กระแสการปฎิรูปประเทศไทยมีการพูดถึงกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมของกปปส.จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารของคสช.และกำลังจะมีการตั้งสภาปฎิรูปขึ้น โดยตั้งเป้าหมายที่จะปฎิรูปไว้ 11 ด้าน ซึ่งส่วนหนึ่งก็จะเน้นถึงปัญหาที่เกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นในบ้านเราที่เป็นรากฐานของปัญหาต่างๆ หลายๆคนมองว่าการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลา ในแง่ของคนไอทีเรามองว่าการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการทำงานจะมีส่วนช่วยในการสร้างธรรมภิบาลในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของ “Open Data” แต่เมื่อไปพิจารณาโครงสร้างการปฎิรูปที่วางแผนไว้ทั้ง 11 ด้านจะเห็นได้ว่าเราไม่มีการพูดถึงเรื่องไอทีเลยทั้งๆที่เป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุดในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ
UN E-Government Index
หากเราได้ศึกษาการสำรวจด้าน E-Government ขององค์การสหประชาชาติที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2001 จากรายงาน United Nation E-Government Survey ที่ออกมาทุกสองปี เราจะเห็นได้ว่าบริบทของการสำรวจ เปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีและการสร้างธรรมาบิบาล รวมถึงพิจารณาการมีส่วนรวมของภาคประชาชนดังแสดงในรูปที่ 1 ที่เราจะเห็นได้ว่าในครั้งแรกปี 2001 E-Government อาจจะเน้นเรื่องของการพัฒนาเว็บไซต์ของภาครัฐ แล้วเปลี่ยนมาเน้นในเรื่องของการใช้ Social Media ของภาครัฐในปี 2004/2006 และกลายมาเป็นเรื่องของ Cloud Computing/Smartphone ในปี 2010 และรายงานล่าสุดการสำรวจจะเน้นเรื่องของ Open Government Data/Linked Data
รูปที่ 1 การสำรวจ UN E-Government Survey
ผลการสำรวจด้าน E-Government ขององค์การสหประชาชาติก็จะสอดคล้องกับดัชนีความโปร่งใสของประเทศ ซึ่งเราจะพบว่าประเทศที่มีอัตราการคอร์รัปชั่นน้อยก็จะมีอันดับ E-Government ที่สูง ซึ่งการสำรวจล่าสุดในปี 2014 ก็จะเน้นเรื่อง Big Data และ Open Government Data และพบว่าประเทศที่มีการเปิดข้อมูลในภาครัฐก็จะมีคะแนนค่อนข้างสูง โดยประเทศเกาหลีใต้ก็มีอันดับที่หนึ่งอย่างต่อเนื่องมาสามสมัยทั้งนี้เพราะประเทศเขาได้ปรับระบบ E-Government มาตลอดเพื่อเน้นให้เกิดการทำงานภาครัฐที่รวดเร็วและโปร่งใส ส่วนประเทศไทยเราจะพบว่าอันดับด้าน E-Government ของเราตกลงมาตลอด ส่วนหนึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาครัฐ แต่เป็นเพราะดัชนีการคอร์รัปชั่นของประเทศสูงขึ้น ก็ทำให้การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นไปได้ยาก เพราะผู้บริหารประเทศก็ย่อมไม่อยากให้เกิดการตรวจสอบโดยง่า เราจะเห็นได้ในรูปที่ 2 ว่าประเทศไทยมีอันดับด้าน E-Government ตกลงมาในอันดับที่ 102 และมีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกและภูมิภาคเอเซีย
รูปที่ 2 E-Government Index ของประเทศไทย
Open Government Data
Open Government Data (OGD) คือการความพยายามของทั่วโลกที่จะเปิดข้อมูล (และ Information) ของรัฐบาลและองค์กรสาธารณะต่างๆซึ่งไม่ใช่ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาขน ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเปิด (Open Format) ไม่ใช่มาตรฐานเฉพาะ (Proprietary format) เพื่อคนหรือหรือเครื่องคอมพิวเตอร์อ่านได้ แล้วนำไปใช้หรือต่อยอดในการพัฒนาข้อมูลอื่นๆต่อไปได้ การเปิดข้อมูลจะเป็นการลดอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลของภาคประชาชนและยังช่วยทำให้เกิดการนำไปใช้ในด้านอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อไป
รูปที่ 3 เว็บไซต์ data.un.org
ในปัจจุบันมีหลายๆประเทศและองค์กรที่พยายามสร้าง Open Data อาทิเช่นองค์การสหประชาชาติได้สร้าง Portal ที่ชื่อ data.un.org หรือทางสหราชอาณาจักรก็มีเว็บไซต์อย่าง data.gov.uk ที่มีข้อมูลของภาครัฐด้านต่างๆรวมถึงข้อมูลการใช้จ่ายของภาครัฐ และก็มีการนำข้อมูลไปพัฒนา Application ต่างๆถึง 300 กว่า App ประเทศในเอเซียหลายๆประเทศทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ต่างก็พัฒนา Portal สำหรับ Open Data หลายประเทศก็ได้ออกกฎหมายให้มีการเปิดข้อมูลภาครัฐให้เป็นมาตรฐานที่คนอื่นๆอ่านได้ ทางสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโอบามาก็ได้ประกาศนโยบาย Open Data เมื่อเดือนพฤษภาคม 2013 และมีการประกาศเรื่อง Data Act ในเดือนพฤษภาคม 2014
รูปที่ 4 เว็บไซต์ data.gov.uk
หลักการของ OGD จะมี 8 ด้านดังนี้
- Completeness ข้อมูลภาครัฐทั้งหมดที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลหรือความมั่นคงจะต้องถูกเปิด
- Primacy ข้อมูลที่จะถูกเปิดจะเป็นรูปแบบเดียวกับที่ถูกเก็บไว้ โดยไม่มีการปรับปรุงและแก้ไขก่อนเปิด
- Timeliness ข้อมูลจะถูกเปิดโดยทันทีทันใด
- Ease of Physical and Electronic Access ข้อมูลถูกเปิดเพื่อให้ผู้ใช้ที่หลากหลายและมีจุดประสงค์ต่างกัน
- Machine readability ข้อมูลจะต้องอยู่ในรูปแบบที่นำไปประมวลผลได้โดยอัตโนมัติ
- Non-discrimination ทุกคนสามารถนำข้อมูลไปใช่้ได้ โดยไม่ต้องมีการลงทะเบียนผู้ใช้
- Open formats ข้อมูลต้องเป็นมาตรฐานที่เปิด
- Licensing ข้อมูลจะต้องไม่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ในการใช้งาน
ประโยชน์ของ Open Government Data
การทำ OGD นอกเหนือจากการสร้างความโปร่งใสและทำให้เกิดธรรมาภิบาลในการบริหารงานภาครัฐ เพราะข้อมูลของภาครัฐในด้านต่างๆเช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การใช้จ่ายเงินงบประมาณ ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ยังทำให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกดังแสดงในรูปที่ 5 คือการช่วยทำให้บริการของรัฐดีขึ้นอาทิเช่น การเปิดเผยข้อมูลจราจรทำให้เกิดบริการสาธารณะที่ดีขึ้น การเปิดเผยข้อมูลอาชญกรรมก็จะช่วยลดปัญหาต่างๆ ดังแสดงตัวอย่างของการสร้าง Mobile App ที่เป็นประโยชน์จากการเปิดข้อมูลในประเทศอังกฤษดังแสดงในรูปที่ 6
รูปที่ 5 ประโยชน์ของการทำ Open Government Data
รูปที่ 6 ตัวอย่างการบริการภาครัฐที่ดีขึ้นจาก OGD ของสหราชอาณาจักร
นอกจากนี้ OGD ยังทำเกิดธุรกิจต่างๆขึ้นมากมายและเป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยมีรายงานระบุว่าการทำ OGD ในกลุ่มประเทศยุโรปทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 4 หมื่นล้านยูโรต่อปี การเปิดข้อมูลพยากรณ์อากาศในสหรัฐอเมริกาทำให้เกิดบริษัทใหม่ๆถึง 400 บริษัทและมีการว่าจ้างงานใหม่ถึง 4,000 ตำแหน่ง สำหรับประเทศสเปนการเปิดข้อมูลทำให้เกิดธุรกิจถึง 600 ล้านยูโรและตำแหน่งงานใหม่มากกว่า 500 ตำแหน่ง
ล่าสุดการเลือกตั้งประธาธิบดีในประเทศอินโดนีเซีย ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งของเขาได้เปิดข้อมูลการนับคะแนน ทำให้เกิดการเลือกตั้งที่โปร่งใสยิ่งขึ้นและเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Crowdsourcing ที่ภาคประชาชนจากที่ต่างๆมาร่วมกันตรวจสอบและนับคะแนนการเลือกตั้ง
บทสรุป
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า ถ้าเราจะปฎิรูปประเทศไทย และให้เกิดความโปร่งใส แล้วยังได้บริการภาครัฐที่ดีขึ้น รวมถึงประโยชน์เชิงธุรกิจ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องผลักดันให้เกิดกฎหมาย Open Government Data ที่สอดคล้องกับหลักการทั้ง 8 ข้อของการเปิดข้อมูลภาครัฐ
ธนชาติ นุ่มนนท์
IMC Institute
สิงหาคม 2557
One thought on “Open Government Data กับการปฎิรูปประเทศไทย”