง 50.56% อีกทั้งองค์กรส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มวางแผนเพิ่มบุคลากรในการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่นอย่างชัดเจนมากกว่าการเพิ่มบุคลากรการพัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้าน Emerging Technology อื่นๆ โดยมีความสนใจที่จะเพิ่มบุคลากรในการพัฒนาแพลตฟอร์มทางด้าน iOS มากที่สุด

สำหรับในแง่ของจำนวนบุคลากรผลการสำรวจจะออกมาในทำนองเดียวกับจำนวนบุคลากรทางด้านภาษาคอมพิวเตอร์ กล่าวคือองค์กรส่วนใหญ่จะมีบุคลากรในการพัฒนาด้านโมบายแอพพลิเคชั่นน้อยกว่า 10 คนในปัจจุบัน และมีเพียงอย่างละ1 องค์กรที่มีบุคลากรมากกว่า 20 คนในการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่น ด้าน iOS, Android และ HTML5

mobile

รูปที่ 5) ร้อยละขององค์กรที่มีบุคลากรพัฒนาด้าน Mobile Application จำแนกตามแพลตฟอร์มต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน

mobiletrends

รูปที่ 6)  แนวโน้มการวางแผนงานขององค์กรสำหรับบุคลากรด้านการพัฒนา Mobile Application จำแนกตามแพลตฟอร์มต่างๆ

ทักษะในด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์บนเทคโนโลยี Cloud Computing

ในปัจจุบันเทคโนโลยี Cloud Computing ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่สนใจกันอย่างกว้างขวางนักในกลุ่มบริษัท / หน่วยงานต่างๆในไทย แต่เมื่อมีการสำรวจแนวโน้มการพัฒนาซอฟต์แวร์บน Cloud Platform ก็ยังจัดว่ามีสัดส่วนที่ค้อนข้างน้อย โดยแพลตฟอร์มที่องค์กรต่างๆมีบุคลากรที่มีทักษะในการพัฒนามากที่สุดคือ Google App Engine แต่ก็ยังคิดเป็นเพียง 22.47% ตามมาด้วย Microsoft Azure จำนวน 19.10%  Amazon Web Services (13.48%) และ Heroku (5.62%)  โดยยังพบว่าองค์กรต่างๆจะมีบุคลากรที่พัฒนาซอฟต์แวร์บน Cloud Computing น้อยกว่า 10 คน นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังไม่มีการกำหนดแผนงานในการขยายบุคลากรในการพัฒนาซอฟต์แวร์บนเทคโนโลยี Cloud Computing อย่างชัดเจนนัก โดยพบว่าองค์กรต่างๆมีความต้องการที่จะเพิ่มบุคลากรด้านนี้น้อยมากเมื่อเทียบกับความด้องการเพิ่มบุคลากรในการพัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้าน Emerging Technology อื่นๆ

cloud

รูปที่ 7) ร้อยละขององค์กรที่มีบุคลากรซอฟต์แวร์ในการพัฒนา Cloud Technology จำแนกตามแพลตฟอร์มต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน 

cloudtrends

รูปที่ 8)  แนวโน้มการวางแผนงานขององค์กรสำหรับบุคลากรด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์บน Cloud Technology จำแนกตามแพลตฟอร์มต่างๆ

ทักษะในด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ Emerging Technology  อื่นๆ

นอกจากนี้ทาง IMC Institute ยังทำการสำรวจทักษะของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ Emerging Technology อื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจของบริษัท / หน่วยงานไทย  โดยผลการสำรวจพบว่าองค์กรจะมีบุคลากรที่พัฒนาทางด้าน Business Intelligence (BI) มากที่สุด โดยในปัจจุบันมีองค์กรที่มีบุคลากรทางด้านนี้อยู่ถึง 58.42% ตามมาด้วย Facebook Application Development (33.71%), noSQL (21.35%) และ Big Data (17.98%) ทั้งนี้องค์กรต่างๆยังมีความต้องการเพิ่มบุคลากรที่มีทักษะด้าน Emerging Technology เหล่านี้ในอนาคตอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังไม่มีการกำหนดแผนงานในหัวข้อนี้อย่างชัดเจนนัก

other

รูปที่ 9) ร้อยละขององค์กรที่มีบุคลากรซอฟต์แวร์ในการพัฒนา Emerging Technology อื่นๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน 

Othertrends

รูปที่ 10)  แนวโน้มการวางแผนงานขององค์กรสำหรับบุคลากรด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ Emerging Technology  อื่นๆ

ทัศนคติที่มีต่อความสำคัญของ Emerging Technology ขององค์กรต่างๆ

IMC Institute ยังได้สำรวจทางด้านการให้ความสำคัญของ Emerging Technology ของหน่วยงาน/บริษัทต่างๆ จากผลการสำรวจพบว่า ค่าเฉลี่ยของทัศนคติที่กลุ่มตัวอย่างโดยรวมที่มีต่อความสำคัญของ Emerging Technology ต่างๆ ด้วยการวัดค่าจากมาตรวัดคะแนน 5 ระดับ (5-Point Rating Scale) นั้น กลุ่มตัวอย่างเห็นความสำคัญของการพัฒนาซอฟต์แวร์เทคโนโลยีด้าน Mobile Application (3.80 คะแนน) สูงที่สุด ตามมาด้วย Business Intelligence / Big Data (3.58 คะแนน) Cloud Computing (3.57 คะแนน) และ Social Media  (2.97 คะแนน) ตามลำดับ ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมไอที และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ พบว่าแผนกไอทีในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆจะให้ความสำคัญในเทคโนโลยีด้าน Business Intelligence / Big Data และ Social Media มากกว่าในกลุ่มอุตสาหกรรมไอที

emerging

รูปที่ 11)  ทัศนคติที่มีต่อความสำคัญของ Emerging Technology จากคะแนนเต็ม  5.00

ทั้งนี้เหตุผลหลักที่กลุ่มตัวอย่างต้องการพัฒนา Emerging Technology ต่างๆ ภายในองค์กรนั้น พบว่ามีสาเหตุเนื่องจากต้องการสร้างโอกาสทางธุรกิจ และต้องการก้าวให้ทันเทคโนโลยีอยู่เสมอ โดยมีผู้ตอบเป็นจำนวนเท่ากันคือ 78.65% ตามมาด้วยความต้องการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ (60.67%) และมีความพร้อมของบุคลากรอยู่แล้ว (28.09%) นอกจากนี้ ยังมีผู้ให้เหตุผลอื่นๆ อีกด้วย อาทิ ต้องการลดต้นทุนการบริหารงาน, ดำเนินการตามนโยบายภาครัฐ, ดำเนินการตามข้อกำหนดของลูกค้า เป็นต้น

reason

รูปที่ 12)  เหตุผลที่องค์กรต้องการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้าน Emerging Technology

ปัญหาสำคัญที่กลุ่มตัวอย่างแสดงความคิดเห็นเอาไว้เป็นจำนวนมากที่สุดอย่างโดดเด่นคือ การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะความสามารถเกี่ยวกับ Emergin Technology ซึ่งมีจำนวนผู้ตอบถึง 76.40% ตามมาด้วยปัญหาการขาดแคลนแหล่งความรู้ / การฝึกอบรม (49.44%) ขาดงบประมาณ (42.70%), เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถก้าวตามได้ทัน (31.46%) ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ (25.84%) ยังมองไม่เห็นโอกาสทางการตลาด (16.85%) ตามลำดับ ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างยังได้มีการระบุถึงปัญหาอื่นๆ อีกบ้าง อาทิ ผู้บริหารไม่เข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีจึงไม่ได้รับการสนับสนุน หรือลูกค้าไม่ได้ให้ความสนใจกับเทคโนโลยี เป็นต้น

problem

รูปที่ 13)  ปัญหาที่องค์กรพบในการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้าน Emerging Technology

ในด้านการจัดหาหรือพัฒนาบุคลากรด้าน Emerging Technology นั้น จากผลการสำรวจด้วยวิธีการวัดค่าจากมาตรวัดคะแนน 5 ระดับ (5-Point Rating Scale) พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าการพัฒนาบุคลากรไอทีที่มีอยู่เดิมในองค์กรให้มีทักษะความสามารถเพิ่มขึ้นนั้นเป็นวิธีการที่ดีที่สุด (3.31 คะแนน) ตามมาด้วยการจัดหาบุคลากรใหม่ด้วยตนเอง (3.22 คะแนน), การรับสมัครบุคลากรผ่านทางมหาวิทยาลัย (2.72 คะแนน) และการใช้บริการตัวแทนจัดหาบุคลากร (2.07 คะแนน) ตามลำดับ

resource

รูปที่ 14)  ทัศนคติที่มีต่อแหล่งการจัดหาและพัฒนาบุคลากรด้าน Emerging Technology จากคะแนนเต็ม  5.00

ในการสำรวจครั้งนี้ ยังได้เปิดโอกาสให้กลุ่มตัวอย่างสามารถแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากรด้าน Emerging Technology ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเสนอแนะไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ต้องการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และได้รับการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการอย่างเหมาะสม เนื่องจากในปัจจุบันนี้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Emerging Technology ของบุคลากรไทยยังมีความคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่เป็นจริงอยู่มาก ดังนั้น จึงควรจะมีการปูพื้นฐานอย่างจริงจังตั้งแต่การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย และภาครัฐควรจะเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความสนับสนุนผลักดันอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การกำหนดมาตรฐาน หรือการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อการค้นคว้าวิจัย เป็นต้น  นอกจากนี้ ยังควรจะมีการจัดตั้งกลุ่มหรือชุมชนเพื่อเป็นศูนย์รวมการแลกเปลี่ยน แบ่งปัน และพัฒนาองค์ความรู้ระหว่างบุคลากรไอทีของไทยในด้านเทคโนโลยีก่อกำเนิดโดยตรงอีกด้วย

8 ทักษะที่สำคัญของคนไอทีในการทำงานในอนาคต

บ่ายวันจันทร์นี้ทางสถาบัน IMC จะจัดงานสัมมนาในหัวข้อเรื่อง “Technology Trends / AEC 2015 Shaping the IT workforce” โดยได้เชิญวิทยากรมาบรรยายเพื่อชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะมีผลกระทบต่อคนทำงานด้านไอทีอย่างไร ซึ่งทางผมจะมาบรรยายให้เห็นภาพของทางด้านเทคโนโลยีและ AEC นอกจากนี้ได้เชิญดร.จีรพันธ์ แดงเดช คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ABAC มาบรรยายเรื่อง ASEAN IT professional skills & Shaping software engineering skills และสุดท้ายเชิญ คุณวีรชัย โมกขเวศ และ คุณกรรณิการ์ เศรษฐี ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาองค์กรและบุคลากร มาบรรยายในเรื่อง  Softskills for IT Professionals

ในหัวข้อของผมจะกล่าวบรรยายให้เห็นภาพตลาดไอทีของอาเซียนและให้เห็นผลกระทบเมื่อมีการเปิด AEC 2015 และจะเน้นให้เห็นถึงเทคโนโลยีสำคัญ 4 อย่างที่จะเป็น IT Mega Trends คือ Cloud Computing, Mobile Technology, Social Technology และ Information (Big Data) ว่าจะมีผลต่อการทำงานเราอย่างไร  โดยมี Slide การบรรยายดังนี้

ประเด็นสำคัญในการบรรยายก็คือจะกล่าวถึง 8 ทักษะที่จำเป็นของคนไอทีในอนาคต ที่ผมนำมาจาก Forbe โดยมีทักษะต่างๆดังนี้

  • Cloud Computing Technical Skills

การเข้ามาของ Cloud Computing  ทำให้วิธีการดูแล Data Center การพัฒนาโปรแกรม และการใช้ซอฟต์แวร์เปลี่ยนไป ทักษะที่มีความจำเป็นคือการติดตั้งและ Cloud Computing การทำ Virtualization ในแง่ของนักพัฒนาโปรแกรมจำเป็นต้องเรียนรู้การพัฒนาโปรแกรมขึ้น Public Cloud อย่างเช่น Microsoft Azure, Google App Engine, Amazon หรือ  Heroku นอกจากนี้คนไอทีควรจะต้องรู้เครื่องมือที่ Open Source ต่างๆในการพัฒนา Cloud Computing

  • Mobile app development and management

สมาร์ทโฟนและแทปเล็ตกลายเป็นอุปกรณ์หลักที่คนจะใช้เล่นอินเตอร์เน็ตแทนที่โน็ตบุ๊คและพีซี หน่วยงานต่างๆจึงจำเป็นจะต้องพัฒนา Mobile Application  มากขึ้นและมีความต้องการนักพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านโมบายแทบทุก Platform ทั้ง iOS, Android  และ Windows นอกจากนี้  HTML5 จะเป็นภาษาสคริป์ที่หลายๆองค์กรนำมาใช้ในการพัฒนา Mobile Web/App ที่ทำให้ cross platform ได้  อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือการที่องค์กรต่างๆจะให้พนักงานพกอุปกรณ์มาใช้งานเอง (Bring Your Own Device: BYOD) องค์กรจะมีความต้องการหาคนมาทำ Mobile Device Management และ Enterprise App Store มากขึ้น

  • Enterprise architecture and business needs analysis

องค์กรต่างๆจะต้องมีการวางแผนไอทีมากขึ้น ดังนั้นจะมีความต้องการทีมงานที่จะมาทำ Enterprise Architecture มากขึ้น รวมถึงการเข้ามาของ  Cloud Computing จะยิ่งทำให้องค์กรมีความจำเป็นที่จะต้องปรับสถาปัตยกรรมไอทีให้เป็น Service Oriented Architecture (SOA) และต้องทำให้คนทางไอทีกับหน่วยงานอื่นๆในองค์กรทำงานร่วมกันมากขึ้น คนไอทีจึงมีความจำเป็นจะต้องเข้าใจธุรกิจขององค์กรมากขึ้น และต้องมีความรู้ด้าน Business Domain

  • Project management skills

ทักษะการบริหารโครงการยังเป็นที่ต้องการสูง เพราะต้องใช้ความสามารถในการบริหารจัดการความต้องการ และทีมงานที่เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น และเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไปการบริหารความต้องการและการเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งอยากขึ้น ทักษะที่จำเป็นอีกด้านก็คือเรื่องของวิศวกรรมซอฟต์แวร์ (Software Engineering) ที่อาจรวมถึงการเข้าใจมาตรฐานอย่าง CMMI หรือการทำซอฟต์แวร์แบบ Agile

  • Security and compliance

ทักษะด้านความปลอดภัยทางด้านไอทีจะมีความต้องการมากในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้โมบายและ Cloud Computing มากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้ต้องการทักษะใหม่ๆทางด้าน  Mobile Security, Cloud Security รวมถึงทางด้าน Social Network Security นอกจากนี้องค์กรบางแห่งอาจต้องปฎิบัติตามระเบียบและมาตรฐานบางอย่างเช่น Sarbanes-Oxley หรือ HIPAA ความต้องการบุคลากรไอทีที่มีความรู้เรื่อง Compliance  ก็จะเป็นสิ่งจำเป็น

  • Data integration/Big Data and analysis skills

ข้อมูลที่อยู่บน  Cloud จะมีมากขึ้นและจำนวนมากจะเป็น  Unstructured Data  ดังนั้นคนไอทีจะต้องพัฒนาทักษะใหม่ๆทางด้านการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data  ทำให้บุคลากรไอทีต้องมีทักษะการพัฒนาระบบเก็บข้อมูลใหม่เช่น Hadoop การพัฒนาโปรแกรม MapReduce และการใช้ NoSQL Database อย่าง  MongoDB หรือ Big Table  ตลอดจนจะต้องมีความรู้การใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลในการทำ Business Analysis อย่าง Pentaho หรือ SQL Server

  • Contract and vendor negotiation

Cloud Computing จะทำให้รูปแบบการซื้อขายสินค้าไอทีเปลี่ยนไปจาก Product  สู่  Service  ซึ่งจะเป็นการเช่า หรือจ่ายตามการใช้งานมากขึ้น ทำให้รูปแบบของสัญญา ข้อตกลง รวมถึง Service Level Agreement (SLA) เปลี่ยนไป คนไอทีจำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจเรื่องการทำข้อตกลงและต่อรองกับผู้ให้บริการในรูปแบบใหม่นี้

  • Business and financial skills

IT Mega Trends จะทำให้การลงทุนด้านไอที ต้องมีความเข้าใจเรื่องธุรกิจและการลงทุนที่ดีขึ้น เพื่อให้เกิดผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่คุ้มค่า ดังนั้นคนไอทีจะต้องมีความรู้ความเข้าใจทางด้านนี้มากขึ้น

ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

สรุปการอบรม Planning on Mobile Strategy 29-30 พฤษภาคม

เมื่อวันที่ 29-30 พฤษภาคมที่ผ่านมาทาง IMC Institute  ได้จัดการอบรมหลักสูตร Planning on Mobile Strategy  เพื่อให้ความรู้ด้านการวางแผนกลยุทธ์ทางด้านโมบายให้กับผู้บริหารองค์กรต่างๆ โดยได้เชิญวิทยากรที่เป็นกูรูทางด้านนี้จำนวน 12  ท่านร่วมให้ความรู้กับผู้เข้าอบรม บล็อกนี้เลยขอสรุปการบรรยายในการอบรม นำเสนอภาพบรรยากาศและเอกสารการอบรมดังนี้

วันที่ 29 พฤษภาคม

การบรรยายใน session แรกเริ่มโดยตัวผมเองที่ชี้ให้เห็นถึง “Mobile Technology Trends” โดยระบุว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคหลังพีซี ที่การใช้อินเตอร์เน็ตจะผ่านอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟนและแทปเล็ดมากกว่าพีซี และองค์กรต่างๆก็เริ่มสนใจที่จะให้พนักงานนำอุปกรณ์โมบายของตัวเองมาใช้ในการทำงานมากขึ้น (BYOD: Bring Your Own Device) องค์กรเองก็ต้องเริ่มคิดกลยุทธ์ทางด้านโมบายต่างๆเช่น Mobile Commerce, Mobile Social Marketing, Mobile Payment หรือ Mobile Security นอกจากนี้ผมยังได้แสดงให้เห็นเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงานและการใช้ชีวิตของพวกเราเช่น Google Glass ดังวิดีโอนี้

Session ที่สองได้รับเกียรติจากคุณ Mimee (อรนุช) จากThumbsup.in.th มาบรรยายในหัวข้อ “Mobile Social Marketing”  เธอได้นำเสนอให้เห้นภาพรวมของตลาด Social Media ในบ้านเรา และชี้ให้เห็นว่าในปัจจุบันคนเข้าถึงสื่อ  social media   ผ่าน  mobile device มากถึง 64% มากกว่าพีซีที่มีเพียง  36%   พร้อมทั้งกล่าวถึงชนิดของ Mobile Marketing ประเภทต่างๆพร้อมทั้งกรณีศึกษาต่างๆ ปิดท้ายด้วยเทอมต่างๆที่เราควรจะต้องรู้เช่น Gamification, SOLOMO และ ZMOT

การบรรยายใน session ทีี่สามเป็นเรื่อง “กลยุทธ์ด้าน BYOD” โดยได้รับเกียรติจาก อ.ไชยกร (S-Generation) มาเป็นวิทยากรให้ อาจารย์เป็ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน IT Security และมีความเข้าใจเรืองของการบริหารจัดการ  Mobile Devices  ในองค์กร ได้มากล่าวถึงข้อดีข้อเสียของการทำ BYOD ความเสี่ยงที่จะต้องคำนึงถึง สุดท้ายพูดถึงข้อคำนึง 10  อย่างที่จะต้องมีในการทำ BYOD  Strategy  คือ  Business value (ROI), Stakeholders’ expectation, Coverage of service and support, Business risk and need of controls, Security, Balance of Control and Privacy, Classification of data app and network, Current environment and technological dynamic, Consumer technology movement และ Compliance

ถัดมาทาง ดร.บุญนิตย์ มัธยมจันทร์ จากม.มหิดล มาบรรยายเรื่อง “Strategy on Mobile Applications for your organization” โดยชี้ให้เห็นกลยุทธ์ในการทำ Mobile Application สามด้่านคือ  1) การทำ Application สำหรับการใช้งานภาบใน 2) การทำ Application สำหรับลูกค้า และ 3) ด้านนวัตกรรม

และ Session สุดท้ายของวันเป็นกรณีศึกษาจากวิทยากรสามท่าน ท่านแรกคือคุณอภิชัย เรืองศิริปิยะกุลจากบริษัท Think Technology มาพูดถึงกรณีการใช้ Augmented Reality ให้กับหน่วยงานต่างๆทั้งทางด้านการศึกษา งานการตลาด โดยได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้เข้าอบรม ซึ่งทางรายการ MCOT Dot Net ก็เพิ่งเชิญคุณอภิชัยไปออกรายการสาธิตเมื่อต้นสัปดาห์นี้ สำหรับวิทยากรท่านถัดไปใน session นี้คือคุณอุกฤษ์จากบริษัท Apptividia ที่มาแบ่งปันประสบการณ์เรื่องการทำ Digital Publishing Platform และท่านสุดท้ายคุณคุณเฉลิมพล จากบริษัท CRM-C  ที่เล่ากรณีศึกษาการทำ  Enterprise Mobile Applicationโดยเฉพาะระบบ CRM ให้กับหน่วยงานต่างๆ

วันที่ 30 พฤษภาคม

งานอบรมในวันที่สองเริ่มต้นด้วยการบรรยายของ คุณภาวุธ จาก Tarad.com  มาบรรยายในเรื่อง “Mobile Commerce”  โดยเริ่มบรรยายให้เห็นตลาด Mobile Commerce ของทั่วโลกและตลาดที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งทาง Rakuten ผู้ร่วมลงทุนของ Tarad.com มีข้อมูลอยู่ จากนั้นก็แสดงเห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของการใช้มือถือในการ Shopping Online โดยนำข้อมูลบางส่วนมาจากประสบการณ์จริงของ  Tarad.com  สุดท้ายได้ยกตัวอย่างโปรเจ็คที่ทาง Tarad.com ทำร่วมกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ในการเปิดโอกาสให้ผู้โดยสารสามารถ shopping online ได้ที่สถานีรถไฟฟ้า

Session เป็นการบรรยายโดยคุณปฐม จาก ARiP ที่มาให้ข้อมูลเรื่อง “Mobile Device Battles” โดยให้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขต่างๆทางด้านตลาดสมาร์ทโฟนและ Tablet ทั่วโลก ร่วมทั้งข้อมูลในประเทศไทย ภาพที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือจำนวนยอดขายของสมาร์ทโฟนและ Tablet มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะจำนวน Mobile Phone ที่ขายในปี 2017 ถึง 2.1 พันล้านเครื่อง และมียอด  Tablet  467 ล้านเครื่อง ขณะที่ยอดจำหน่ายพีซีและ Notebook จะลดลงมาเหลือเพียง 217 ล้านเครื่อง โดยเราจะเห็น Android เป็นเจ้าตลาดของสมาร์ทโฟน

อ.ปริญญา หอมเอนก มาในบรรยาย Session ที่สามเรื่องของ “Mobile Security”  โดยได้ Highlight ให้เห็นภัยทางด้านความปลอดภัยไอทีจากการใช้สมาร์ทโฟน โดยแสดงให้เห็นกรณีศึกษาต่างๆ ตามมาด้วย Session ของคุณนพพร จาก Digio (Thailand) ที่มากล่าวถึง “Mobile Payment

Session ในตอนบ่ายเป็น Workshop เรื่อง  “How to develop and evaluate a mobile strategy for your organization” โดย Ville Kulmala  จาก Mobile Spark และเป็น Chairman ของ Mobile Monday Thailand ซึ่งทาง Ville ได้ระบุว่าการทำกลยุทธ์จะต้องพิจารณาสามด้านคือ Demand, Supply และ Governance and Risk  โดยมีการให้ผู้อบรมได้ร่วมกันศึกษาการทำกลยุทธ์สำหรับกรณีศึกษาที่ทาง Ville  ได้ตั้งขึ้น และทาง Ville ก็มีตัวอย่าง Template ของการกำหนด BYOD Strategy ขององค์กร

และเอกสารการอบรมทั้งหมดสามารถ Download ได้จาก https://dl.dropboxusercontent.com/u/12655380/mobile-strategy-all.pdf

ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Instittute

การลงทุนด้าน IT ของประเทศต่างๆในกลุ่ม ASEAN

เมื่อเร็วๆนี้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งใน ATCI โทรมาถามผมว่า ผมมีตัวเลข IT Spending ของประเทศในกลุ่ม ASEAN หรือไม่ เพราะท่านต้องการจะเปรียบเทียบการใช้จ่ายทางด้านไอทีกับการเติบโตของอุตสาหกรรมไอทีในประเทศว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร ผมเลยไปค้นหาข้อมูลตัวเลขดังกล่าวโดยได้ข้อมูลของ Business Monitor International (BMI) ที่พอสรุปได้ดังนี้

Screen Shot 2556-05-13 at 7.51.56 AM

ประเทศสิงคโปร์

BMI คาดการณ์การใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศสิงคโปร์ในปี 2012 คือ  6.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 944 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที (IT Service) 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยภาครัฐบาลเป็นกลุ่มที่มีการลงทุนทางด้านไอทีมากที่สุด โดยมีมูลค่างานทางด้่านไอทีสูงถึง 890 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะการลงทุนทางด้าน Public และ Private Cloud ของภาครัฐในหลายๆหน่้วยงานอาทิเช่น กระทรวงศึกษาธิการ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และสนามบินสิงคโปร์ นอกจากนี้สิงคโปร์ยังมีการขยายตัวการลงทุนทางด้านซอฟต์แวร์ในกลุ่ม SME โดยเฉพาะโปรแกรมทางด้าน ERP และ CRM นอกจากนี้ทาง  BMI คาดการณ์ว่าตัวเลขประมาณการใช้จ่ายด้านไอทีของสิงคโปร์จะโตขึ้นเป็น 9.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016

ประเทศมาเลเซีย

BMI คาดการณ์การใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศมาเลเซียในปี 2012  คือ  5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ  โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 873 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที  1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ  โดยตัวเลขการใช้จ่ายไอทีปี 2012 เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเที่ยบกับปี  2011 ก็เนื่องมาจากการโตขึ้นของการใช้ Cloud Computing  ของหน่วยงานต่างๆโดยเฉพาะในกลุ่ม SME โดยมีผู้ให้บริการในประเทศหลายรายเช่น Maxis Cloud นอกจากนี้ทางรัฐบาลมาเลเซียยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ภายในประเทศเพื่อขึ้นอยู่บนระบบ Cloud Computing  ส่วนตัวเลขทางด้านฮาร์ดแวร์ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการเพิ่มการเข้าถึงของ Broadband ของรัฐบาลทำให้มียอดจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีมากขึ้น

 ประเทศอินโดนีเซีย

BMI คาดการณ์ว่ายอดการใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศอินโดนีเซียในปี  2012  จะเพิ่มขึ้นถึง 11% คือ  5.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ  โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 687 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที  989 ล้านเหรียญสหรัฐ  จะเห็นได้ว่ายอดการใช้จ่ายด้านไอทีเกือบ  70% จะอยู่ทางด้านฮาร์ดแวร์ทั้งนี้เนื่องจากการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในประเทศอินโดนีเซียยังมีเพียง 20% จึงยังมีความต้องการทางด้านฮาร์ดแวร์อีกมาก โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มาจากประเทศจีน  Cloud Computing ก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่บริษัทต่างๆให้ความสนใจตลาดในประเทศอินดีเซีย อาทิเช่นทางบริษัท  Microsoft  มีแผนงานที่จะลงทุนระบบ Cloud Computing ร่วมกับบริษัทด้านโทรคมนาคม Telekom เป็นจำนวนเงินถึง 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ทางทาง  BMI คาดการณ์ว่าตัวเลขประมาณการใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์ของอินโดนีเซียจะโตขึ้นเป็น 11.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016 เมื่อมีการเข้าถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น

 ประเทศฟิลิปปินส์

BMI คาดการณ์ว่ายอดการใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศฟิลิปปินส์ในปี  2012  จะเพิ่มขึ้นถึง 19% คือ  3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ  โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 401 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที  996 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีเทคโนโลยีด้าน Cloud Computing เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่ามีการลงทุนจากบริษัทต่างๆที่ให้ความสำคัญทางด้านนี้หลายรายอาทิเช่น บริษัท  Microsoft  ที่ร่วมมือกับบริษัทโทรคมนาคมในประเทศอย่าง PLDT และบริษัท Datacraft ทั้งนี้ภาครัฐเองก็มีการลงทุนทางด้านไอทีค่อนข้างมากจากส่วนของศุกลากร สาธารณสุข คณะกรรมการการเลือกตั้ง และภาคการศึกษา นอกจากนี้ทาง  BMI คาดการณ์ว่าตัวเลขประมาณการใช้จ่ายด้านไอทีของฟิลิปปินส์จะโตขึ้นเป็น 4.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016

 ประเทศเวียดนาม

BMI คาดการณ์ว่ายอดการใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศเวียดนามในปี  2012  จะเพิ่มขึ้นถึง 15% คือ  2.53 พันล้านเหรียญสหรัฐ  โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 222 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที  474 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ทางภาครัฐมีแผนนโยบายไอซีที ระหว่างปี  2010-2020 และทำให้คาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนทางไอทีของภาครัฐสูงถึง  17 พันล้านเหรียญสหรัฐใน 5 ปีข้างหน้าโดยเป็นทางด้านฮาร์ดแวร์สูงถึง  1.2  พันล้านเหรียญสหรัฐ  นอกจากนี้ทาง BMI ยังระบุว่าองค์กรต่างๆในประเทศเวียดนามมีความต้องการโซลูชั่นทางด้่าน ERP อยู่มาก และตลาดทางด้าน  Cloud Computing จะโดขึ้นถึง 300% ในห้าปีข้างหน้า  นอกจากนี้ทาง  BMI คาดการณ์ว่าตัวเลขประมาณการใช้จ่ายด้านไอทีของเวียดนามจะโตขึ้นเป็น 4.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016

 ประเทศไทย

BMI ระบุว่าตลาดการใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศไทยมีมูลค่าสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยคาดการณ์การใช้จ่ายด้านไอทีในปี 2012 ไว้ที่  6.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ 893 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบริการไอที (IT Service) 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลาดฮาร์ดแวร์ในประเทศไทยโตขึ้นจากความต้องการใช้เทคโนโลยีโมบาย และนโยบายของภาครัฐบาลในการแจกเครื่องแทปเล็ตให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษา  นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่านโยบายทางด้าน Cloud Computing ของภาครัฐจะทำให้ตลาดทางด้านนี้โตขึ้นถึง 200-300% ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ทาง  BMI คาดการณ์ว่าตัวเลขประมาณการใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศไทยจะโตขึ้นเป็น 9.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016

นอกจากนี้ผมยังค้นไปเจอข้อมูลของ IDC ที่เป็นภาพกราฟฟิกประมาณการ IT Spending ของ ASEAN  ในปี 2015 ดังรูปนี้

Image

ธนชาติ นุ่มนนท์

ผอ. IMC Institute

กระแสของ Mobile Commerce / Mobile Banking/ Mobile Payment ในประเทศไทย

เราคงปฎิเสธไม้ได้ว่ากระแสของเทคโนโลยีโมบายอย่างเครืองแทปเล็ตและสมาร์ทโฟนได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปอย่างมากในด้านต่างๆของการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน การอ่านข่าวสาร รวมไปถึงการซื้อสินค้า รายงานเทคโนโลยี Connected World ของบริษัท Cisco ที่ออกเมื่อเร็วๆนี้ (C2012 Cisco Connected World Technology Report)  มีบทวิเคราะห์ที่สำรวจพฤติกรรมของคนใน Generation Y ที่อายุระหว่าง 18-30 ปี พบว่า 60% ของคนกลุ่มเหล่านั้นจะใช้ชีวิตออนไลน์อยู่ตลอดเวลา และหากให้เลือกใช้อุปกรณ์ชิ้นเดียว 2/3 ของคนเหล่านั้นจะเลือกใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟนมากกว่าเครื่องโน็ตบุ๊ค

เรากำลังก้าวเข้ามาสู่โลกยุดหลังพีซี ที่มีอุปกรณ์โมบายเป็นตัวขับเคลื่อน ภาคธุรกิจ ภาคราชการ ภาคการศึกษา ทำให้ผู้ใหญ่ในวัยอื่นๆ รวมถึงผู้บริหารในองค์กรต่างๆจำเป็นจะต้องปรับตัวและเข้าใจบริบทที่กำลังปรับเปลี่ยนไป เพื่อให้เห็นภาพของกระแสที่ปรับเปลี่ยนไปในเชิงธุรกิจผมขอยกตัวอย่างกรณีของ Mobile Commerce / Mobile Payment และ Mobile Banking มาให้ทุกท่านได้ศึกษาดังนี้

Mobile Commerce

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาทาง Mastercard ได้ออกรายงานผลสำรวจการซ็อปปิ้งออนไลน์ (MasterCard Online Shopping Survey) พบว่าผู้บริโภคในเอเซียกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อขายออนไลน์จากเครื่องพีซีมาใช้สมาร์ทโฟน โดยพบว่าผู้ซื้อมากกว่าครึ่งในประเทศไทยซื้อสินค้าผ่านสมาร์ทโฟน

การสำรวจทำโดยการสอบถามพฤติกรรมผู้บริโภคจำนวน 7,011 คนในภูมิภาคนี้ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2012 และพบว่าผู้คนในประเทศจีนมีคะแนนนำในเรื่องของพฤติกรรมที่ชอบ shopping online โดยมีคะแนนที่ 102 ตามด้วย นิวซีแลนด์ 87 และ ออสเตรเลีย 85 ส่วนประเทศไทยอยู่อันดับ 5 ที่คะแนน 80 ซึ่งดัชนีของประเทศจีนมีคะแนนสูงขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของ Online Shopping มากขึ้น

นอกจากนี้ทาง  Mastercard ยังพบว่าผู้บริโภคที่ตอบแบบสอบถามในประเทศอินโดนีเซียทำ Online Shopping ผ่านสมาร์ทโฟนเป็นอันดับหนึ่งคือร้อยละ 54.5% ตามด้วยประเทศจีน 54.1% และประเทศไทย 51% ส่วนสินค้าที่คนไทยใช้บริการผ่าน online shopping ค่อนข้างเยอะคือกลุ่มประเภทดาวน์โหลดเพลงคิดเป็นร้อยละ 45 และสินค้าแฟชั่นร้อยละ 43

Image ผลการสำรวจพฤติกรรม Online Shopping ของประเทศในกลุ่ม APAC ของ Mastercard

Mobile Banking

ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (Use of Mobile Banking and Internet Banking) เมื่อเดือนธันวาคม 2012 ระบุว่ามีบัญชีธนาคารในประเทศไทย 6,645,161 บัญชีที่ใช้ Internet Banking และมียอดทำธุรกรรมโดยรวม 1,233 พันล้านบาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังเห็นจำนวนผู้ใช้บริการ  Mobile Banking เพิ่มขึ้นเป็น 864,312 บัญชี ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจากจำนวน 688,178 บัญชีเมื่อเดือนมกราคม 2012  และมีจำนวนธุรกรรมต่อเดือนผ่าน Mobile Banking 3.68 ล้านครั้งต่อเดือนเป็นเงินรวม 49 พันล้านบาท

ในแง่ของ Mobile Banking Application เราเริ่มที่จะเห็นธนาคารต่างๆเริ่มที่จะพัฒนา  Mobile Application ให้บริการแก่ลูกค้ามากขึ้น ทั้งบน iPhone หรือ Android  อาทิเช่น K-Mobile Banking Plus ของธนาคารกสิกรไทย SCB Easy ของ ธนาคารไทยพาณิชย์ KTB netbank ของธนาคารกรุงไทย นอกจากนั้นหลายๆธนาคารก็ให้บริการ Mobile Web เช่น m.scbeasy.com ของธนาคารไทยพาณิชย์ที่สามารถใช้บริการผ่าน Mobile Browser ได้

Image

ตัวอย่าง  Mobile Application ของธนาคารกสิกรไทย

Mobile Payment

ในแง่ของการชำระเงินผ่านอุปกรณ์มือถือ นอกจากการให้บริการผ่าน   SMS, Mobile Web หรือ Mobile Application แล้ว อุปกรณ์สมาร์ทโฟนยังมีรูปแบบการชำระผ่านเทคโนโลยีใหม่เช่น NFC แต่จากการสำรวจของ Mastercard พบว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่ในเอเซียยังใช้ช่องทางการชำระเงินบนโมบายผ่าน mobile banking apps  ซึ่งมีผู้ที่เคยชำระเงินผ่านช่องทางนี้ถึง 45% นอกจากนี้ยังเป็น  in-social-networking-app shopping 34% ขณะที่การชำระผ่าน SMS/MMS เป็น 31% ส่วน Mobile NFC ยังมีผู้ที่เคยชำระทางช่องนี้เพียง  25% แต่ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 70.3 สนใจที่จะชำระเงินผ่านระบบ NFC ในอนาคต

Image

Mobile Payment Readiness Index ของ  Mastercard

นอกจากนี้ทาง Mastercard ยังได้จัดทำ Mobile Payment Readiness Index 2012 ซึ่งจากรายงานพบว่าประเทศไทยมีคะแนนอยู่ในอันดับที่ 20 จาก 34 ประเทศ โดยได้ 31.6 คะแนน ขณะที่สิงคโปร์มีคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง 45.6  ตามด้วย Canada สหรัฐอเมริกา และ Kenya  ทั้งนี้การวัดความพร้อมดูจากคะแนนในหลายๆด้าน อาทิเช่นความพร้อมของผู้บริโภค สภาวะแวดล้อม การบริการด้านการเงิน โครงกสร้างพื้นฐาน เครือข่ายด้าน M-Commerce และ กฎระเบียบ ที่น่าสนใจคือประเทศไทยจะโดดเด่นด้านความพร้อมของผู้บริโภคที่ต้องการเรื่อง Mobile Payment โดยเราจะอยู่ในกลุ่มนำในด้านนี้ร่วมกับประเทศอย่าง เคนย่า ไนจีเรีย จีน เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า กระแสเรื่องของ Mobile Commerce / Mobile Banking และ Mobile Payment เริ่มเข้ามาแรงในกลุ่มผู้บริโภคในประเทศไทย คงต้องถึงเวลาที่ภาคธุรกิจต้องเริ่มปรับตัวรองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคที่กำลังมาพร้อมกับกระแสของเทคโนโลยีโมบาย

ดร.ธนชาติ นุ่มมนท์

ผู้อำนวยการ IMC Institute

หมายเหตุ ทาง IMC Institute  จะเปิดอบรมหลักสูตร Planning on Mobile Strategy ระหว่างวันที่ 29-30 พฤษภาคม โดยรวบรวมวิทยากรหลายท่านมาพูดถึงการวางแผนกลยุทธ์เพิื่อรองรับเทคโนโลยีโมบายขององค์กร

 

การวางแผน Mobile Strategy ขององค์กร

mobile-banner5

เมื่อต้นปีนี้ทาง IDC ได้ออกรายงานคาดการณ์ยอดขายอุปกรณ์โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยในปี 2556 ว่าจะมีจำนวน smartphone ที่จะ shipment ในปีนี้ 7.3 ล้านเครื่ิอง เครื่อง Tablet ประมาณ 3.5 ล้านเครื่อง ส่วนเครื่อง notebook  จะมีประมาณ 2.5 ล้านเครือง และเป็นเครื่อง Desktop อีก 1.5 ล้าน จากข้อมูลนี้จะเห็นว่าจำนวนยอดขายของ Smartphone มีจำนวนสูงมากเมื่อเทียบกับเครื่อง notebook และ desktop รวมกัน นอกจากนี้จำนวน Tablet ที่ shipment ในประเทศก็มีจำนวนมากกว่า Notebook ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลของ Morgan Stanley ที่ประมาณการจำนวน shipment ของเครื่อง smartphone, tablet และ PC ว่่าจะเห็นแนวโน้มของ Smartphone ทั่วโลกมีจำนวน shipment ถึง 1.1 พันล้านเครื่องในปี 2015 โดยมีจำนวนของ PC เป็น 535 ล้านเครื่อง และจำนวน Tablet ประมาณ 326 ล้านเครื่อง

Image

จากจำนวนเครื่อง Smartphone และ Tablet ที่มีมากกว่า PC ทำให้แนวโน้มของผู้ใช้จะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตจะมาจากอุปกรณ์โมบายมากกว่าเครื่องพีซี และทำให้โลกของไอทีกำลังเปลี่ยนแปลงจากจากยุคที่ใช้เครื่อง Desktop หรือ Notebook เป็นหลักโดยทีมี OS หลักๆจะเป็น Windows OS มาสู่ยุคหลังพีซี (Post-PC) ที่ผู้ใช้ไม่ได้ใช้พีซีเป็นหลักแต่ผู้ใช้จะเลือกอุปกรณ์ที่หลากหลายและ OS  หลายๆระบบ เช่นอาจเป็น smartphone หรือ Tablet ที่เป็น iOS, Android  หรือ  Windows 8

ในยุคของพีซีและอินเตอร์เน็ตองค์กรต่างๆก็เตรียมกลยุทธ์ทางด้านอินเตอร์เน็ตหรือเว็บขององค์กร (Internet Strategy or Web Strategy) กล่าวคือองค์กรต้องวางแผนระบบอีเมล์ วางแผนการทำเว็บไซต์ การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อติดต่อสื่อสารหรือการประชาสัมพันธ์องค์กร การติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตหรือ  WiFi ในองค์กร ตลอดจนการติดตั้งระบบ  e-Service ให้กับองค์กร รวมไปถึงการทำ e-Commerce และเมื่อโลกการใช้ไอทีเปลี่ยนเป็นยุคหลังพีซีโดยมีการใช้โมบายกันอย่างกว้างขวาง องค์กรต่างก็เริ่มที่จะต้องพัฒนากลยุทธธ์ด้านโมบาย  (Mobile Strategy) ขององค์กร เพื่อที่กำหนดแนวทางการนำอุปกรณ์โมบายมาใช้ในองค์กรให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตาม Gartner ได้แสดงผลสำรวจให้เห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่ใน Fortune 1000 กว่า 60% จะยังขาดการวางแผน  Mobile Strategy ที่สมบูรณ์ในปี 2014

Image

Mobile Strategy จะช่วยให้องค์กรลดค่าใช้จ่ายและยังมีส่วนช่วยทำให้องค์กรมีแผนการนำเทคโนโลยีโมบายมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาจครอบคลุมด้านต่างๆอาทิเช่น

  • การให้พนักงานนำอุปกรณ์โมบายมาใช้ในองค์กร (BYOD: Bring Your Own Devices) องค์กรอาจต้องกำหนดนโยบายการนำอุปกรณ์ smartphone, tablet หรือ notebook เข้ามาใช้ในองค์กร การป้องกันข้อมูลขององค์กร นโยบายการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโมบายให้แก่พนักงาน การกำหนดนโยบายการใช้ Application หรือการใช้ WiFi
  • กลยุทธ์การทำงานผ่านอุปกรณ์โมบาย เพื่อที่จะนำ Application ต่างๆมาใช้และปรับวัฒนธรรมการทำงานที่อาจนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เกิดการทำงานแบบทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์มากขึ้น รวมถึงการทำงานร่วมกันผ่านอุปกรณ์โมบาย ขณะเดียวกันก็ต้องแบ่งสรรเวลาให้ดีทั้งเรื่องของงานและเรื่องส่วนตัว
  • กลยุทธ์ด้่าน Mobile Marketing หรือ Mobile Social Media เนื่องจากในปัจจุบันลูกค้าหรือบุคคลภายนอกได้เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์โมบายมาเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากกว่าอุปกรณ์พีซี องค์กรก็จะต้องกำหนดกลยุทธ์ในการทำการตลาด การพัฒนา Application ผ่าน Mobile ที่จะให้ถึงผู้ใช้มากขึ้น อาทิเช่นอาจต้องพัฒนาเว็บไซต์ให้สามารถเรียกดูผ่านอุปกรณ์โมบายได้ การทำ Mobile Social Media
  • กลยุทธ์ด้าน Mobile Commerce กระแสด้าน e-Commerce กำลังเปลี่ยนไปสู่ยุคของ m-Commerce ที่ผู้ใช้เริ่มทำการ shopping ผ่านอุปกรณ์อย่าง smartphone หรือ Tablet มากขึ้น องค์กรจึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ทางนี้ รวมทั้งการทำ Mobile Payment
  • กลยุทธ์ด้านการนำเทคโนโลยีด้านโมบายใหม่ๆอาทิเช่น QR Code, NFC  หรือ Tectile มาใช้งาน

จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า Mobile  Technology กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนในการเข้าถึงข้อมูล และมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์กรยุคใหม่เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ดังนั้นองค์กรต่างๆจำเป็นต้องมี  Mobile Strategy  เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันและสามารถที่จะกำหนดนโยบายการใช้จ่ายด้านไอทีให้มีประสิทธิภาพ

www.imcinstitute.com/mobile

แผนยุทธศาสตร์ไอซีทีของประเทศในกลุ่มอาเซียน

เมื่อเร็วๆนี้ผมได้วาดภาพกราฟฟิก เพื่อแสดงให้เห็นถึงแผนแม่บทด้านไอซีทีของประเทศต่างๆในกลุ่ม ASEAN โดยจะเห็นได้ว่า ASEAN มีแผนที่เรียกว่า ASEAN ICT Masterplan 2015 และในแต่ละประเทศก็จะมีแผนแม่บทไอซีทีของตนเอง ผมจึงตั้งใจที่จะเขียนบล็อกนี้มาขยายความเพื่อให้เข้าใจถึงแผนแม่บทต่างๆที่ได้อ้างอิงถึง

Image

ASEAN ICT Masterplan 2015

แผนยุทธศาสตร์ด้านไอซีทีของ ASEAN เกิดจากมติที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ TELMIN เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2008 ที่ได้เห็นชอบโครงการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียน หรือ ASEAN ICT MASTERPLAN 2015 และอนุมัติการสนับสนุนเงินจากกองทุน ASEAN ICT Fund เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดทิศทางกิจกรรมความร่วมมือด้านไอซีทีและสนับสนุนการรวมกลุ่มของอาเซียน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านไอซีที

หลังจากนั้นในการประชุม TELMIN ครั้งที่ 10 เมื่อเดือนมกราคม 2011 จึงได้มีการรับรองแผนแม่บท ASEAN ICT Masterplan 2015 และมีการประกาศแผนแม่บทฉบับดังกล่าวอย่างเป็นทางการ โดยเป็นแผนแบบเบ็ดเสร็จที่มีการระบุยุทธศาสตร์ แผนการดำเนินงาน เป้าหมาย รวมทั้งระยะเวลาการดำเนินการภายใน 5 ปีที่ชัดเจน

ดร.มนู อรดีดลเชษฐ์ ได้เคยเขียนบทความที่สรุปแผนแม่บท  ASEAN ICT Masterplan 2015  ไว้เป็นภาษาไทยไว้ที่ http://www.ddn.ac.th/web/aseanictmasterplan2015.pdf ซึ่งในเนื้อหาจะเห็นได้ว่าแผนมีบทจะมียุทธศาสตร์ที่สำคัญ  6 ด้านคือ

  • การปฎิรูปทางเศรษฐกิจ
  • การเสริมสร้างพลังใหัแก่ประชาชนและให้ประชาชนมีส่วนร่วม
  • การสร้างนวตกรรม
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  • การพัฒนาทุนมนุษย์
  • การลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี

ดังแสดงในรูป โดยแผนแม่บทฉบับจริงสามารถที่จะ download ได้ที่ www.asean.org แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณาแผนแม่บทฉบับนี้ จะเห็นได้ว่ามีเพียงกรอบเวลาการทำงานคร่าวๆและไม่มีตัวชี้วัดที่ขัดเจน

Image

แผนแม่บท  iN2015 ของสิงคโปร์

Intelligent Nation 2015 (iN2015) เป็นแผนแม่บทด้านไอซีทีของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2005 ที่กำหนดให้ในสิบปีข้างหน้าที่จะผลักดันให้สิงคโปร์กลายเป็น Intelligent Nation โดยใช้ศักยภาพของ Infocomm ซึ่งแผนแม่บทนี้ได้ถูกร่างโดยหน่วยงานที่ชื่อ Infocomm Development Authority (IDA)

ซึ่งวิสัยทัศน์ของแผนกำหนดไว้ว่า “Singapore: An Intelligent Nation, A Global City, Powered By Infocomm.

เป้าหมายหลักของแผน iN2015 มีดังนี้

  • ผลักดันให้สิงคโปร์เป็นประเทศอันดับหนึ่งของโลกในการที่จะนำ Infocomm มาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม
  • เพื่มมูลค่าอุตสาหกรรมด้าน Infocomm  เป็นสองเท่าคือมีมูลค่า $26 พันล้านเหรียญสิงคโปร์
  • เพิ่มมูลต่าการการส่งออกทางด้าน เป็นสามเท่าคือมีมูลค่า $60 พันล้านเหรียญสิงคโปร์
  • เพิ่มงานด้าน Infocomm อีก  80,000 ตำแหน่ง
  • ทำให้มีการใช้งาน Broadband  ตามบ้านถึงร้อยละ 90
  • ทำให้ทุกบ้านที่มีเด็กที่จะต้องศึกษาในโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์ใช้งาน

และเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย แผนแม่บทได้กำหนดยุทธศาสตร์สี่ด้านคิอ

  • ผลักดันให้กลุ่มอุตสาหกรรมหลักต่างๆ ภาครัฐ และสังคมมีนวัตกรรมการใช้ Infocomm  มากขึ้น
  • มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน Infocomm ที่มีความเร็วสูง ชาญฉลาด และน่าเชื่อถือ
  • มีการพัฒนาอุตสาหกรรม Infocomm  ที่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้
  • มีการพัฒนากำลังคนด้าน Infocomm ที่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้

โดยเราสามารถที่จะศึกษาดูแผนของ  iN2015 ได้จากรายงานของ iN2015 Steering Committee >> รายงาน

แผนแม่บท Digital Strategy ของฟิลิปปินส์

แผนแม่บทของฟิลิปปินส์เป็นแผน 5 ปีตั้งแต่ปี  2011 ซึ่งเป็นแผนต่อจากแผนแรกเมื่อปี  2006-2010 โดยชูคำว่า “Transform 2.0 : Digitally Empowered Nation”  แผนของฟิลิปปินส์จะให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรม BPO (Business Process Outsourcing), KPO (Knowledge Process Outsourcing), CPO (Creative Process Outsourcing), ITO (IT Outsourcing)  รวมถึงด้าน e-Government และงานด้านสังคม โดยได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว่ว่า

““A digitally empowered, innovative, globally competitive and prosperous society where everyone has reliable, affordable and secure information access in the Philippines. A government that practices accountability and excellence to provide responsive online citizen-centered services. A thriving knowledge economy through public-private partnership.”

โดยมียุทธศาสตร์สี่ด้านดังรูปคือ

  • การลงทุนในการให้ประชาชนมีทักษะในการใช่้ไอซีที
  • การให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต
  • ยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมไอซีทีและนวัตกรรมทางธุรกิจ
  • การมีบริการ e-service ของรัฐบางที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส

Image

สำหรับเป้าหมายที่สำคัญของแผนแม่บทนี้คือ

  • การเพิ่มรายได้ของอุตสาหกรรม ITO และ  BPO เป็น $20  ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตั้งเป้าที่จะมีสัดส่วนการตลาดของ BPO ในโลกถึง 9% ในปี 2016
  • เพิ่มจำนวนงานของ IT/BPO ให้เป็น 900,000  ตำแหน่งในปี 2016
  • ให้มีสัดส่วนการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ความเร็วอย่างน้อย 2  Mbps ตามบ้านให้ได้ร้อยละ 80

เราสามารถที่จะ download แผนแม่บท Digital Strategy  ฉบับเต็มได้ที่ >> แผนแม่บท

แผนแม่บทไอซีทีของประเทศเวียดนาม

นายกรัฐมนตรีของเวียดนามได้อนุมัติแผนแม่บทไอซีมีของเวียดนามเมื่อเดือนกุมภาพันธ์  2010 โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันเวียดนามให้กลายเป็นประเทศที่ี่มีความก้าวหน้าด้าน ICT ในปี  2020 ( “Transforming Vietnam into and advanced ICT”) นอกจากนี้รัฐบาลเวียดนามยังมีการอนุมัติแผนการพัฒนาบุคลากรด้านไอทีถึงปี  2015 และมุ่งเป้าปี 2020 (IT HR development up to 2015 and toward 2020.) ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี  2009

แผนแม่บทไอซีทีมีเป้่าหมายต่างๆที่สำคัญดังนี้

  • ต้องการเพิ่มให้อุตสาหกรรมไอซีทีมีรายได้รวมเป็นสัดส่วนร้อยละ  10% ของ รายได้รวมประชาชาตื GDP ในปี  2020
  • ผลักดันให้เวียดนามติด  Top Ten  ในประเทศทางด้านการบริการ Outsourcing เรื่อง Software และ Digital Content
  • ผลักดันให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เป็น sector  ทีมีการเจริญเติบโตมากสุด
  • ต้องการเพิ่มจำนวนแรงงานทางด้านอุตสาหกรรมไอซีทีให้เป็น  1 ล้านคนในปี 2020
  • ให้มีการใช้  Mobile Broadband  ครอบคลุมถึง 95% ของจำนวนประชากร
  • ให้ประชากรร้อยละ 70 สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้
  • ให้มีอินเตอร์เน็ตเข้าถึงตามบ้านร้อยละ 50-60%

ตัวแผนแม่บทฉบับจริงของเวียดนามหาค่อนข้างยาก แต่มี Presentation ที่สรุปสั้นๆสามารถดูได้ที่ >> Vietnam ICT

แผนแม่บทไอซีทีของมาเลเซีย

รัฐบาลมาเลเซียมีแผนในการที่จะผลักดันให้ประเทศเป็นชาติที่มีรายได้สูง  (High-Income Nation)  ในปี 2020 :ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวเมื่อปี 2011 ว่ากำลังเตรียมพัฒนาแผน Digital Malaysia โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ

  • จะให้ทุกบ้านสามารถเข้าถึง Broadband Internet ได้ในปี 2020
  • จะผลักดันให้อุตสาหกรรมไอซีทีมีรายได้รวม7% ของรายได้รวมของชาติ (GNI)
  • จะผลักดันให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ด้่นไอซีทีอีก 160,000  ตำแหน่ง

แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารค้นหาแผนแม่บทของมาเลเซียล่าสุดได้ เข้าใจว่ายังอยู่ระหว่างการทำแผน

สำหรับแผนแม่บทไอซีทีของมาเลเซียคือ National IT Agenda (NITA) ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี  1996  โดยในช่วงแรกได้เน้นเรื่องการพัฒนา Multimedia Super Corridor (MSC) และกลยุทธ์ก็จะเน้นอยู่ในห้าด้านคือ E-Community, E-Public Services, E-Learning, E-Economy และ E-Sovereignty โดย  NITA จะมีองค์ประกอบสำคัญสามด้านคือ คน (people) โครงสร้่างพื้นฐาน (Infostructure)  และ แอพพลิเคชั่น ดังรูป

Image

สำหรับรายละเอียดของ National IT Agenda สามารถดูไดที่เว็บไซต์ http://nitc.mosti.gov.my/

นโยบายและแผนแม่บทไอซีทีของประเทศไทย

สำหรับประเทศไทยเราจะมีกรอบนโยบายไอซีทีฉบับที่สอง ICT 2020  (2011-2020) ซึ่งต่อจากแผน ICT2010  และได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนกันยายน 2010 และก็มีแผนแม่บทไอซีที ICT Masterplan 2 (2009-2013)  ที่ขอความเห็นชอบจากครม.เมื่อสิงหาคม 2009

โดยตัวกรอบนโยบาย ICT 2010 ฉบับเต็มสามารถที่จะดูรายละเอียดได้ที่ >> กรอบนโยบาย ICT 2010

และแผนแม่บท ICT Masterplan  2009-2013 สามารถดูรายละเอียดได้ที่ >> ICT Masterplan

กรอบนโยบาย ICT 2010  จะเน้นเรื่องของ “Smart Thailand”  โดยมีเป้าหมายที่สำคัญหลักคือ

  • ประชากรทั่วประเทศร้อยละ 80 สามารถเข้าถึง Broadband  ได้ในปี 2015 และ ร้อยละ 95 ในปี 2020
  • ประชาชนไม่น้อยกว่าร้อยละ  75 สามารถใช้ประโยชน์จากไอซีทีได้อย่างรู้เท่าทัน และเพิ่มการจ้างงานบุคลากรไอซีทีไม่น้อยกว่า 3% ของการจ้างงานทั้งหมด
  • เพิ่มอัตราส่วนของอุตสาหกรรมไอซีทีให้มีมูลค่าเพ่มต่อ GDP ไม่น้อยกว่า 18%
  • ยกระดับความพร้อมด้านไอซีทีโดยรวม เพื่อให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาสูงที่สุดร้อยละ 25 ของ  Network Readiness Index
  • ผลักดันให้เกิดการจ้างงานแบบใหม่ที่เป็นการทำงานผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
  • ประชาชนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ตระหนักถีงความสำคัญและบทบาทของไอซีทีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

กรอบนโยบาย ไอซีที 2020 ได้กำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 7ด้านดังแสดงในรูป

Image

สำหรับแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ฉบับที่ 2 ได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า “ประเทศไทยเป็นสังคมอุดมปyญญา  (Smart Thailand) ด้วย ICT”  ซึ่งแผนแม่บทฉบับที่สองกำหนดจะสิ้นสุดในปีนี้ และทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศก็คงผลักดันร่างแผนฉบับที่ 3 ต่อ

ประเทศไทยอาจจะแตกต่่างกับประเทศอื่นๆพอสมควรในเรื่องของแผนไอซีที เพราะเรามีหลายแผนและยังมีนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีที่อาจเปลี่ยนแปลงตลอด จึงทำให้ขาดความต่อเนื่องเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆที่จะให้ความสำคัญกับกรอบนโยบายหรือแผนแม่บท มากกว่าจะเปลี่ยนแปลงตามผู้บริหารของประเทศหรือกระทรวงอยู่ตลอดเวลา

สุดท้ายผมขอนำภาพให้เห็นว่า แผนและนโยบายไอซีทีของประเทศไทยถูกกำหนดมาจากส่วนใดบ้าง เพื่อให้ทุกคนเห็นถึงความหลากหลายตามที่กล่าวไว้

Image

การแข่งขันด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของไทยบนเวทีอาเซียน

ในตอนที่แล้วผมได้เขียนถึง ขีดความสามารถการแข่งขันด้าน ICT ของไทยเมื่อเทียบกับประเทศใน ASEAN ซึ่งได้กล่าวถึงข้อมูลชี้วัดที่หน่วยงานต่างนำมาเปรียบเทียบ ซึ่งจากข้อมูลที่มีจะสังเกตุเห็นว่า ศักยภาพของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซี่ยนแล้วเรายังอยู่ในสภาวะที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอยู่พอสมควร

ในตอนนี้ผมจึงอยากจะลองเอาข้อมูลชี้วัดที่น่าเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์มาให้ดู โดยเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งใน ASEAN และได้แสดงเป็นภาพกราฟฟิกดังรูปนี้

Screen Shot 2556-02-09 at 9.51.56 AM

ด้านจำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์

เมื่อเดือนมิถุนายน 2012 ทาง Evans Data Corp (EDC) ได้ข้อมูลประมาณการณ์จำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้วโลก ซึ่งรวมตั้งแต่โปรแกรมเมอร์ นักวิเคราะห์ระบบ จนถึงผู้บริหารโครงการว่ามีประมาณ 17.2 ล้านคนในปี 2012 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 24.7 ล้านคนในปี 2018 โดยระบุว่าในปี 2012 ประเทศสหรัฐอเมริกามีจำนวนมากที่สุดคือ 3.5 ล้านคน ตามด้วยอินเดีย 2.5 ล้านคน และจีน 9 แสนคน แต่คาดการณ์ว่าในปี  2018  จำนวนนักพัฒนาในประเทศอินเดียจะเป็นอันดับหนึ่งด้วยจำนวน 4.8 ล้านคน ตามด้วยสหรัฐอเมริกา 4.6 ล้านคน จีน 1.6 ล้านคน รัสเซีย 1.2 ล้านคน และไทยก็ติดอันดับ 10 ด้วยจำนวน 377,100 คน

หากดูข้อมูลด้านนี้เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆใน ASEAN ประเทศไทยจะดูโดดเด่นมาก เพราะจำนวนที่คาดการณ์ในปี 2012 ของประเทศไทยจะมีประมาณ 263,800 คน เป็นอันดับที่ 15 ของโลกและเป็นอันดับ 5ในภูมิภาค  APAC  ขณะที่ประเทศคู่แข่งใน ASEAN อย่าง ฟิลิปปินส์อยู่อันดับ  6 ใน APAC มีจำนวน 187,000 คน เวียดนามอยู่อันดับ  8 ใน APAC มีจำนวน 152,900 คน อินโดนีเซียอยู่อันดับ  9 ใน APAC มีจำนวน 141,200 คน และมาเลเซียอยู่อันดับ  10 ใน APAC มีจำนวน 99,400 คน

จำนวนบริษัทที่ได้มาตรฐาน CMMI

CMMI คือ มาตรฐานกระบวนการในการพัฒนางาน ย่อมาจาก Capability Maturity Model Integration ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของทั่วโลก ล่าสุดทาง Software Engineering Institute  ของ Carnegie Mellon University ที่เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน ได้รายงานจำนวนบริษัททั่วโลกที่ประเมินผ่าน CMMI จนถึงเมื่อเดือนกันยายน 2012  มีจำนวน 6,272 ราย โดยเป็นบริษัทในประเทศจีน 2,128 ราย  บริษัทในสหรัฐอเมริกา 1,416 ราย และบริษัทในอินเดีย 581 ราย ขณะที่ประเทศไทยมีจำนวน 63 ราย โดยเราสามารถดูรายงานฉบับนี้ได้ที่ http://cmmiinstitute.com/wp-content/uploads/2012/11/2012SepCMMI.pdf


Screen Shot 2556-02-09 at 9.51.25 AM

สำหรับจำนวนบริษัทที่ได้รับมาตรฐาน CMMI และยังรักษาสถานภาพไว้อยู่ในปัจจุบันของประเทศไทยมีทั้งหมด 36 บริษัท โดยเป็นระดับ  5 ถึง  4  บริษัทคือ บริษัท Avalant บริษัท CPF บริษัท Wealth Management System Limited และ บริษัท GoSoft โดยประเทศไทยมีจำนวนบริษัท CMMI ในปัจจุบันมากที่สุดใน ASEAN ตามมาด้วยมาเลเซีย 27 บริษัท เวียดนาม 23 บริษัท ฟิลิปปินส์ 17 บริษัท สิงคโปร์ 10 บริษัท  และ อินโดนีเซีย 1 บริษัท ซึ่งเราสามารถที่จะดูรายชื่อของบริษัทที่ได้ CMMI ณ ปัจจุบัน ทั้งหมดจากเว็บไซต์ https://sas.cmmiinstitute.com/pars/pars.aspx 

การเป็นแหล่งทางด้าน Outsourcing

ทาง AT Kearney ได้ออกรายงานเรื่อง “Global Services Location Index 2011”ระบุประเทศต่างๆที่มีความน่าสนใจในการทำ Outsourcing โดยมีตัวชี้วัดจากสามด้านคือ  ความน่าสนใจในการลงทุน  (Financial attractiveness)  ความสามารถและความพร้อมของคน (People skills and availabilty) และ สภาวะแวดล้อมเชิงธุรกิจ (Business Environment) ซึ่งในรายงานระบุว่าประเทศอินเดียมีความน่าสนใจเป็นอันดับ  1 ตามด้วยประเทศจีน และมาเลเซีย ส่วนประเทศไทยมีความสนใจในการเป็นแหล่งในการทำ Outsourcing อันดับที่ 7 ของโลก (ทั้งนี้ประเทศเราหล่นจากที่เคยเป็นอันดับที่ 4 เมื่อปี 2009) โดยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆใน ASEAN ทางอินโดนีเซียอยู่อันดับ 5 เวียดนามอันดับ 8 และฟิลิปปินส์อันดับ 9

จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นแหล่งที่น่าสนใจในการทำ  Outcsourcing ของโลก แต่เราจะพบว่าอุตสาหกรรมด้านนี้จะมีน้อยมากในประเทศไทย ซึ่งผมเองก็เคยเขียนบล็อกเรื่อง “ประเทศไทยติดอันดับประเทศน่าดึงดูดในการทำ Outsourcing แต่ไม่มีอุตสาหกรรมด้านนี้

นอกจากนี้เมื่อมกราคมปี  2012 ทาง Tholons ได้ออกรายงานระบุเมืองที่ติด 100 อันดับในการทำ Outsourcing ทั่วโลกโดยดูจากปริมาณการจ้างงาน ความน่าสนใจ และแนวโน้ม จะพบว่าแหล่งที่น่าสนใจจะอยู่ทางเอเซียใต้ โดยมีเมืองที่ติดอันดับ 1 ถึง 7 ล้วนแต่เป็นเมืองในประเทศอินเดีย โดยมีเมือง Bangalore เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย Mumbai และ  Delhi ส่วนกรุงมะนิลาเป็นเมืองเดียวนอกประเทศอินเดียที่ติด 1 ใน  7 คือมีคะแนนมาเป็นอันดับ  4 และหากมาพิจารณาเฉพาะประเทศในกลุ่ม ASEAN  จะเห็นว่าเมืองในประเทศฟิลิปินส์ติดอันดับหลายเมืองมากเช่น Cebu เป็นอันดับ 9 นอกจากนี้เรายังเห็นว่าเมืองในประเทศเวียดนามก็เป็นแหล่งที่น่าสนใจในการทำ Outsourcing  โดย Ho Chi Minh ติดอันดับ 17 และ Hanoi  ติดอันดับ 21 ขณะที่กรุงเทพมหานครคะแนนลด10 อันดับ ตกมาที่ 87 จากเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2011

Screen Shot 2556-02-08 at 9.11.53 AM

กล่าวสรุปจะเห็นว่าการจัดอันดับประเทศไทยในด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ในเรื่องของคน ของมาตรฐาน และความน่าสนใจในการลงทุน อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี แต่เรายังขาดการสนับสนุนและส่งเสริมอย่างจริงจัง ทำให้อุตสาหกรรมนี้โดยเฉพาะการลงทุนจริงทางด้าน Outsourcing จากต่างประเทศไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย

ขีดความสามารถการแข่งขันด้าน ICT ของไทยเมื่อเทียบกับประเทศใน ASEAN

เมื่อวันเสาร์ที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญให่ไปบรรยายที่วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เรื่อง “Shaping Thailand and AEC with ICT – Master Plan” โดยบรรยายร่วมกับ คุณไตรรัตน์ ฉัตรแก้ว ผอ.สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งชาติ และ ผศ.ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน ASEAN จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คำถามหนึ่งที่ถูกถามจากผอ.ไตรรัตน์และทางผมกับดร.การดีตอบเหมือนๆกันคือ หากจัดอันดับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของไทยเมื่อเที่ยบกับประเทศอื่นๆใน ASEAN แล้วประเทศเราอยู่ตรงไหน

ผมกับดร.การดีจะมองว่าในอาเซียน ประเทศสิงคโปร์เขานำหน้าไปไกล ซึ่งทางดร.การดีจัดว่าเป็นดิวิชั่นหนึ่ง ส่วนที่เป็นอันดับสองและสามจะคิดคล้ายกันคือมาเลเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งทางดร.การดีจัดให้ประเทศ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และ ไทยจัดอยู่ในดิวิชั่นสอง ส่วนอินโดนีเซียและเวียดนามจัดอยู่ในดิวิชั่นสามด้านไอซีที ส่วน พม่า เขมร ลาว และ บรูไน ก็จัดว่าเป็นอีกดิวิชั่น ในแง่ของบรูไนแม้จะมีอัตราการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่สูง แต่เนื่องจากจำนวนประชากรค่อนข้างน้อย และไม่ได้เน้นการแข่งขันด้านนี้มากนัก จึงทำให้ยังไม่สามารถที่จะสู้กับประเทศอื่นๆในอาเซียนได้

เพื่อให้เราเข้าใจถึงขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านไอซีทีของประเทศไทยกับประเทศอื่นๆในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งที่สำคัญผมเลยทำภาพกราฟฟิกง่ายๆมาเปรียบเทียบให้ดูในด้านต่่างๆดังนี้

Screen Shot 2556-01-24 at 11.42.27 PM

ด้าน IT Industry Competitiveness

ทาง Economic Intelligence Unit (EIU) ได้ประกาศผลการจัดอันดับความสามารถการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมไอทีเมื่อปี 2011 โดยพิจารณาจาก้านต่างๆและมีคะแนนในหกกลุ่มคือ ด้านสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที  ด้านทรัพยากรมนุษย์ ด้านงานวิจัยไอที ด้านกฎหมายไอที และด้านการสนับสนุนของภาครัฐบาล ปรากฎว่าประเทศที่ได้รับคะแนนสูงสุดคือสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยฟินแลนด์ และสิงคโปร์อยู่อันดับสาม (คะแนน 69.8) ซึ่งขึ้นมา 6 อันดับจากการสำรวจเมื่อปี 2009

สำหรับประเทศอื่นๆในกลุ่มอาเซียน มาเลเซียอยู่อันดับ 31  (คะแนน 44.1; ขึ้นจากปี 2009 ซึ่งอยู่ที่ 42) ประเทศไทยอยู่อันดับ 50  (คะแนน 30.5; ตกจากปี 2009 ซึ่งอยู่ที่  49) ฟิลิปปินส์อยู่อันดับ 52  (คะแนน 27.9; ตกจากปี 2009 ซึ่งอยู่ที่  51) เวียดนามอยู่อันดับ 53  (คะแนน 27.1; ขึ้นจากปี 2009 ซึ่งอยู่ที่  56) และอินโดนีเซียอยู่อันดับ 57  (คะแนน 24.8; ขึ้นจากปี 2009 ซึ่งอยู่ที่ 59) ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่นๆที่สำคัญในอาเซียน ผมอาจพอที่ให้ Like  ในการประเมินด้านนี้แต่ก็ยังอยู่ในขั้นที่น่าเป็นห่วง

ข้อมูลการวิเคราะห์ทั้งหมด สามารถเข้าไปดูได้ที่ The IT Industry Competitiveness Index

The IT Industry Competitiveness Index

ด้าน E-Government Readiness

ทาง  United Nations Public Administration Network (UNPAN) จะมีการจัดอันดับ E-Government Readiness ออกมาทุกสองปี โดยจะมองในด้านต่างๆที่แบ่งเป็นสามกลุ่มคือ ด้านการบริการออนไลน์ ด้านโครงสร้างพื้นฐานไอซีที และด้านบุคลากร โดยล่าสุดในปี 2012  ได้จัดให้สิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก  (คะแนน 0.8474 ขึ้นมาจากอันดับที่ 11 เมื่อปี 2010) โดยประเทศที่มีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งในการสำรวจนี้คือเกาหลีใต้ ตามมาด้วยเนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และเดนมาร์ก

สำหรับประเทศอื่นๆในกลุ่มอาเซียน มาเลเซียอยู่อันดับ 40  (คะแนน 0.6703 ตกมาจากอันดับที่ 32 เมื่อปี 2010)  บรูไนอยู่อันดับ 54  (คะแนน 0.6250 ขึ้นมาจากอันดับที่ 68 เมื่อปี 2010) เวียดนามอยู่อันดับ 83  (คะแนน 0.5217 ขึ้นมาจากอันดับที่ 90 เมื่อปี 2010)  ฟิลิปปินส์อยู่อันดับ 88  (คะแนน 0.5130 ขึ้นมาจากอันดับที่ 78 เมื่อปี 2010) ประเทศไทยอยู่อันดับ 92  (คะแนน 0.5093 ตกมาจากอันดับที่ 76 เมื่อปี 2010) และอินโดนีเซียอยู่อันดับ 97  (คะแนน 0.4949 ขึ้นมาจากอันดับที่ 109 เมื่อปี 2010) เห็นคะแนนด้านนี้แล้วน่าตกใจเมื่อเทียบประเทศไทยกับประเทศอื่นๆในอาเซียน และก็คงต้องคะแนน Unlike

Screen Shot 2556-01-26 at 11.57.20 AM

รายงานการสำรวจฉบับเต็มสามารถดาวน์โหลดได้ที่ E-Government Survey 2012

ด้าน  Cloud Computing Readiness

Cloud Computing เป็นเทคโนโลยีทีกำลังมาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมและการใช้ไอซีทีอย่างมาก Asia Cloud Computing Association  ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างความตระหนักและสำรวจข้อมูลการใช้  Cloud Computing  ในเอเซีย จะจัดทำผลสำรวจความพร้อมด้าน  Cloud Computing ของประเทศต่างๆในเอเซีย  14 ประเทศทุกปี โดยเริ่มสำรวจตั้งแต่ปี 2011 โดยจะดูข้อมูลต่างๆทั้งในแง่ของ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ความเสี่ยงของดาต้าเซ็นเตอร์ ความปลอดภัยของข้อมูล ความพร้อมเรื่องระบบไฟฟ้า การสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งประเทศที่ได้รับการคัดเลือกให้มีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งสองปีติดกันคือญี่ปุ่น และในปี 2012 ทางเกาหลีใต้เป็นอันดับสอง ตามด้วยฮ่องกง และสิงคโปร์

สำหรับประเทศอื่นๆในกลุ่มอาเซียน มาเลเซียอยู่อันดับ 8  (คะแนน 63.0 ตกมาจากอันดับที่ 7 เมื่อปี 2011) อินโดนีเซียอยู่อันดับ 11  (คะแนน 47.1 เป็นอันดับเดิมเมื่อปี 2011) ฟิลิปปินส์อยู่อันดับ 12  (คะแนน 46.0 ขึ้นมาจากอันดับที่ 13 เมื่อปี 2011) ประเทศไทยอยู่อันดับ 13  ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายร่วมกับเวียดนาม  (คะแนน 44.9 โดยไทยตกมาจากอันดับที่ 10 ส่วนเวียดนามตกมาจากอันดับ 12 เมื่อปี 2011) ซึ่งเมื่อดูคะแนนจากผลการสำรวจด้านนี้ ก็คงต้องให้คะแนน  Unlike กับประเทศไทยอย่างแน่นอน

Screen Shot 2556-01-26 at 1.04.14 PM

สำหรับรายงานฉบับเต็มสามารถดูได้ที่ CLOUD READINESS INDEX 2012

ด้าน Internet Penetration

ข้อมูลอัตราส่วนการใช้อินเตอร์เน็ตต่อประชาการอาจจะมีหลายแหล่ง แหล่งหนึ่งที่นิยมมาใช้ในการอ้างอิงคือ Internet World Stats ที่ออกรายงานเมื่อเดือนมิถุนายน 2012 เปรียบเทียบข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลก โดยในกลุ่มประเทศอาเซียนจะพบว่าประเทศที่มีอัตราส่วนการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตต่อประชากรสูงสุดคือ บรูไน 78% ตามด้วย สิงคโปร์ 75%  มาเลเซีย 60.7%  เวียดนาม 33.9% ฟิลิปปินส์ 32.4% ประเทศไทย 30.0% และอินโดนีเซีย 22.1% ซึ่งเมื่อดูข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ตของเราเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในกลุ่มอาเซียนแล้วคงต้องขอกด Unlike อีกครั้ง

Screen Shot 2556-01-26 at 1.11.37 PM

สำหรับข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกสามารถดูได้ที่ Internet World Stats

ด้านความเร็วของอินเตอร์เน็ตสำหรับเครื่อง Desktop

เมื่อเดือนเมษายน 2012 ทาง Google ได้วัดความเร็วในการโหลดเว็บจากอินเตอร์เน็ตของประเทศต่างๆทั่วโลก 50 ประเทศ ซึ่งผลการสำรวจพบว่าประเทศที่มีความเร็วสูงสุดคือ Slovak ใช้เวลา 3.3  วินาที ตามด้วยเกาหลีใต้  3.5  วินาที สาธารณรัฐเช็ค เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น สำหรับประเทศไทยความเร็วอยู่ที่ 9.6 วินาที ซึ่งอาจช้ากว่าเวียดนามที่มีความเร็ว 6.6 วินาที แต่ก็ยังเร็วกว่าประเทศอื่นๆในอาเซียน อย่าง มาเลเซีย 14.3 วินาที ฟิลิปปินส์ 15.2 วินาที และ อินโดนีเซีย 20.8  วินาที ดังนั้นเมื่อดูคะแนนความเร็วอินเตอร์เน็ตบนเครื่อง Desktop  แล้ว ก็คงพอกด Like ให้กับประเทศไทยได้

ด้านความเร็วของอินเตอร์เน็ตสำหรับ Mobile

การสำรวจอีกอันที่ทาง Google ทำควบคู่กันไปคือการวัดความเร็วในการโหลดเว็บจากอินเตอร์เน็ตผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งผลการสำรวจพบว่าประเทศที่มีความเร็วสูงสุดคือ เกาหลีใต้ ใช้เวลา 4.8  วินาที ตามด้วยเดนมาร์ก  5.2  วินาที ฮ่องกง นอร์เวย์ และสวีเดน สำหรับประเทศไทยเนื่องจากเรายังไม่มีระบบ 3G ความเร็วจึงอยู่เพียง 16.3 วินาที และอาจช้ากว่าประเทศอื่นๆในอาเซียน อย่าง เวียดนาม 11.6 วินาที อินโดนีเซีย 12.4 วินาที มาเลเซีย 13.2 วินาที แต่อาจใก้ลเคียงกับฟิลิปปินส์ ดังนั้นเมื่อดูคะแนนด้านนี้แล้ว ก็คงต้องกด Unlike ให้กับประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง

ผลการสำรวจของ Google สามารถดูได้ที่ Google Analytics