ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามีผู้ใหญ่บางท่านและเพื่อนในวงการไอทีถามถึงแนวคิดของผมในเรื่องของการปฎิรูปประเทศไทยว่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรโดยเฉพาะเรืองของไอที และยิ่งเมื่อต้นสัปดาห์นี้รัฐบาลโดยการแถลงของนายกรัฐมนตรีและรองนายกฯมรว.ปรีดิยาธร เทวกุล ออกมาจุดกระแสเรื่องของ Digital Economy ก็ทำให้กระแสการปฎิรูปด้านไอซีทีที่จะมีผลต่อการผลักดันการปฎิรูปเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมีความร้อนแรงยิ่งขึ้น
แม้ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าแผนงาน Digtal Economy จะมีอะไรบ้าง แต่ภาพที่เริ่มเห็นคือการปรับโครงสร้างกระทวงไอซีทีและเปลี่ยนชื่อให้เป็นกระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัล และก็มีภาพกราฟฟิกของนสพ. Post Today ที่ลงตีิพิมพ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาระบุโครงการต่างๆดังรูป

รูปที่ 1 ยุทธศาสตร์ Digital Economy [ภาพจากหนังสือพิมพ์ Post Today]
ยุทธศาสตร์ Digital Economy เป็นเรื่องทีดีมาก และถ้ารัฐบาลผลักดัันอย่างจริงจัง ไม่ใช่สร้างมาเป็น Propaganda เหมือนรัฐบาลยุคเลือกตั้งที่ผ่านๆมาซึ่งจะสรรหาคำสวยงามมาประกอบนโยบายเช่น Naional Broadband หรือ Smart Thailand แต่ก็ไม่ได้ดำเนินงานและจัดสรรงบประมาณอย่างจริงจัง ยังจำได้ว่าเมื่อมีการปฎิรูประบบราชการครั้งใหญ่รัฐบาลทักษิณได้จัดตั้งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) แต่เมื่อมีการโยกย้ายหน่วยงานต่างๆและเห็นภาระกิจที่แท้จริงแล้ว การจัดตั้งกระทรวงไอซีทีในตอนนั้นก็เป็นแค่การทำภาระกิจชั่วคราวเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ความไม่จริงจังในตอนนั้นจึงทำให้กระทรวงไอซีทีในวันนี้ไม่สามารถดำเนินงานต่างๆได้อย่างที่ควรจะเป็นทั้งนี้เพราะขาดบุคลากร อำนาจหน้าที่ และโครงสร้างที่เหมาะสม
ครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีเพราะเรากำลังพูดถึงการปฎิรูปประเทศ และรัฐบาลมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ผมจำได้ว่าตั้งแต่เด็กมาจนปัจจุบัน เคยเห็นโครงการใหญ่ๆเพียงโครงการเดียวที่ผลักดันจนประสบความสำเร็จคือโครงการ Eastern Seaboard ในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่ายุคนั้นเป็นยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเกรงใจนักการเมืองมากนัก และอีกอย่างผู้นำสมัยนั้นมีความเด็ดขาด
สถานการณ์ในวันนี้คล้ายๆกับยุคนั้นแม้รัฐบาลจะตั้งเป้าที่จะปฎิรูปประเทศในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี แต่การปฎิรูปประเทศสู่เศรษฐกิจเชิงดิิจิทัลอาจต้องทำหลายประการดังนี้ ซึ่งบางเรื่องก็น่าจะอยู่ในแผนของทีมงานแล้ว แต่ผมขอนำเสนอความคิดดังนี้
1) การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเชิงดิจิทัล
การปฎิรูปอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาส่วนหนึ่งเริ่มต้นจากการสร้างถนนและทางคมนาคมครั้งใหญ่ของประเทศเขาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เมื่อพูดถึง Digital Economy เรากำลังขนส่งข้อมูลจำนวนมากโดยสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เราจึงจำเป็นต้องมีโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่ดีเชื่อมต่อกันทุกพื้นที่ High Speed Broadband ก็เปรียบเสมือนถนน Highway ที่จำเป็นต้องเข้าถึง ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ถ้าเราไม่มีถนนแล้วอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆที่เปรียบเสมือนยานพาหนะจะเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วได้อย่างไร อีกเรื่องที่สำคัญคือการขยายการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบ 4G ที่ควรจะต้องเร่งให้สัมปทานและอาจต้องรีบเตรียมการให้รองรับเทคโนโลยีที่จะเกิดใหม่อย่าง 5G ด้วยความรวดเร็ว ไม่ใช่รอให้ล้าหลังประเทศอื่นๆอย่างการให้สัมปทาน 3G หรือ 4G เหมือนที่ผ่านมา
การตั้งหน่วยงาน Broadband แห่งชาติ อาจจะยังไม่สำคัญเท่ากับการวาง Blueprint ด้านเครือข่าย Broadband รวมถึงการผลักดันให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมของภาคเอกชนในการให้บริการ Highspeed Broadband กับภาคประชาชนอย่างทั่วถึง การให้บริการของภาครัฐเพื่อเปิดให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้าถึง Highspeed Broadband ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างเชิงดิจิทัล และการลดความซ้ำซ้อนของการสร้างเครือข่ายของหน่วยภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะทำให้เราได้เครื่อข่ายที่มีคุณภาพและประหยัดการลงทุน
2) การสร้าง Digital Mindset ให้กับสังคม
ในปัจจุบันคนไทยจำนวนมากใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทั้งการเล่น Facebook, Smartphone และ Tablet แต่สิ่งที่พบคือส่วนมากใช้เพื่อความบันเทิง ไม่ได้ถูกนำใช้ในด้านการทำงานมากนัก การทำธุรกิจโดยมากยังอยู่บนพื้นฐานแบบเดิม ยังขาดความตระหนักการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เรายังพบว่าธุรกิจด้านต่างๆจำนวนมากไม่สามารถแข่งขันบนโลกออกไลน์ได้ คนไทยจำนวนมากยังไม่กล้าที่จะทำธุรกรรมออนไลน์ ยังขาดความสามารถในการติดต่อสื่อสารเชิงดิจิทัล ทักษะการค้นคว้าและกลั่นกรองข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตยังไม่ดีพอ ทำให้เราจะแข่งขันเชิงธุรกิจไร้พรมแดนผ่านโลกดิจิทัลลำบาก
ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความตระหนักการในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ให้กับภาคส่วนต่างๆทั้งภาคธุรกิจ ราชการ รวมทังอุตสาหกรรมต่างๆทั้ง เกษตรกรรม การท่องเที่ยว การขนส่ง เพื่อให้ประเทศเข้าสู่ Digital Economy เมืื่อผู้คนในสังคมมีความตระหนักด้านดิจิทัลเราก็จะเห็นการใช้ข้อมูลออนไลน์ต่างๆมากขึ้น สังคมและธรกิจก็จะเข้าสู่การเป็น Digital Economy มากขึ้น และเราอาจจะเห็นเศรษฐกิจก้าวเข้าสู่ Real-Time Economy ซึ่งเป็นคำที่ทันสมัยกว่าและสอดคล้องกับปัจจุบันมากกว่าคำว่า Digital Economy
3) การพัฒนาบุคลากรและงานวิจัยด้านไอซีที
การพัฒนา Digital Economy ที่ดีจะต้องมีพื้นฐานของงานวิจัยและพัฒนาทางด้านไอซีืีที ที่ผ่านมาเรามีงานวิจัยทางด้านนี้น้อยมาก เรายังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศทั้งทางด้าน Hardware, Communication และ Software อยู่มาก ตัวอย่างเช่นเราขาดบุคลากรทางการพัฒนาด้านซอฟต์แวร์ การผลิตบุคลากรก็ไม่ตรงกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการของภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เราคงไม่ต้องไปคาดหวังว่าอุตสาหกรรมทางด้านนี้เราจะไปแข่งในระดับโลก เพราะยังไงเสียก็ตามเราคงแข่งขันในระยะสั้น 5-10 ปีลำบากเพราะเราขาดบุคลากร แต่สิ่งที่เราต้องทำในระยะสั้นคิอต้องพัฒนาให้มีการใช้ซอฟต์แวร์ที่ผลิตภายในประเทศได้บ้างรวมถึงอาจต้องทำให้การนำเข้านักพัฒนาซอฟต์แวร์จากต่างประเทศเป็นไปได้ง่ายขึ้น พยายามผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลกที่จะเข้ามาทำงาน และระยะยาวก็คงต้องเร่งพัฒนาบุคลากรทางด้านนี้ โดยเฉพาะเน้นการปฎิรูปการศึกษาให้เยาวชนไทยมีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น
4) การปฎิรูปกฎหมายด้านดิจิทัล
กฎระเบียบหลายๆอย่างของบ้านเรายังไม่เอื้อต่อการเป็น Digtial Economy การติดต่อราชการหลายๆเรื่องเราต้องใช้เอกสารจำนวนมาก ถึงแม้ว่าบ้านเราเป็นประเทศแรกๆในโลกที่ใช้บัตรประชาชนที่เป็น smartcard แต่การทำธุรกรรมในหน่วยงานต่างๆยังต้องมีการทำสำเนาบัตรประชาชน ในแง่การจัดซื้อจัดจ้างหรือการทำนิติกรรมต่างๆยังมีกฎระเบียบที่ค่อนข้างล้าหลังอ้างอิงกับรูปแบบเดิมๆที่ต้องใช้หลักฐานจำนวนมากในรูปแบบที่เป็นกระดาษและสำเนาซึ่งไม่เอื้อต่อการทำธุรกรรมออนไลน์
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานด้านดิจิทัลจำนวนมากยังไม่ผ่านสภาฯไม่ว่าจะเป็นกฎหมายด้านลายเซ็นดิจิทัล กฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล กฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย กฎหมายคอมพิวเตอร์ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันเรามีกฎหมายเหล่านี้หลายร้อยฉบับที่จะต้องทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ถ้าเราต้องการเข้าสู่ Real Time Economy อย่างเต็มรูปแบบเราอาจต้องแก้แม้กระทั่งกฎหมายแรงงานที่ครอบคลุมให้ลูกจ้าง สามารถทำงานแบบออนไลน์ หรือทำงานที่บ้านได้ โดยได้รับความเป็นธรรมจากนายจ้าง
5) การผลักดันให้เกิดกฎหมาย Open Data
อีกประเด็นที่สำคัญคือการผลักดันให้เกิดเรื่อง Open Data ทีเป็นการเปิดข้อมูล (และ Information) ของรัฐบาล องค์กรสาธารณะต่างๆ และหน่วยงานเอกชนที่ไม่ใช่ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาขน ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเปิด (Open Format) ไม่ใช่มาตรฐานเฉพาะ (Proprietary format) เพื่อคนหรือหรือเครื่องคอมพิวเตอร์อ่านได้ แล้วนำไปใช้หรือต่อยอดในการพัฒนาข้อมูลอื่นๆต่อไปได้ การเปิดข้อมูลจะเป็นการลดอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลของภาคประชาชนและยังช่วยทำให้เกิดการนำไปใช้ในด้านอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อไป
การมี Open Data โดยเฉพาะในภาครัฐบาลนอกเหนือจากการสร้างความโปร่งใสและทำให้เกิดธรรมาภิบาลในการบริหารงานภาครัฐ เพราะข้อมูลของภาครัฐในด้านต่างๆเช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การใช้จ่ายเงินงบประมาณ ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ยังทำให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกเช่นการช่วยทำให้บริการของรัฐดีขึ้นอาทิเช่น การเปิดเผยข้อมูลจราจรทำให้เกิดบริการสาธารณะที่ดีขึ้นรวมถึงทำเกิดธุรกิจต่างๆขึ้นมากมายและเป็นประโยชน์ต่อสังคม ดังนั้นเรื่องสำคัญในการปฎิรูปประเทศให้สู่เศรษฐกิจเชิงดิจิทัลก็คือ การผลักดันกฎหมาย Open Data โดยการอิงหลัก 8 ประการตามที่ผมเคยเสนอไว้ในบทความ Open Government Data กับการปฎิรูปประเทศไทย
6) การปฎิรูปหน่วยงานภาครัฐด้านไอซีที
หน่วยงานทางด้านไอซีทีของภาครัฐยังขาดความพร้อมทั้งในแง่ของบุคลากรและอำนาจหน้าที่ที่จะมากำกับหน่วยงานอื่นๆ นอกจากนี้ยังขาดความชัดเจนของบทบาทหน้าที่ และบางหน่วยงานก็มีหน้าที่ซ้ำซ้อนกัน เรามีทั้งองค์กรอิสระที่เป็นผู้ดูแลกำกับโครงสร้างด้านอินเตอร์เน็ตและโทรคมนาคมอย่าง กสทช แต่ขณะเดียวกันกระทรวงไอซีทีก็มีบางภารกิจบางอย่างที่ใกล้เคียงหรือซ้ำซ้อนกัน เรามีหน่วยงานในกำกับที่เป็นองค์กรมหาชนภายใต้กระทรวงไอซีทีหลายหน่วยงานอย่าง สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (SIPA) สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (EGA) แต่บางครั้งหน่วยงานเหล่านี้เช่น EGA กลับไม่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงที่เข้าไปกำกับดูแล e-Service ของหน่วยงานรัฐอื่นๆ ทำให้การบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐยังขาดทิศทางที่สอดคล้องกัน หรือบางหน่วยงานอย่าง SIPA ก็มีปัญหาภายในที่ไม่รู้จบทำให้อุตสาหกรรมไม่สามารถคาดหวังอะไรได้
หน่วยงานด้านไอซีทีก็ย้งอยู่ข้ามกระทรวงต่างๆเช่นกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็มีหน่วยงานอย่าง NECTEC ที่น่าจะมีการบูรณาการบางภารกิจมาอยู่ใต้กระทรวงใหม่ หรือแม้แต่หน่วยงานอย่าง Software Park ซึ่งไม่มีงบประมาณจัดสรรมาดำเนินงานใดๆโดยตรงก็ควรจะมีการทบทวนบทบาทบทบาทและหน้าที่ว่าควรจะจัดสรรงบประมาณให้โดยตรงหรือไม่ หรือควรจะอยู่ในสังกัดใด ยังไม่รวมถึงหน่วยงานอื่นๆที่จะมีผลต่อการปฎิรูปเศรษฐกิจดิจิทัลทั้ง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สสว. กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานอื่นๆอีกเป็นจำนวนมากที่อาจจะต้องมีการจัดภารกิจใหม่ให้สอดคล้องกัน หรืออาจต้องมีการตั้งหน่วยงานภายใต้กระทรวงที่จะเกิดมาใหม่
บทสรุป
จากที่กล่าวมาทั้งหมดคือแนวคิดบางประเด็นของผมต่อการปฎิรูปประเทศ และเป็นสิ่งที่ควรจะทำได้ภายในหนึ่งปี โอกาสนี้เป็นโอกาสดีของประเทศที่จะทำให้เกิดรูปธรรมที่ชัดเจน แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการดำรงไว้ซึ่งหลักการและแนวคิดของ Digital Economy ถ้ารัฐบาลตั้งเป้่าไว้ว่าจะอยู่เพียงหนึ่งปีคงจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้นหลังปฎิรูปเสร็จรัฐบาลควรที่จะรักษาอำนาจและทำงานต่ออีกซักพัก เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายมิฉะนั้นแล้วการปฎิรูปจะสูญเปล่า เราอาจเห็นแค่การตั้งกระทรวง Digital Economy ขึ้นมาแค่นามธรรมแต่สุดท้ายการปฎิบัติก็จะไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์
สุดท้ายคำว่า Digital Economy หรือคำว่า Real-time Economy มันก็คือ New Economy เรากำลังปฎิรูปเศรษฐกิจใหม่ให้กับคนรุ่นใหม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมมากที่สุดในการปฎิรูปครั้งนี้ เราอย่าลืมนะครับว่าประเทศ สิงคโปร์ที่ปฎิรูปประเทศมาได้ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีลีกวนยูมีอายุไม่ถึง 40 ปี ตอนเราปฎิวัติ 2475 ผู้นำในคณะราษฎร์ส่วนใหญ่คือคนอายุต่ำกว่า 40 ปี ถ้าเราจะปฎิรูป Digtial Economy แล้วเราจะเอาแต่คนรุ่นเก่ามาปฎิรูปแล้วพยายามจะมาบอกว่าอนาคตของเศรษฐกิจหรือวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่จะเป็นไปได้อย่างไร ยิ่งคนคิดปฎิรูปหลายๆคนอาจมีความเข้าใจเรื่องดิจิทัลน้อยกว่าคนรุ่นใหม่บางทีก็ยิ่งน่าเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก อย่าว่าแต่คนอายุมากกว่า 60 ปีเลยครับแม้แต่คนรุ่นอย่างผมบางทีก็อาจอายุมากเกินไปแล้วในการจะมาคิดเรื่องปฎิรูปให้พวกเขาตามลำพัง เราควรต้องมีสัดส่วนของเด็กรุ่นใหม่ๆจำนวนมากในการปฎิรูปสังคมสู่ Digital Economy มันเป็นเรื่องของ New Generation สู่ New Economy ไม่ใช่แค่กลุ่มของผู้ใหญ่มาคุยกันแล้วจะบอกอนาคตให้คนรุ่นใหม่ที่เขาต้องอยู่กับอนาคตของเขาอีกหลายสิบปี ครับให้เขามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของเขาด้วยครับ
ธนชาติ นุ่มนนท์
IMC Institute