Chief Technology Officer (CTO) กับการสร้าง Thailand 4.0 และ Thai Start-up

Screenshot 2017-07-08 15.05.19

ช่วงนี้เวลาที่ผมไปบรรยายตามที่ต่างๆ ผมมักจะแสดง  Slide ตามรูปข้างล่างที่กล่าวว่า “In an era of the Internet of Things, companies that have the right IT architecture and infrastructure, and the right talent, capable of both handling fast-moving technologies and finding meaning in big data, will be able to leapfrog their competitors.” ใช่ครับในโลกของยุคปัจจุบัน ถ้าเราจะแข่งขันได้เราต้องมี โครงสร้างพื้นฐานและสถาปัตยกรรมไอทีที่ดี มีทีมที่มีความสามารถที่ไล่ตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

screenshot-2017-02-19-17-10-56

บริษัทด้านเทคโนโลยีในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Oracle, Uber หรือ Alibaba จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในบริษัทเป็นพันๆคน และจำนวนมากมีตำแหน่งเป็น Chief Technology Officer (CTO) ที่มีความรู้ด้านสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีไอทีเป็นอย่างดี ทั้งด้าน Infrastructure, Architecture หรือ  core Technology อย่าง Cloud Computing, Big Data หรือ Web Programmming Framework แบบใหม่ๆ ผมจำได้ว่าเคยเจอบริษัทอย่าง  Lazada ที่จ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data Analytics นับสิบคน

บ้านเราฝันว่าจะเป็น Thailand 4.0 พยายามจะผลักดัน Start-up กัน และพยายามจินตนาการราวกับว่าคนไอทีไทยเก่งด้านเทคโนโลยีอย่างมากมาย ทั้งๆที่เราเองเล่นเทคโนโลยีแบบพื้นฐาน พัฒนาโปรแกรมเว็บอย่างง่ายๆ แม้เราอาจจะบอกว่าเรามีคนเก่งบ้าง แต่ก็น้อยมากๆอาจจะนับจำนวนได้ไม่กี่ร้อยคน ที่จะพอเข้าใจ Fast Moving Technologies เรามีคนอยู่แค่หยิบมีเดียวที่จะเข้าใจเรื่อง Microservices, Web Framework ใหม่, ภาษาคอมพิวเตอร์ใหม่ เรานับคนที่จะทำ  DevOp, Container, Machine Learning และยิ่งหาคนที่จะเข้าใจ Large/Enterprise IT Architecture ก็ยิ่งยากกว่าหาเข็มในมหาสมุทร ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าจะบอกว่า เราอาจหาคนทำโปรแกรมเล็กๆที่พอรันให้ผู้ใช้จำนวนมากได้ แต่พอจะต้องขยายเพิ่มจำนวนมหาศาล ต้องการทีมงานจำนวนมาก ต้องการ  IT Architecture ที่เหมาะสม เราก็อาจไปรอด และก็คงจะขยายไปเป็น Unicorn ไม่ง่าย เพราะในบ้านเราอย่าว่าแต่หา CTO เก่งๆเลย แม้แต่จะหา IT Programmer เก่งๆซักคนยังหายาก ดังนั้นที่ฝันก็คงไปได้ยากถ้าไม่เร่งสร้างคนในอีก  5-10 ปีข้างหน้า แล้วเราต้องการคนที่รู้เรื่องอะไรบ้างละครับ

ผมจะขอยกตัวอย่างอาชีพต่างๆที่ต้องเร่งสร้างดังนี้

IT Architect:  บ้านเราแทบจะมีบุคลากรนับคนได้ที่เห็นภาพโครงสร้างไอทีขนาดใหญ่ว่าระบบต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง จะทำให้ Scale  ได้อย่างไร คนที่เข้าใจระบบ  Cloud, Framework, Container, IT Security แต่ที่เรามีก็เพียง Programmer จำนวนหนึ่งที่เขียนโปรแกรมเว็บพื้นฐาน ถ้าเราไม่พัฒนาคนเหล่านี้ (ซึ่งก็พัฒนาค่อนข้างยาก) ผมเองก็ยังนึกไม่ออกว่า ระบบไอทีเราจะไปรอดได้อย่างไร นอกจากต้องซื้อโซลูชั่นและเซอร์วิสจากต่างประเทศ

Big Data: บุคลากรด้านนี้เรายังมีน้อยอยู่มาก จำนวนมากยังแทบไม่เข้าใจว่า Big Data  คืออะไร และยังเล่นกับ Structure Data  เพียงอย่างเดียว เราก็ยังเล่นกับโจทย์ BI และ Data Warehouse แบบเดิมเป็นส่วนใหญ่

Data Scientist: อนาคตของซอฟต์แวร์คือการทำ Amalytics และ Predictive เราต้องการนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่สามารถเขียนโปรแกรม เข้าใจเรื่อง Machine Learning และมีความรู้ในธุรกิจเฉพาะ แต่ทุกวันนี้แม้แต่โปรแกรมเมอร์ง่ายๆเรายังหายังหาแทบไม่ได้ แล้วตำำแหน่งนี้คงไม่ต้องพูดถึง

Developer ขั้นเทพ: โลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ปรับเปลี่ยนไปมาก ทั้งเรื่องของภาษา, Framework, Software Methodology และ Tools ใหม่ๆที่เข้ามา แต่ทีมงานเราจำนวนมากก็ยังพัฒนาซอฟต์แวร์ในรูปแบบเดิมๆ การจะประยุกต์ใช้  Cloud PaaS หรือระบบใหม่ๆน้อยมาก

IT Security: เรายังหาคนที่รู้เรื่องระบบความปลอดภัยด้านไอทีเราน้อยมาก โปรแกรมเมอร์บ้านเราสนใจเรื่องความปลอดภัยไอทีน้อยมาก การพัฒนาโปรแกรมเราจำนวนมากละเลยเรื่องนี้ หลายโปรแกรมถ้ามีการใช้งานจริงจังก็คงมีช่องโหว่มหาศาล

IT Specialist: คนที่รู้เรื่อง Emerging Technology  อย่างจริงจังเช่น คนเข้าใจเรื่อง Cloud Computing, Internet of Things, Blockchain, DevOp หรือ Container

จริงๆมีอีกหลายด้านที่ยังไม่ได้กล่าวถึง แต่แค่ตำแหน่งที่ยกมาก็แทบจะหาคนในตลาดได้น้อยมาก คนจบใหม่ก็ไม่ค่อยมี แต่เราก็ยังวนสอนกันแบบเดิมๆ และก็ฝันว่าอยากเป็นโน่นเป็นนี้ จะสร้าง  Thailand  4.0  จะสร้าง Start-up  เน้นคนมา Pitch ไอเดีย พัฒนาโซลูชั่นง่ายๆ ไม่มองเรื่องโครงสร้างขนาดใหญ่ เราเน้นการตลาดไม่ได้หวังเรื่องจะเกิดขึ้นจริงโดยไม่ดูความพร้อมของบุคลากรไอทีไทย ผมยังมองไม่ออกเลยว่าบริษัทเใหม่ๆหล่านี้จะโตขึ้นได้อย่างไร จะหาคนทำงานจำนวนมากได้อย่างไร จะหาใครมาเป็น CTO แต่ถ้าจะเน้นเอาแค่การตลาดลงข่าวผมว่าอันนี้เราไปได้ครับ ถึงเวลาหรือยังครับที่เราจะสร้างคนอย่างจริงจัง ลดการ PR ลง ปรับหลักสูตรในมหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยี หันมาสร้างคนอย่างจริงจังกันเถอะครับ

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

นิยามคนไทย 4.0 คงไม่ใช่แค่คนเล่นเทคโนโลยี

screenshot-2017-02-13-17-22-36

ช่วงนี้ทุกภาคส่วนต่างพูดถึงคำว่า  Thailand 4.0  และก็อาจเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปถึงว่าแล้วเราเป็น  Thailand 3.0 เมื่อไร แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็พยายามบอกว่า เราจำเป็นต้องพัฒนาประเทศให้แข่งขันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังก้าวสู่เศรษฐกิจในยุคใหม่และอุตสาหกรรม4.0  ให้ได้ เราจำเป็นจะต้องสร้าง คนไทย  4.0 แต่ความหมายของคำว่าคนไทย 4.0 อาจยังเป็นที่สงสัยของคนหลายๆคนว่าคืออะไร ซึ่งนายกรัฐมนตรีเคยกล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า “ถ้าท่านมีโทรศัพท์ แต่ยังใช้งานเพียงเพื่อการสื่อสารพื้นฐาน ท่านยังคงเป็น”คนไทย 1.0” ถ้าหากท่านใช้มือถือ ในการส่ง e-mail ส่งไฟล์เอกสาร หรือใช้ประโยชน์ในการทำงาน และกิจวัตรประจำวัน ท่านน่าจะยกระดับตนเองเป็น “คนไทย 2.0” ได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากท่านสามารถใช้ “สมาร์ทโฟน” ได้ราวกับคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อ “อินเตอร์เน็ต” ในการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ พัฒนาตนเอง ติดต่อกับคนทั่วโลกได้ ท่านอาจได้ชื่อว่าเป็น “คนไทย 3.0” ยิ่งกว่านั้น  หากท่านสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างเครือข่าย สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ นำไปสู่การผลิต ด้วยความรู้เหล่านั้น แล้วท่านรู้สึกว่า “ทำงานน้อยลง แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น” เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา แบบนี้ท่านได้ชื่อว่าเป็น คนไทย 4.0”

ผมก็เองก็เห็นด้วยกับรัฐบาลในเรื่องนี้ว่าเรากำลังอยู่ในโลกที่มี “พลวัต” ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และคนไทยเองจำเป็นต้องปรับตัวเองอย่างมากเพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และคำว่าคนไทย 4.0 มีความสำคัญอย่างยิ่งแต่ไม่ใช้เพียงแค่เป็นคนที่ใช้เทคโนโลยีเป็น แต่คิดว่าน่าจะมีความหมายมากกว่านั้น ข้อสำคัญคนไทย 4.0 จะต้องมี Digital Mindset  และ Digital Culture  ประกอบกับต้องเป็นคนที่มีจิตสาธารณะเพราะเรากำลังก้าวเข้าสู่ เศรษฐกิจยุคแห่งการแบ่งปัน (Sharing Economy) ซึ่งถ้าให้ผมนิยามคำว่า คนไทย 4.0 ในความเห็นส่วนตัวก็น่าจะเป็นดังนี้

 

screenshot-2017-02-13-17-25-09

รูปที่ 1  Digital Skill  ที่จำเป็นสำหรับคนในยุคปัจจุบัน 

  1. เป็นคนที่มีทักษะเชิงดิจิทัล ที่มีทักษะหกด้านที่จำเป็นต้องมีคือ Tools & Technologies, Find & Use, Teach & Learn, Communication & Collaborate, Create & Innovate และ Identity & Wellbeing  ดังที่ผมเคยเขียนในบทความเรื่อง “Digital Skill ที่คนไทยควรมีถ้าจะต้องก้าวไปสู่ Thailand 4.0” ตามรูปที่  1
  2. เป็นคนที่เข้าใจการโลกยุคโลกาภิวัฒน์  เข้าใจเศรษฐกิจแบบใหม่ ที่เข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 และโลกยุคไร้พรมแดนที่มีความเป็นสากล สามารถทำงานกับผู้ร่วมมือที่อาจอยู่ที่ใดๆในโลกนี้ แบบทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์ได้
  3. เป็นคนที่เข้าใจบริบทของสังคมไทย เข้าใจในประเพณีและวัฒนธรรมไทย ประวัติศาสตร์ไทย เข้าใจสังคมในชนบท และช่องว่างของสังคมไทยได้
  4. เป็นคนที่มี จิตสาธารณะเกื้อกูล แบ่งปัน มีจริยธรรม คุณธรรมและ รับผิดชอบต่อส่วนรวม พร้อมที่จะก้าวสู่การทำงานในยุค Sharing Economy ไม่ใช่เทคโนโลยีเพื่อเอาเปรียบสังคม สร้างความร่ำรวยให้กับตัวเอง โดยละเลยช่องว่างทางสังคมไทย 

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

 

Big Data School: การอบรม On the Job Training สำหรับนักศึกษารุ่นที่สอง

 

ปีที่ผ่านมาทาง  IMC Institute  ได้เปิดอบรมหลักสูตรทางด้าน Emerging Technology ต่างๆเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะทางด้าน Big Data  ได้เปิดหลักสูตรต่างๆทั้งทางด้าน Hadoop, Apache Spark, Business Intellegence, Data Science, Data Visualisation, R Programming และ Machine Learning โดยอบรมคนไปร่วม 1,600  คน นอกจากนี้ก็ยังมีโครงการต่างๆทั้ง การจัดฟรีสัมมนา Big Data User Group การจัดงาน Big Data Challenge ร่วมกับสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และการจัดอบรม Train the trainer : Big Data Analytics & Machine Learning ให้กับอาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆจำนวน  30 คนในช่วงเดือนกรกฎาคม

โครงการหนึ่งที่จัดให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยคือ Big Data School  โดยทาง IMC Institute จัดร่วมกับ ICE Solution และได้รับนักศึกษา 15 คนมาฝึกงานสองเดือนแบบ On the job training ในช่วงปิดเทอมในช่วงเดือน มิถุนายน จนถึง กรกฎาคม ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็มีนักศึกษามาร่วมโครงการจากหลากหลายสถาบันทั้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลาดกระบัง พระนครเหนือ มหาวิทยาลัยราชมงคลรัตนโกสินทร์ ธุรกิจบัณฑิต หรือมาไกลๆจาก มหาวิทยาลัยนครพนม มหาวิทยาลัยฟาฏอนี หรือนักศึกษาไทยในต่างประเทศอย่าง Wesleyan University

จริงๆโครงการนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่นน้องคนหนึ่งที่เอารายการทีวีรื่อง “โรงเรียนฝึกคนหัวใจเพชร” ให้ดู ซึ่งเป็นโรงเรียนฝึกเด็กช่างไม้ในญี่ปุ่น สอนเด็กให้แกร่ง อดทน มีวินัยและใช้สมอง เห็นความยากลำบากในการเรียนกว่าจะออกมาเป็นช่างไม้ที่เก่งและมีคุณภาพ น้องเลยถามผมว่าเราทำโรงเรียนพัฒนาโปรแกรมเมอร์อย่างนี้ในเมืองไทยไหม  ผมก็เลยเริ่มคิดถึงการฝึกคน ผมอาจจะยังไม่สามารถทำโรงเรียนฝึกโปรแกรมเมอร์หัวใจเพชรได้ทันที แต่ก็นึกขึ้นมาว่าวันนี้อุตสาหกรรมไอทีในบ้านเราหาโปรแกรมเมอร์เก่งๆได้ยากโดยเฉพาะคนที่ซื่อสัตย์และตั้งใจทำงานให้กับหน่วยงาน ไม่ใช่แค่คิดหวังจะร่ำรวย นอกเหนือจากมีความรู้ ก็ต้องอดทนและมีจริยธรรมที่ดี เรามาฝึกงานเขาไหม? อาจเป็นช่วงเวลาสั้นๆ 2-3 เดือน พอฝึกงานเสร็จมาเขาจะกลับไปเรียนต่อหรือไปทำงานที่ไหนก็ตามอย่างน้อยเราก็ได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคมบ้าง พอคิดได้อย่างนี้ก็เริ่มคุยกับเพื่อนและอาจารย์บางคนแล้วบอกว่า กลางเดือนปีที่ผ่านมาผมก็เริ่มทำ Big Data Intern School ฝึกงานนักศึกษา 15 คนให้ทำ Big Data แล้วก็กำหนดเป้าหมายสิ่งที่จะฝึกเขาดังนี้

  • ให้เรียนรู้หลักการของ Big Data และเทคโนโลยีต่างๆ
  • สามารถติดตั้งระบบ Big Data ได้ไม่ว่าจะเป็น Apache Hadoop, Cloudera, Hortonworks, Amazon EMR และ Microsoft Azure HDInsight
  • ให้ใช้ระบบ Cloud Computing อย่าง Amazon AWS และ Microsoft Azure ใที่ทางสถาบันจัดให้
  • สามารถติดตั้งระบบ NoSQL ต่างๆอย่าง Cassandra, NoSQL, MongoDB
  • เรียนรู้การประมวลข้อมูลขนาดใหญ่โดยใช้ Hive, Impala, Spark
  • สามารถที่จะดึงข้อมูลเข้าโดยใช้เทคโนโลยีอย่าง Sqoop, Flume, Kafka
  • เรียนรู้การทำ  Machine Learning โดยใช้ภาษา R, Spark MLLib หรือเครื่องมืออย่าง Azure Machine Learning
  • ทำโปรเจ็คด้าน Big Data กับบริษัท

13895023_683716961775647_7601004528023796116_n

ผมเองก็ได้อาจารย์ประจำสถาบันไอเอ็มซีหลายท่านเข้ามาช่วยอบรมนักศึกษาทั้ง 15 คน อาทิเช่น อ.โกเมษ จันทวิมล,อ.ธีรชัย หลาวทอง, อ.ชินวิทย์ ชลิดาพงศ์, อ. อารยา ฟลอเรนซ์และตัวผมเอง เข้ามาสอน  รวมถึงคุณดนุพล สยามวาลา และก็มีรุ่นพี่จาก Ice Solution สองคนเข้าช่วยเป็นพี่เลี่ยงตลอดทั้งสองเดือน นักศึกษาเองก็ได้เรียนรู้จากที่ทางอาจารย์สอนและฝึกหัดทำเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง โดยการฝึกงานในช่วงต้นจะฝึกเน้นให้นักศึกษามีความเข้าใจเรื่องของ Big Data Technology  ต่างๆ และ Big Data Architecure จากนั้นก็จะเป็นการเน้นการใช้เทคโนโลยี Hadoop โดยให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มกันติดตั้ง Hadoop Distribution ต่างๆทั้ง Cloudera, Hortoworks, MapR และ Pure Apache Hadoop แล้วทำการเปรียบเทียบกัน ซึ่งนักศึกษาก็สามารถทำได้เป็นอย่างดี โดยได้ลงมือติดตั้งบน Server cluster บน Cloud สุดท้ายก็ให้นักศึกษาได้เรียนรู้การทำ  Big Data Analytics และ Machine Learning Techniques  โดยใช้เครื่องมือต่างๆอย่าง  Apache Spark, Spark MLlib และ Azure Machine Learning

ตลอดเวลาสองเดือนนักศึกษาได้ฝึกทักษะด้าน Big Data เป็นอย่างดี ซึ่งนักศึกษาที่มาฝึกงานมีทั้งปี 2 ปี 3 รวมถึงนักศึกษาปีที่ 4  จบแล้ว 3-4 คนซึ่งยอมมาฝึกงานก่อนออกไปทำงาน ผลของการฝึกงานก็ทำให้นักศึกษาเหล่านี้สามารถลงมือทำการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่โดยใช้ Hadoop และเทคโนโลยีต่างๆได้ และทุกคนก็ได้ใช้ผลของการฝึกงานเข้าไปทำงานในบริษัทต่างๆได้ นักศึกษาที่ฝึกงานในโครงการนี้ก็ยังสามารถแสดงความสามารถไปชนะการประกวดด้าน Big Data Analytics ต่างๆ ทั้งงาน Big Data Challenge ของ IMC Institute เองที่ต้องแข่งกับผู้ใหญ่และนักพัฒนาที่ทำงานแล้ว และก็ไปได้รางวัลการประกวด  Data Science Contest ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ซึ่งผลของการฝึกงานทางสถาบันไอเอ็มซีก็ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งที่เราได้ทำเพื่อพัฒนาบุคลากรเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม

สำหรับในปีนี้ทางสถาบันไอเอ็มซีตั้งใจจะรับนักศึกษามาฝึกงานในโครงการ Big Data School รุ่นที่สอง โดยในปีนี้เน้นจะรับนักศึกษาปีที่ 4 ที่จบการศึกษาแล้วแต่ต้องการฝึกงานเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมอีกสองเดือนก่อนเข้าไปทำงานในภาคอุตสาหกรรม โดยทางสถาบันเองจะร่วมมือกับบริษัท  NetBay  และบริษัทสยามวาลา เพื่อร่วมกันพัฒนา Big Data Platform และให้นักศึกษาได้ทดลองฝึกงานกับโจทย์จริงในภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นให้นักศึกษาได้เรียนเพื่อที่จะสอบประกาศนียบัตรระดับสากลอย่าง CCA Spark and Hadoop Developer Exam (CCA175)  โดยทางสถาบันจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่งให้กับนักศึกษาที่คาดว่าน่าจะสอบผ่าน

สำหรับกำหนดการ การฝึกงานในปีนี้จะมีโปรแกรมคร่าวๆดังนี้

29 พฤษภาคม วันแรกแรกการฝึกงาน จัดปฐมเทศ อบรมระเบียบวินัย ศึกษาแนวโน้มของเทคโนโลยี

30พฤษภาคม – 3 มิถุนายน เรียนรู้ระบบ Public Cloud ของค่ายต่างอาทิเช่น Google Cloud, Amazon Web Services, Microsoft Azure การใช้บริการต่างๆ อาทิเช่น Virtual Server, Cloud Storage, Auto-Scaling Servers, Application Development Servers รวมถึงศึกษาเรื่อง Docker

5 – 10 มิถุนายน เรียนรู้หลักการของ Big Data Architecture  การติดตั้ง Apache Hadoop การติดตั้ง Hadoop Cluster และการติดตั้ง Cloudera/Hortonworks Cluster รียนรู้ NoSQL และติดตั้งระบบต่างๆทั้ง Cassandra, MongoDB และ HBase ร่วมถึงระบบอย่าง ElasticSearch และ Solr

12-17 มิถุนายน  เรียนรู้บริการต่างๆของ Hadoop ต่อ การใช้บริการต่างๆทั้ง  Hive, Impala, Flume, Sqoop, Kafka, Cloudera Manager, Amabari และให้เขียนข้อสรุปเปรียบเทียบ Big Data ต่างๆ

19-24 มิถุนายน เรียนรู้ Apache Spark และการทำ Big Data Analytics โดยใช้ Spark Python, Spark Scala, Spark SQL และ Spark Streaming

26 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม  เรียนรู้ Machine Learning การใช้เครื่องมือและภาษาต่างๆอาทิเช่น , MLLib และ Azure Machine Learning และติวการสอบ CCA Spark and Hadoop Developer Exam

3-27 กรกฎาคม ทำ Mini-Project

28 กรกฎาคม นำเสนอ Mini-Project และปิดการฝึกงาน

ทั้งนี้การอบรมเชิงฝึกงานครั้งนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งทางสถาบันคาดว่าผู้ที่ผ่านการอบรมจะเป็นผู้ที่เข้าใจหลักการและเทคโนโลยีด้าน Big Data  พร้อมทั้งสามารถทำด้าน Data Science ได้ โดยทางสถาบันจะมีการสอบและวัดผลสัมฤทธิ์ของการฝึกงาน และทางสถาบันจะออกใบรับรองว่าผ่านการฝึกงาน และผู้ที่ผ่านหากต้องการไปฝึกงานหรือทำสหกิจศึกษา การทำโครงการเพิ่มเติมระหว่างเรียน ทางสถาบันจะติดต่อและให้การรับรองให้ พร้อมกันนี้นักศึกษาที่ทำคะแนนสอบจากการทดลองสอบ CCA Spark and Hadoop Developer Exam สูงสุดสามอันดับแรกทางสถาบันจะออกค่าใช้จ่ายการสอบจริงให้มูลค่ารายละ $295 เพื่อให้ได้ประกาศนียบัตร ทั้งนี้ผู้เข้าอบรมไม่มีอะไรต้องผูกมัดกับทางสถาบัน และทางสถาบันยินดีประสานติดต่อกับบริษัทอื่นๆเพื่อไปทำงานด้าน Big Data ต่อไป

สำหรับคุณสมบัติผู้ที่จะเข้ารับการอบรมนี้มีดังนี้

  • กำลังศึกษาหรือสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิทยากรคอมพิวเตอร์ หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ [ถ้าเป็นนักศึกษาปี  4 ที่กำลังจบการศึกษาจะได้รับการพิจารณาก่อน]
  • มีความตั้งใจจะเข้าฝึกงานจริงจัง อาจเป็นส่วนหนึ่งของการจบการศึกษาหรือไม่ก็ได้
  • สามารถเข้าฝึกงานได้ตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ เวลา เวลา 8.30 – 17.30 น.
  • ต้องเข้ามาฝึกงานทุกวันตามข้อตกลงและต้องมีเวลาเข้าฝึกงานไม่น้อยกว่า 95%

ผู้ที่มีความสนใจการอบรมนี้สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.imcinstitute.com/bigdataschool พร้อมทั้งส่งใบสมัครออนไลย์และติดต่อที่สถาบันไอเอ็มซี ก่อนวันที่  31 มีนาคม 2560

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

กุมภาพันธ์ 2560

Digital Skill ที่คนไทยควรมีถ้าจะต้องก้าวไปสู่ Thailand 4.0

ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ผมมีโอกาสเข้าร่วมทำงานเป็นคณะอนุกรรมการวางแผนการผลิตและพัฒนากําลังคนเพื่อรองรับดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) ของสำนักงานการอุดมศึกษา และได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ใหญ่ในวงการการศึกษาหลายท่านในเรื่องของกำลังคน และทักษะทางด้านดิจิทัลที่คนไทยควรจะมีเพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลพยายามที่เน้นเรื่องของ Thailand 4.0 ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมาก การเตรียมการบุคลากรในอนาคตคงต้องรองรับทั้งกลุ่มที่เป็นักวิชาชีพด้านไอทีและคนทั่วไปที่เป็นผู้ใช้ที่ต้องมีทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูง

เรามักจะเข้าใจคนไทยเราเก่งด้านการใช้ไอที เด็กรุ่นใหม่เราเรียนรู้การใช้ไอทีเก่ง ทั้งการใช้ Computer, SmartPhone การเล่น Social Media หรือ โปรแกรมต่างๆ แต่ผมมักจะบอกกับคนว่าเด็กเราขาดทักษะทางด้านดิจิทัล เพราะทักษะทางด้านดิจิทัลไม่ใช่แค่การใช้อุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ และมันมีองค์ประกอบหลายๆด้าน เคยบอกกับบางท่านว่า SME ไทยจำนวนมากใช้อีเมลไม่เป็น ท่านก็เข้าใจว่าผมหมายถึงการรับส่งอีเมลและก็มาโต้แย้งกับผม จริงๆแล้วทักษะการใช้อีเมลมันมีความหมายมากกว่าการรับส่งแต่ต้องเข้าใจพฤติกรรมและวัฒนธรรมที่ต้องเปลี่ยนไป เช่นการส่ง cc, bcc หรือการแนบไฟล์ต่างๆ รวมถึงวิธีการส่งที่เหมาะสม แต่คนเราก็ยังมักส่งอีเมลเสมือนว่าเป็นเครื่องมือธรรมดาแบบหนึ่ง แต่ไม่ได้เรียนรู้ทักษะวิธีการเขียน ความสำคัญของการแนบเอกสารหรือการส่งข้อมูลต่างๆ

ในการประชุมอนุกรรมการวางแผนฯก็มักจะถกกันเรื่องเครื่องมือที่จะมาใช้วัดทักษะทางด้านดิจิทัลของนักศึกษามหาวิทยาลัย บางหน่วยงานก็พยายามคิดการสอบที่เป็นการใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆเช่น Word, Excel หรือการใช้อีเมล จริงๆแล้วทักษะดิจิทัลมันมีเรื่องอื่นๆที่สำคัญมากกว่าการใช้เครื่องมืออีกมาก ทุกวันนี้นโยบาย Digital Economy ไปไม่ถึงไหน ส่วนหนึ่งก็ติดที่ทักษะของบุคลากรภาครัฐไม่เพียงแต่ใช้เครื่องมือไม่คล่องแล้วยังรวมถึงการขาด Digital Mindset และวัฒนธรรมดิจิทัลในองค์กร การศึกษาเราก็สอนแต่ให้นักเรียน นักศึกษาใช้เครื่องมือโดยไม่เข้าใจคำว่า ทักษะดิจิทัล ที่เด็กควรมี

map_no_topics

เมื่อสัปดาห์ก่อนนี้ทาง รศ.ดร.บวร ปภัสราทร จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีซึ่งเป็นหนึ่งในอนุกรรมการได้กรุณานำเสนอ Digital Skills Metro Map อันนี้ซึ่งเป็นของประเทศไอร์แลนด์ที่ใช้ในการกำหนดองค์ความรู้และทักษะทางด้านดิจทัลของนักศึกษามหาวิทยาลัยของเขาทุกคน แผนที่อันนี้น่าสนใจมากและเป็นแบบ Interactive เราคุยกันแล้วเห็นด้วยครับว่า ถ้าประเทศไทยจะก้าวไปเป็น  Thailand 4.0  เราจะต้องทำให้คนไทยจำนวนมากมีทักษะแบบนี้ให้ได้ ภาคราชการและภาคเอกชนก็ต้องมีบุคลากรที่มีทักษะดังภาพ ซึ่งผมเห็นแล้วบุคลากรไทยเรายังห่างไกลกันอีกมาก เผลอๆกลุ่มแรกที่ต้องจับ Re-skill ก็คือผู้บริหารภาครัฐทั้งหมด แล้วบังคับให้ทำงานแบบใช้ Digital Skill เหล่านี้ พร้อมทั้งต้องสร้าง Digital Mindset/Culture ในทุกองค์กร

ทักษะหกด้านที่จำเป็นต้องมีคือ

  • Tools & Technologies คือความสามารถในการใช้เทคโนโลยีต่างๆซึ่งอาจเป็นเรื่องยากที่จะตามเทคโนโลยีได้ทันทั้งหมด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ต้องให้มีทักษะความเข้าใจพื้นฐานว่าเครื่องมือต่างๆเหล่านี้ทั้ง Hardware, Software ทำงานได้อย่างไร อะไรคือความสามารถของเทคโนโลยีและมีข้อจำกัดอย่างไร จะเห็นได้ว่าต้องครอบคุลมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆด้วยอย่าง  Internet of Things หรือ  Collaboration Tools
  • Find & Use ซึ่งไม่ได้แค่ความสามารถในการค้นข้อมูลจาก Google หรือ Search Engine ต่างๆได้ แต่มันรวมถึงความสามารถในการที่วิเคราะห์และตัดสินใจข้อมูลที่มีคุณภาพจากข้อมูลที่มีอยู่มากมายในโลกอินเตอร์เน็ตได้ รวมถึงทักษะในการอ้างอิงข้อมูลต่างๆเหล่านี้ และเข้าใจถึงลิขสิทธิ์ของข้อมูลและการนำไปใช้
  • Teach & Learn  การเรียนการสอนแบบใหม่จะต้องให้ผู้มีเรียนและผู้สอนมีทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ถูกต้อง การใช้เครื่องมือบางอย่างเช่น Presentation Tools เป็นเรื่องดี แต่ถ้าขาดทักษะและความเข้าใจที่ดีแล้วก็อาจทำให้การเรียนการสอนขาดคุณภาพได้ จึงจำเป็นต้องเข้ากระบวนการการเรียนการสอนแบบใหม่ การใช้เครื่องมือ การออกแบบหลักสูตร และเรื่อง Critical Thinking
  • Communication & Collaborate โลกของดิจิทัลทำให้ทุกคนเชื่อมต่อกัน สื่อสารกันได้ง่ายขึ้น รูปแบบการทำงานได้เปลี่ยนไป จึงจำเป็นต้องให้มีทักษะในการทำงานแบบใหม่ การใช้เครื่องมือต่างๆเช่น อีเมล, Video Conference, Wiki, Messaging, Colloboration Tools การแชร์ข้อมูล เพื่อที่จะให้สามารถทำงานร่วมกันได้ในสถานที่ต่างๆ
  •  Create & Innovate เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้เราสามารถที่จะสร้างนวัตกรรมในรูปแบบต่างๆได้มากมาย ทั้งข้อความ รูปภาพ ซอฟต์แวร์ หรือบริการต่างๆ เราต้องมีทักษะในการสร้างเนื้อหาดิจิทัลเหล่านี้เช่น Digital Images, Graphics Design รวมถึงการเขียนโปรแกรมที่คนทุกคนควรมีทักษะ เพื่อที่จะสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆได้
  • Identity & Wellbeing โลกดิจิทัลมีความเสี่ยงต่อการใช้งานจากภัยคุกคามต่างๆ เราจำเป็นต้องสอนให้คนมีทักษะที่เข้าใจในเรื่องปกป้องข้อมูลตัวเอง การเก็บรหัสตัวตนต่างๆ รวมถึงความรับผิดชอบในการดูแลและป้องกันข้อมูลของผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับเรา รวมถึงการมีจรรยาบรรณในการใช้งาน

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นนะครับและพอสรุปได้นะครับว่า เรามีทักษะด้านดิจิทัลที่แท้จริงแค่ไหน ถึงเวลาหรือยังครับที่ต้องพัฒนาหลักสูตรอย่างจริงจังตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ไม่ใช่ให้แต่เรียนรู้การใช้เครื่องมือแต่มันต้องมีทักษะอื่นๆอีกมากมายเช่น Find & Use, Communication & Collorate ทำอย่างไรให้คนจบอุดมศึกษาทั้งประเทศ Coding  เพราะต่อไปการใช้เครื่องมือต่างๆแม้แต่รถยนต์ก็อาจต้องการทักษะแบบนี้ ถึงเวลาที่เราต้องมาพัฒนาครูอาจารย์กันใหม่ ข้าราชการก็เป็นกลุ่มที่สำคัญที่ต้องมีทักษะเหล่านี้ ถ้าข้าราชการใหญ่ยังไม่มีทักษะแบบนี้ต่อให้เปลี่ยนปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอีกกี่คน Digital Economy ก็คงไปไม่ถึงไหน และนโยบาย Thailand 4.0 ก็คงเป็นแค่ Hit and Run Campaign อีกรายการหนึ่งของภาครัฐ

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

 

 

แนวโน้มเทคโนโลยีไอที 2017 สำหรับประเทศไทย

ตามที่เคยเขียนบทความเรื่องแนวโน้มเทคโนโลยี 2017 ของ Gartner เราจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีหลายอย่างอาจแตกต่างกับบ้านเราค่อนข้างมาก และคงเป็นเรื่องที่หน่วยงานต่างในบ้านเราต้องเตรียมตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังก้าวเข้ามา แต่ถ้าเรามามองถึงแนวโน้มเทคโนโลยีสารสนเทศ 2017 ในบ้านเรา เราจะเห็นว่าหลายๆเรื่องแม้เป็นกระแสหลักในต่างประเทศเมื่อ 3-5 ปีก่อน แต่ก็ยังเป็นแนวโน้มในปีหน้าของบ้านเราที่กำลังเข้ามาเนื่องจากสอดคล้องกับความต้องการขององค์กรต่างๆ นโยบายของภาครัฐ และความสามารถของบุคลากรไอทีในบ้านเราโดยสามารถที่จะสรุปเทคโนโลยีเด่น 10 อย่างในปี 2017 ของบ้านเราได้ดังนี้

1 ) Cloud Computing

ในปัจจุบันข้อมูลต่างๆ และแนวโน้มของอุตสาหกรรมไอทีได้บ่งชี้ให้เห็นแล้วว่า Cloud Computing กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมจริงๆ โดยเฉพาะแนวโน้มของตลาดโลกที่น่าจะต้องมีผลกระทบต่อวงการอุตสาหกรรมไอทีไทย โดยตลาด Tradition IT ด้าน IT Infrastructure จะลดลงไปเรื่อยๆ และตลาด Public Cloud จะโตขึ้นอย่างรวดเร็วโดย IDC คาดการณ์ว่าตลาด Tradition IT จะเหลือเพียงแค่ 55% ในปี 2019 นอกจากนี้ ตลาด Cloud Computing ทำให้ผู้เล่นในตลาดเปลี่ยนไป อาทิเช่น ผู้นำตลาด IaaS กลับเป็นบริษัทที่ไม่เคยเป็นผู้ผลิต Hardware มาก่อนเช่น Amazon Web Services หรือ Microsoft

ในปัจจุบันบริษัทต่างๆในประเทศไทยก็หันมาใช้ซอฟต์แวร์ที่เป็น SaaS มากขึ้น แม้แต่หน่วยงานภาคการเงินการธนาคารหลายแห่งมีการใช้ซอฟต์แวร์ต่างประเทศอย่าง Salesforce, Google Apps และ Microsoft Office 365 นอกจากนี้ยังมีบริษัทซอฟต์แวร์รวมถึงกลุ่ม Tech- Start up จำนวนมากที่มาใช้ IaaS หรือ PaaS อย่าง Amazon Web Services หรือ Microsoft Azure ทั้งนี้ก็เริ่มมีชุมชนด้านนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในประเทศต่างๆที่ให้ความสำคัญกับการใช้ Cloud Platform อาทิเช่น AWS User Group ที่มีการจัดสัมมนาอย่างต่อเนือง หรือกลุ่มของ Microsoft Azure หรือ IBM Bluemix ที่มีการจัดกิจกรรมด้านนี้อย่างต่อเนื่อง กระแสการใช้ Cloud Computing ในอนาคตจะยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม และก็อาจกลายเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ทุกคนมาใช้งาน มากกว่ารูปแบบไอที On-Premise แบบเดิม

2) Big Data Analytics

กระแสของ Big Data ในประเทศไทยได้เริ่มพูดกันอย่างจริงจังในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและสถาบันการเงิน เริ่มมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านนี้มากขึ้น มีการจัดหาเทคโนโลยี Hadoop เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลที่เป็น Semi-structure/Unstructure ได้มากขึ้น และเริ่มมีการคิดที่จะนำข้อมูลขนาดใหญ่มาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางการทำธุรกิจใหม่ ให้ได้ข้อมูลการตลาดและลูกค้ามากขึ้น ตลอดจนภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องของ Open Data และมีนโยบายในการที่จะพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ในภาครัฐ ซึ่งก็มีสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์กรมหาชน) ที่ได้ทำงานในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง มีการจัดกิจกรรมและความร่วมมือต่างๆ ในกลุ่มนักพัฒนาและสถาบันการศึกษาต่างๆก็เริ่มให้ความสำคัญกับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) มากขึ้น มีการเปิดหลักสูตรใหม่ๆทางด้านนี้อาทืเช่นหลักสูตรปริญญาตรีด้าน Data Science ของสถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือการจัดสัมมนาของ Data Science User Group

ในปีหน้าคาดว่าความตื่นตัวทางด้านนี้จะมีมากยิ่งขึ้น องค์กรจะเริ่มให้ความสนใจกับการนำข้อมูลขนาดใหญ่ไปวิเคราะห์ โดยเฉพาะภาคการเงินการธนาคาร การตลาด โทรคมนาคม และค้าปลีก การแข่งขันทางด้านนี้จะมีมากยิ่งขึ้น องค์กรต่างๆก็จะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น และก็เริ่มจะหาเครื่องมือที่สามารถจะวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆทั้งจาก RDBMS, Data Warehouse, NoSQL และ Hadoop มากขึ้น หน่วยงานจะเน้นความสำคัญกับการทำ Data Visualisation มากขึ้น และก็จะเริ่มมีการทำ Predictive Analytics มากขึ้น พร้อมทั้งจะมีความต้องการหานักวิทยาศาสตร์ข้อมูลมากขึ้น

3) Internet of Things

IoT (Internet of Things) เป็นหนึ่งในแนวโน้มเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก และมีผลต่อเรื่องของอุตสาหกรรม 4.0 อย่างมากเพราะต่อไปเราจะเห็นอุปกรณ์ต่างๆเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอย่างมากมายและธุรกิจต่างๆจำเป็นต้องจะนำอุปกรณ์เหล่านี้มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันและเกิดมูลค่าเพิ่ม บ้านเรากำลังเน้นคำว่า Thailand 4.0 (โมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย) ซึ่งก็หนีไม่พ้นกับเรื่องของอุตสาหกรรม 4.0และก็กำลังเน้นเรื่องของ Digital Economy มีการวางแผนเรื่องของ Smart City ซึ่งจะต้องมีการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และคงหนีไม่พ้นที่ต้องมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT
ชุมชนนักพัฒนาบ้านเราก็ให้ความสนใจกับด้าน IoT อย่างมากมีการตั้ง Maker Club หลายแห่ง มีการจัดตั้งกลุ่ม Thailand IoT Consortium และมีกิจกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเราเห็นคนไทยเข้าไปเป็นประธาน South East Asia Makerspace Network หน่วยงานภาครัฐอย่าง NECTEC ก็มีการส่งเสริม IoT Platform อย่าง NETPIE และมีบริษัทเอกชนหลายแห่งที่เริ่มทำเรื่อง IoT ร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อผลักดันออกไปสู่ระดับโลกอย่าง บอร์ด Nano32 ซึ่งคนไทยเป็นผู้พัฒนาเป็นบอร์ด ESP32 บอร์ดเดียวในโลกที่มีจำหน่าย

4) Webscale IT

การใช้อินเตอร์เน็ตในบ้านเราเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลซึ่งหมายถึงมีการใช้บริการออนไลน์ต่างๆมากขึ้นเช่นการใช้ดูข้อมูล รับบริการต่างๆ รวมถึงการใช้ E-Commerce ที่เพิ่มขึ้นมากมาย ทำให้การออกแบบระบบบริการออนไลน์จำเป็นต้องรองรับผู้ใช้จำนวนมากที่เข้ามาทำงานพร้อมกันให้ได้ ซึ่งหมายถึงการเตรียมสถาปัตยกรรมไอทีใหม่ การเตรียมเครื่อง Server จำนวนมาก การออกแบบซอฟต์แวร์โดยใช้ Framework ใหม่ ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เราคงเห็นองค์กรต่างๆจะต้องปรับเทคโนโลยีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบล่มอย่างที่เกิดขึ้นและเป็นข่าวอย่าง ระบบการจองตั๋วหรือระบบลงทะเบียนต่างๆ

5) FinTech

Financial Technology เป็นเรื่องที่สถาบันการเงินบ้านเรากล่าวถึงกันอย่างมาก ธนาคารในบ้านเราหลายๆแห่งมีการตั้งหน่วย FinTech เพื่อพยายามหานวัตกรรมใหม่ๆที่จะเข้ามาแทนที่รูปแบบการเงินแบบเดิมๆ และก็มีผู้เล่นรายใหม่ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินและกลุ่ม Start-up ที่สนใจเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานด้านธุรกรรมการเงิน จนเริ่มมีการพูดกันว่าในอนาคตผู้คนจะใช้เทคโนโลยีในการทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้นและอาจทำให้จำนวนสาขาแบงค์น้อยลง ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยแสดงให้เห็นว่าในปัจจุปันเรามีบัญชี Mobile Banking มากกว่า 10 ล้านบัญชี และ Internet Banking มากกว่า 12 ล้านบัญชี ซึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่ามีการทำธุรกรรมออนไลน์มากขึ้น

นอกจากนี้เรายังมีนวัตกรรมด้านการเงินใหม่ๆอีกมากที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้อย่างเช่นการลงทุนที่นำเทคโนโลยีไอทีมาใช้ในการวิเคราะห์ตลาดหุ้น หรือกองทุนรวมอย่าง Jitta, WealthMagik หรือ Finnomena การเปรียบเทียบบริการด้านการเงินอย่าง Gobear, Rabbit Finance ตลอดจนช่องทางการชำระเงินแบบใหม่ๆอย่าง 2C2P, Omise, Paysbuy เป็นต้น สถาบันการเงินเองก็การแข่งขันกันหานวัตกรรมใหม่ๆจากผู้เล่นที่เป็น Start-up โดยการเข้าไปลงทุนหรือจัดประกวดต่างๆ รวมถึงการศึกษาและหาช่องทางในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆอย่าง Blockchain เข้ามาใช้งาน และล่าสุดมีการจัดตั้ง Thailand FinTech Club ที่จะผลักดันในเรื่องนี้โดยมีคุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน

6) PromptPay

“พร้อมเพย์” (AnyID) คือเรื่องที่กล่าวขานกันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของนวัตกรรมการเงินของประเทศ จะเป็นการลดการทำธุรกรรมการเงินโดยการใช้เงินสด แล้วหันไปใช้เลขประจำตัวประชาชน หรือเบอร์โทรศัพท์มือถือ แทนเลขที่บัญชีธนาคาร ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง โมบายแบงก์กิ้ง เครื่องเอทีเอ็ม แม้โครงการจะถูกเลื่อนออกไปเป็นไตรมาสแรกในปีหน้า แต่ด้วยการผลักดันของรัฐบาลและกลุ่มธนาคารต่างๆก็คงยังจะทำให้พร้อมเพย์เป็นเเรื่องที่น่าสนใจและจะมีการลงทุนกันอย่างมากในเรื่องนี้ ทั้งในการปรับโครงสร้างด้านไอทีของกลุ่มธนาคาร การรองรับการชำระเงินแบบใหม่ของหน่วยงานต่างๆ ตลอดจนการคำนึงถึงระบบความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง

7) IT Security

แนวโน้มของการใช้ไอทีมากขึ้น ทำให้องค์กรต่างๆจำเป็นต้องมีความตื่นตัวด้านความปลอดภัยของเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น ในปีนี่เราจะเห็นได้ว่ามีข่าวเรื่องของการโจรกรรมข้อมูล การโจมตีเว็บ การปล่อยมัลแวร์ หรือล่าสุดจะเห็นข่าวการโจรกรรมเงินในตู้เอทีเอ็มของธนาคารในประเทศ ตลอดจนความต้องการการใช้บริการออนไลน์มากขึ้นทำให้หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมีการลงทุนและสร้างความตระหนักให้แก่ผู้ใช้งานมากขึ้น ด้วยความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่มีมากขึ้นประกอบกับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆอย่าง IoT จะทำให้องค์กรต่างๆต้องพิจารณาปรับปรุงระบบความปลอดภัยไอทีให้มีความเข้มแข็งขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้งานที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย

8) Digital Transformation

การเข้ามาของเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างมาก เกิดธุรกิจใหม่ๆมากมายเช่น Airbnb, Uber หรือ Agoda การเข้ามาของธุรกิจเหล่านี้ทำให้มีผลกระทบต่อธุรกิจเดิมๆที่เคยทำอาทิเช่น eBook มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสิ่งพิมพ์ หรือ Streaming Content อย่าง NetFlix, Hollywood HD ก็มีผลกระทบต่อธุรกิจด้านทีวีในบ้านเรา องค์กรต่างๆก็เริ่มที่จะต้องปรับตัวเองมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากขึ้น ทั้งในการบริหารงาน การบริการลูกค้า หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เรื่องของ Digital Transformation ก็จะเป็นหัวข้อหนึ่งที่มีการพูดกันอย่างมากในช่วงสองสามปีข้างหน้า

9) Mobility

แม้ตัวเลขการใช้เทคโนโลยี Smartphone, Tablet หรือ 4G ในบ้านเราจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก แต่การใช้งานส่วนใหญ่ยังมุ่งไปเพื่อความบันเทิงมากกว่าการใช้เพื่อทำงานหรือสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงธุรกิจ แต่เนื่องจากพฤติกรรมการทำงานของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปมีความเป็น Mobile มากขึ้นคือการทำงานในทุกที่ ทุกอุปกรณ์ ประกอบกับปัญหาการจราจรในเมืองใหญ่ต่างๆของบ้านเรา จะทำให้หน่วยงานจะต้องเตรียมปรับเทคโนโลยี และรูปแบบการทำงานให้รองรับ Mobility มากขึ้น เช่นการประชุมออนไลน์ การทำงานแบบร่วมกัน การแชร์ข้อมูลผ่าน Share Drive หรือ การทำเอกสารแบบออนไลน์โดยใช้เครื่องมืออย่าง Google Docs หรือ Office 365 หน่วยงานในบ้านเราจะมีการปรับวัฒนธรรมในองค์กรให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นครั้งใหญ่

10) Business Value Dashboard

แม้เรื่อง Big Data จะเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีด้านหนี่งมี่สำคัญในปีหน้า แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าหน่วยงานบ้านเราจำนวนมากยังมีปัญหาเรื่องของข้อมูลการรวบรวมข้อมูล การทำ Data Visualization จากข้อมูลพื้นฐานในองค์กร หน่วยงานจำนวนมากก็ยังจัดทำเรื่องของ Data Warehouse และ Business Intelligence เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการทำงานได้ ดังนั้นเรื่องของการทำ Business Dashboard ก็ยังเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งสำหรับองค์กรต่างๆ เพื่อที่จะนำเสนอข้อมูลในองค์กรให้อยู่ในรูปแบบที่ผู้บริหารตัดสินใจได้ เราจะเห็นการลงทุนของหน่วยงานต่างๆที่จะซื้อเครื่องมือเหล่านี้ในการประมวลผล และมีการจัดทำโครงการต่างๆด้าน Business Intelliegence ที่มากขึ้น

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

screenshot-2016-10-24-11-52-46

Top 10 Strategic Technology Trends for 2017

ทุกๆสิ้นปี Gartner จะประกาศแนวโน้มของเทคโนโลยีในปีหน้าออกมา ซึ่งในปีนี้ก็เช่นกัน Gartner ได้ประกาศ  10 เทคโนโลยีเด่นที่จะมีผลต่อปี 2017 ออกมาเมื่อกลางเดือนตุลาคมนี้ โดย Gartner เล็งเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังหล่อหลอมโลกเสมือนดิจิทัลกับโลกที่แท้จริง  (Physical World) เข้าด้วยกันซึ่งกำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการตัดสินใจเชิงธุรกิจ การตลาด และการทำงานในองค์กรต่างๆ ในอนาคตเทคโนโลยีจะถูกฝังเข้าไปในทุกสิ่งของโลกธุรกิจ ทำให้เกิดบริการดิจิทัล (Digital Service) ที่มีระบบอัจฉริยะที่อยู่เบื้องหลัง ระบบโครงข่าย (Mesh) ที่เชื่อมโยง คน อุปกรณ์ เนื้อหา และบริการต่างๆเข้าด้วยกันนี้จะถูกเรียกว่า Intelligent digital mesh ผู้บริหารองค์กรจำเป็นจะศึกษาและทำความเข้าใจกับระบบ Intelligent digital mesh นี้เพื่อปรับองค์กรให้สามารถรองรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

สำหรับในปีนี้ Gartner ได้แบ่ง 10 เทคโนโลยีเด่นออกเป็นสามกลุ่มดังรูปที่ 1

  • Intelligent คือการเข้ามาของวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) กำลังทำให้การพัฒนาโปรแกรมยุคใหม่ก้าวสู่ระบบ Artificial Intelligence (AI) และ Advanced Machine Learning และมีการสร้างอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่ใช้หลักการพัฒนาโปรแกรมแบบให้เรียนรู้และปรับเปลี่ยนตัวเองได้ตลอดแทนรูปแบบเดิมที่พัฒนาโปรแกรมที่มีรูปแบบการทำงานตายตัวตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
  • Digital ที่จะเน้นการผสมผสานระหว่างโลกดิจิทัลกับโลกที่แท้จริงเพื่อจะสร้างสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลที่น่าดึงดูดและใหญ่ขึ้น  ซึ่งหมายถึงการมีบริการดิจิทลที่มากขึ้น การมีระบบ Interface ที่เชื่อมโยงโลกทั้งสองอย่าง VR/AR และการผลักดันให้เกิดธุรกิจดิจทัลในยุคใหม่
  • Mesh หมายถึงการใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงกันระหว่างผู้คน ธุรกิจ อุปกรณ์ เนื้อหา และบริการต่างๆเพื่อจะใด้ให้เกิดผลลัพธ์ในทางธุรกิจดิจิทัล Mesh ต้องการส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (Interface) ใหม่ๆ (เช่น ผ่านระบบการสนทนา (Conversational System) ), ระบบความปลอดภัยแบบใหม่, เทคโนโลยีแพลตฟอร์มใหม่ และแนวทางการออกแบบโซลูชั่นแบบใหม่

screenshot-2016-10-20-11-49-17

รูปที่ 1 Top 10 Strategic Technology Trends for 2017

แนวโน้มเทคโนโลยีที่ 1: Artificial Intelligence and Advanced Machine Learning

AI และ Machine Learning ซึ่งประกอบด้วยเทคโนโลยีและเทคนิคต่างจำนวนมากเช่น Deep learning, neural networks และ Natural-language processing [NLP] ได้เริ่มจะมีการนำเทคนิคที่ก้าวหน้าขึ้นเพื่อมาสร้างระบบที่สามารถจะ เข้าใจ เรียนรู้ พยากรณ์ ปรับเปลี่ยนแก้ไข และมีศักยภาพในการที่จะทำงานได้เองโดยมีการป้อนข้อมูลจากมนุษย์เพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่มีการป้อนข้อมูลเลย AI และ Machine Learning เลยทำให้ Smart Machine มีความเป็น “intelligent”  ซึ่ง AI และ Machine Learning ไม่ใช่แค่ทำให้ Smart Machine เข้าใจหลักการของสภาพแวดล้อมแต่ยังสามารถที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยตัวเองได้

หลักการของ  Machine Learning ทำให้ Smart Machine สามารถที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนในอนาคต ตัวอย่างเช่นการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ขนาดใหญ่ก็อาจทำให้ระบบการวินิจฉัยโรคทางการแพทย์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือการใช้เทคโนโลยีติดตามสายตา (eye-gazing) ในห้างร้านและ Sensor จาก Smartphone ก็อาจสามารถทำให้วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคได้ โดยองค์กรต่างๆจะค้นหานวัตกรรมธุรกิจที่ประยุทธ์ใช้  AI และ Machine Learning ที่สามารถสร้างผลกระทบอย่างมากให้กับองค์กร

แนวโน้มเทคโนโลยีที่ 2: Intelligent Apps

องค์กรต่างๆจะประยุกต์ใช้ AI และ Machine Learning เพื่อสร้าง App ใหม่เช่น virtual personal assistants (VPAs) และปรับปรุง  App เดิมเช่น ระบบการขายและการตลาด ซึ่งจะมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงสร้างการทำงานขององค์กรจากเดิมโดยจะมีการทำงานที่ง่ายขึ้นและพนักงานจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในระยะแรกก็ยังมีความท้าทายจากการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเนื่องจากการนำเทคโนโลยีก่อกำเนิดเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ยังเป็นเรื่องใหม่ แต่ในช่วง 10 ปีข้างนี้ เราจะเริ่มเห็น App และบริการต่างๆมีการนำระบบ AI เข้ามาใช้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ Gartner เชื่อว่าภายในปี 2018, บริษัทใหญ่สุดในโลก  200 บริษัทต่างก็จะมีการนำ Intelligent Apps มาเป็นเครื่องมือในการปรับปรุงคุณภาพการบริการและการหาลูกค้า

แนวโน้มเทคโนโลยีที่ 3: Intelligent Things

Intelligent Things หมายถึงอุปกรณ์และสิ่งของต่างๆจะมีการประยุกต์ใช้ AI และ Machine Learning  ซึ่งก็จะทำให้อุปกรณ์สามารถมีพฤติกรรมที่โต้ตอบกับสภาพแวดล้อมและผู้คนได้ ซึ่ง Intelligent Things จะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่คือ หุ่นยนต์, โดรน และยานพาหนะอิสระ (Autonomous vehicles)   ซึ่งในอนาคต Intelligent Things จะเปลี่ยนรูปแบบจาก Stand-alone  เป็นแบบ Collaboration ที่จะเห็นอุปกรณ์เหล่านี้ทำงานร่วมกัน  แต่อย่างไรก็ตามการใช้งานในปัจจุบันก็ยังมีอุปสรรคจากเรื่องอื่นๆเช่น ความรับผิดชอบทางกฎหมาย, เรื่องสิทธิส่วนบุคคล และการพัฒนา Intelligent Things ที่มีความสามารถเฉพาะงานบางด้านยังเป็นเรื่องยากเลยทำให้การนำระบบนี้มาใช้งานใน อุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆยังไปได้ไม่มากนัก

แนวโน้มเทคโนโลยีที่ 4:Virtual Reality and Augmented Reality

เทคโนโลยี VR และ AR ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ผู้คนโต้ตอบกับผู้อื่นหรือระบบซอฟต์แวร์อื่นๆ เช่น Head-mounted displays (HMDs) ซึ่งเป็นเครื่องแสดงผลหรือเทคโนโลยี  projection  ที่อาจถูกรวมเข้าไปในอุปกรณ์สวมใส่เช่นแว่นตาหรือหมวกกันน็อก ทำให้เราสามารถเห็นภาพเสมือนจาก Digital mesh App และจะทำให้เกิดผู้บริโภคในรูปแบบใหม่ๆและพฤติกรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น  VR สามารถใช้มาช่วยในการเรียนการสอนเพื่อเชื่อมโยงโลกจริงกับโลกเสมือนให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น หรือธุรกิจก็สามารถที่จะสร้างภาพกราฟฟิกลงอุปกรณ์ต่างๆได้เช่นการแสดงสายไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในผนัง

แนวโน้มเทคโนโลยีที่ 5:Digital Twins

Digital Twin คือ replication ของสินค้า ที่อยู่ในรูปข้อมูลเสมือน (Virtual Asset) โดยข้อมูลจาก Sensor ที่ติดอยู่กับผลิตภัณท์ที่ส่งข้อมูลกลับมา เพื่อให้ผู้เชียวชาญด้านต่างๆ เข้าใจสถานะของผลิตภัณท์ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง การปรับปรุงการทำงาน และเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณท์ ซึ่ง Gartner คาดว่าในปี 2020 จะมีอุปกรณ์ 21,000 ล้านชิ้นที่เชื่อมต่อกับ Sensor และจะต้อง มี Digital Twin เพื่อรองรับผลิตภัณท์เหล่านี้  โดยจะถูกนำไปใช้เพื่อการซ่อมแซมผลิตภัณท์การวางแผนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ การพยากรณ์การทำงานของผลิตภัณท์หรือช่วยในการพัฒนาการทำงานผลิตภัณท์ให้ดีขึ้น Digital Twin จะเป็นการผสมผสานส่วนต่างๆคือ Metadata (เช่นส่วนประกอบ โครงสร้างของผลิตภัณท์), Condition or state (เช่น ตำแหน่งหรืออุณหภูมิ), Event data (เช่น ลำดับเวลา) และ Analytics (เช่นอัลกอริทึม) ซึ่งการพัฒนา Digital Twin จำเป็นจะต้องเป็นการทำงานร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญด้านการบำรุงรักษาผลิตภัณท์กับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (data scientists) และนักวิชาชีพไอที

แนวโน้มเทคโนโลยีที่ 6:Blockchains and Distributed Ledgers

Distributed Ledger ซึ่งก็คือ รายการข้อมูลการทำ transaction ต่างๆที่เข้ารหัสและเก็บไว้อย่างถาวรซึ่งแชร์กันระหว่างผู้เกี่ยวข้องในเครือข่าย ข้อมูลแต่ละชุดก็จะเก็บเวลาอ้างอิงและการเชื่อมโยงกับ transaction  ก่อนหน้านี้ Distributed Ledger ทำให้ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลสามารถตรวจสอบ transaction ต่างๆได้ง่ายขึ้น Blockchain เป็นประเภทหนึ่งของ Distributed Ledger ซึ่งเป็น transaction ในการแลกเปลี่ยนสิ่งที่มีมูลค่าเช่น bitcoin แล้วถูกจัดกลุ่มเป็น Block โดยที่แต่ละ Block ถูกโยงกัน (chain) กับ Block ก่อนหน้านี้ ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีการนำ Blockchain มาใช้ในงานทั่วไปมากขึ้น

Blockchain และ Distributed ledger เริ่มเป็นที่น่าสนใจมากขึ้นเพราะเป็นเทคโนโลยีที่ถูกคาดหวังว่าจะช่วยเปลี่ยนแปลงโมเดลอุตสาหกรรมต่างๆอย่างมากมาย ถึงแม้ยังมีกรณีการใช้งานจริงไม่มากนักนอกจากกรณีของ Bitcoin แต่จากการสำรวจของ Gartner ก็พบว่าผู้ตอบแบบสอบสำรวจกว่า 52% เชื่อว่า Blockchain จะมีผลกระทบต่อธุรกิจ ซึ่งนอกเหนือจากธุรกิจด้านการเงินแล้ว Blockchain เองก็อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอื่นๆเช่น การจำหน่ายเนื้อหาดิจิทัลเช่นเพลง การใช้ระบุตัวตน การกระจายสินค้า การออกใบรับรองการศึกษา หรือแม้แต่การใช้ในข้อสัญญาต่างๆ

แนวโน้มเทคโนโลยีที่ 7:Conversational Systems

ระบบติดต่อกับผู้ใช้แบบการสนทนา (Conversational UI) จะทำให้คนและอุปกรณ์โต้ตอบกับด้วยการพูดหรือการเขียนด้วยภาษาทั่วๆไป (ไม่ต้องใช้คำสั่งภาษาคอมพิวเตอร์) โดยเป็นลักษณะการการสนทนาแบบโต้ตอบกันซึ่งอาจเป็นคำสั่งหรือคำถามง่ายๆ(เช่น”Stop!” หรือ “What time is it?”) ขณะเดียวกันการสนทนาก็อาจมีความซับซ้อนได้เช่นการเก็บการสอบปากคำพยานในเหตุการณ์แล้วก็อาจทำให้อุปกรณ์สามารถแสดงผลลัพธ์ยากๆได้เช่นภาพของผู้ต้องสงสัย ระบบ  Conversational UI จะเป็นส่วนติดต่อกับผู้ใช้หลักในหลายๆอุปกรณ์ในอนาคตโดยจะเป็นการติดต่อผ่านโครงข่ายอุปกรณ์ต่างๆเช่น Sensor, เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือระบบ IoT ซึ่งในปัจจุบันก็เริ่มมีรายๆบริษัทได้นำระบบเหล่านี้เข้ามาใช้งานเช่น Apple (Siri), Google (Google Now), Amazon (Alexa) และ Microsoft (Cortana)

แนวโน้มเทคโนโลยีที่ 8:Mesh App and Service Architecture

Intelligent digital mesh จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถาปัตกรรมไอที เทคโนโลยี และเครื่องมือที่จะใช้ในการออกแบบและพัฒนาโซลูชั่นต่างๆ Mesh App และ Service Architecture(MASA) เป็นสถาปัตยกรรมแบบโซลูชั่นหลายช่องทางที่จะสนับสนุนผู้ใช้จำนวนมากที่มีบทบาท (Role) ที่หลากหลายโดยอาจใช้อุปกรณ์ต่างๆมาติดต่อกันผ่านเครือข่ายจำนวนมาก ซึ่งสถาปัตยกรรมนี้จะมีเซอร์วิสต่างๆทั้งที่เป็น Miniservices และ microservice และ  APIs ต่างๆที่หน่วยงานต่างๆพัฒนาขึ้นมา ดังนั้นองค์กรก็จะสามารถพัฒนาบริการดิจิทัลใหม่ๆได้โดยสร้างโซลูชั่นจาก MASA

แนวโน้มเทคโนโลยีที่ 9:Digital Technology Platforms

Digital technology platforms เป็นบล็อกที่รวบรวมความสามารถและองค์ประกอบด้านเทคโนโลยีต่างๆเข้าด้วยกัน เพื่อที่จะกำหนดรูปแบบการทำงานร่วมกันในการที่จะสร้าง Apps  และ Services โดยจะประกอบด้วยแพลตฟอร์ม 5 ส่วนคือ Information system platform, Customer experience platform, Analytics and intelligence platform, IoT platform และ Business ecosystem platform องค์กรต่างๆจะวางแผนและพัฒนาแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อรองรับกับความท้าทายของธุรกิจดิจิทัล

แนวโน้มเทคโนโลยีที่ 10:Adaptive Security Architecture

การเข้ามาของ Intelligent digital mesh, digital technology platforms และ สถาปัตยกรรมแอปพลิเคชั่นจะทำให้ระบบความปลอดภัยไอแทีซับซ้อนยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันภัยคุกคามไซเปอร์หรือ “hacker industry” ก็มีการพัฒนาไปอย่างมากและมีการใช้เครื่องมือที่ซ้บซ้อนและเทคนิคที่เก่งขึ้น โดยเฉพาะความปลอดภัยที่อาจเกิดจากการใช้ระบบ IoT ดังนั้นทีมด้านความปลอดภัยไอทีจำเป็นจะต้องทำงานร่วมกีบทีม Application, Solution และ Enterprise Architect เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยในกระบวนการ DevOps เพื่อสร้างโมเดล DevSecOps

จากแนวโน้มของเทคโนโลยีทั้งสิบจะเห็นว่าหลายเรื่องก้าวหน้าไปกว่าทางประเทศเรามาก ในอดีตเมื่อ Gartner ระบุถึง Top 10 Strategic Technology Trends ในแต่ละปีจะเห็นว่าบางเรื่องเราก็ยังพอเข้าใจและอุตสาหกรรมในบ้านเรายังตามทันแต่หัวข้อต่างๆในปีนี้ก็น่ากังวลว่าเราจะตามทันเทคโนโลยีในอนาคตได้อย่างไร โดยเฉพาะเรื่องของสถาปัตยกรรมไอที ข้อแนะนำที่เราควรจะต้องทำอาจมีดังนี้

  • วางแผนระยะยาวสำหรับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปี 2020-2025 ที่เราจะเห็นระบบที่ติดต่อกับผู้ใช้ทั้งพนักงานหรือลูกค้าเปลี่ยนไปโดยมีการนำระบบต่างๆเช่น conversational systems, AR /VR  เข้ามา
  • ควรศึกษาและหาโอกาสในการนำระบบไอทีใหม่ๆที่มีการใช้ AI และ machine learning เช่นระบบ virtual personal assistants หรือหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในองค์กร
  • พัฒนาระบบนำร่องที่ใช้ AR/VR หรือการพัฒนา Digital Twin สำหรับอุปกรณ์ IoT หรือการใช้ blockchains และ distributed ledgers ในช่วงสามปีข้างหน้า
  • ควรจะต้องวางแผนด้าน MASA และ Digital Technology Platforms รวมถึงการคำนึงถึงระบบความปลอดภัยที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอนาคต

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

14469622_719928498154493_3803789530570232777_n

องค์กรต้องมี Digital Culture ก่อนเราถึงจะเป็น Thailand 4.0 ได้สำเร็จ

nmculture

ผมไม่ได้เขียนอะไรบล็อกนานหลายเดือน ทั้งๆที่ไอซีทีในประเทศมีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงมากมาย เราเพิ่งได้กระทรวงในชื่อใหม่ “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” เรามีการจัดงานหลายงานทั้ง Start-up Thailand หรือ  Digital Thailand  รัฐบาลเองก็เริ่มพยายามเน้นคำว่า Thailand 4.0  เพื่อพยายามจะบอกว่าประเทศเราต้องก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงก็เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัล

รัฐบาลเองก็ได้อนุมติแผนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมที่ได้กล่าวถึงหลายๆยุทธศาสตร์ที่จะมาปรับประเทศไทยสู่ยุคดิจิทัล เตรียมงบลงทุนไว้ถึง 20,000 ล้านบาทเพื่อที่วางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ทั้งการขยาย  Broadband  ให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆในประเทศ การลงทุนด้าน Gateway ออกสู่ต่างประเทศ และมีแผนต่างๆอีกมากมาย

จริงๆแล้วคนไทยจำนวนมากสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้ ในยุค 4G  ที่เรามีการใช้  Smartphone กันอย่างมากมาย คนไทยเล่นไอทีเพื่อความบันเทิงไม่น้อยหน้าชาติอื่นในโลก เรามีจำนวนคนที่อยู่ในโลก Social Media ไม่น้อยกว่าชาติอื่น แต่พอมาถึงคำว่า  Thailand 4.0 ผมว่ามันมีคำมากกว่า “เข้าถึงและใช้เป็น”  ใช่ครับคนไทยเราใช้ไอทีเป็นแต่เราใช้โดยไม่ได้มี  Digital Mindset ในการทำงาน การจะเปลี่ยนแปลงสู่ Thailand 4.0 ไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าเราไม่เปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรโดยเฉพาะภาคราชการ และกลุ่ม SME หรือแม้แต่หน่วยงานเอกชนรายใหญ่ๆ

เรายังไม่ได้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หลายๆอย่างเรายังทำงานเหมือนเดิมแต่เราใช้เทคโนโลยีเป็นเพียงแค่เครื่องมือบางอย่างแต่เรายังมีวัฒนธรรมการทำงานแบบเดิม เรายังเดินทางไปร่วมประชุมกัน น้อยรายที่จะใช้ Confererence Call หรือ NetMeeting ภาคราชการก็จะต้องจัดประชุมโดยเรียกข้าราชการมานั่งรับฟังนโยบายแทนที่จะ  Broadcast ผ่าน Internet  เรายังทำเอกสารโดยใช้ Word, Excel แบบส่งกันไปมาโดยไม่รู้จักการใช้งานแบบ Collaboration เรายังใช้ Thump Drive ในการส่งไฟล์ไปมากแทนทีจะใช้  Share storage เรายังต้องมีเอกสารมากมายในการทำงานในการประชุม ข้อสำคัญบ่อยครั้งเราทำงานโดยขาดข้อมูลที่ควรอยู่บนโลกออนไลน์ที่ควรค้นได้ง่าย

ผมยังมองไม่ออกเลยครับว่าเราจะก้าวสู่  Thailand 4.0 ได้อย่างไรถ้าองค์กรส่วนใหญ่ในประเทศไทยยังไม่มี Digital Culture ซึ่งมันมีคงความหมายมากกว่าการใช้ไอทีเป็น แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงการทำงานขององค์กร ต้องเข้าใจวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปในโลกดิจิท้ล องค์กรที่จะมีวัฒนธรรมดิจิทัลต้องมีองค์ประกอบหลายๆเรื่อง ผมขอลองยกมาให้ดูบางประเด็น แล้วจะตอบได้ว่าประเทศเราพร้อมเข้าสู่  Thailand 4.0 มากน้อยแค่ไหน

  1. Transparency (ความโปร่งใส) โลกดิจิทัลทำให้หลายอย่างสามารถเปิดเผยออกมาได้ ทุกคนจะต้องแชร์ข้อมูล คนทำงานต้องกรอกข้อมูล ต้องทำงานแบบออนไลน์ทันทีทันใด ข้อมูลหลายอย่างจะเชื่อมโยงกัน องค์กรที่จะอยู่ในโลกดิจิทัลต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทั้งนี้ประเทศที่มีปัญหาการคอรัปชั่นที่สูง ย่อมยากต่อการก้าวสู่ Digital Transformation
  2. การแบ่งปัน  (Sharing) วัฒนธรรมดิจิทัลที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการ Sharing  บุคลากรในองค์กรต้องพร้อมที่จะแบ่งปันข้อมูลต่างๆทางออนไลน์ คนจะต้องมีวัฒนธรรมในการแบ่งปันในเรื่องต่างๆ การให้ข้อมูล การแบ่งปันทรัพยากร มันถึงจะลดการใช้เอกสารต่างๆได้
  3. การทำงานร่วมกัน (Collaboration) องค์กรที่มีวัฒนธรรมดิจิทัลต้องมีการทำงานแบบร่วมกัน ในโลกไอทีก็อาจหมายถึง การทำเอกสารร่วมกัน การประชุมออนไลน์ การใช่ข้อมูลร่วมกัน ซึ่งลักษณะแบบนี้องค์กรจะค่อนข้าง Flat ไม่มีขั้นตอนการสั่งงานมากมาย
  4. การใช้ข้อมูลขับเคลื่อน (Data Driven)  องค์กรจะต้องตัดสินใจการทำงานต่างๆโดยใช้ข้อมูล มากกว่าความรู้สึก นั้นก็หมายความว่าวัฒนธรรมองค์กรจะต้องทำให้บุคลากรทุกระดับรู้จักใช้ข้อมูล มีการป้อนข้อมูล เก็บข้อมูล และนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจ
  5. มีความคล่องตัว (Agility) องค์กรต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะในโลกดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

จากที่กล่าวมาเป็นแค่ตัวอย่าง เราลองมาคิดดูว่าประเทศไทยเราพร้อมถึงจุดนั้นหรือยัง เราจะเปลี่ยนแปลงให้ได้ถึงจุดนั้นไหม หรือสุดท้ายคำว่า Thailand 4.0 จะเป็นแค่คำพูดการตลาดที่สวยหรูอีกครั้ง

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

 

 

Hortonworks เทียบกับ Hadoop Distribution อื่นๆ

ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมให้ทีมนักศึกษาฝึกงานของ IMC Institute  ในโครงการ Big Data School  ได้ทดลองติดตั้งและเปรียบเทียบ Hadoop Distribution ต่างๆ ซึ่งผมได้เคยเขียนเรื่อง การติดตั้ง Hadoop Distributions  พร้อมทั้งวิธีการติดตั้งไว้แล้ว ในบทความ “Big Data School กับการติดตั้ง Hadoop Distributions” ซึ่งในการเปรียบเทียบDistribution ต่างๆ ผมให้นักศึกษาทดลองติดตั้งสองแบบคือ

  • การติดตั้ง  Hadoop Cluster 4-5  เครื่องบน Amazon EC2 หรือ Microsoft Azure สำหรับที่จะใช้เป็น Production
  • การใช้ Hadoop Sandbox บนเครื่อง Server หรือเครื่อง PC หนึ่งเครื่อง สำหรับที่จะใช้เป็นเครื่องทดลองหรือทำ Development

ซึ่งนักศึกษาก็ได้แบ่งกลุ่มกันทำ  Hadoop Distribution  4 ชุดคือ

Screenshot 2016-06-28 12.20.25

และผมได้ให้พวกเขาสรุปเปรียบเทียบในประเด็นต่างๆเช่น ราคา, ความยากง่ายในการใช้งาน, ความยากง่ายในการติดตั้ง, Opensource Compatibity, คู่มือเอกสารต่างๆและชุมชน, การสนับสนุนจากผู้ผลิต  ซึ่งพอสรุปประเด็นต่างๆได้ดังนี้

  • ราคา: ในแง่ราคา Apache Hadoop เป็นฟรีซอฟต์แวร์แต่ก็ไม่มี support ใดๆ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกรณีนี้ Hortonworks จะดีสุดเพราะฟรีเช่นกันยกเว้นต้องการซื้อ  support ขณะที่ Cloudera จะหรีเฉพาะ  Express Version และ MapR จะฟรีเฉพาะเวอร์ชั่น M3  ซึ่งทั้งสองเวอร์ชั่นไม่ใช่ Full Feature ที่ทั้งสองรายมีให้
  • ความง่ายในการติดตั้ง Cluster: เมื่อพิจารณาจากประเด็นนี้  Cloudera จะติดตั้งง่ายสุดโดยผ่าน Cloudera Manager แต่จริงๆแล้วการติดตั้ง Hortonworks ก็ไม่ยากเกินไปถ้าติดตั้งผ่าน Public Cloud หรือ  Private Cloud ที่เป็น Openstack  โดยใช้ Cloudbreak ส่วน Apache Hadoop ติดตั้งค่อนข้างยากแต่อาจใช้ Ambari ได้
  • ความง่ายในการใช้งาน: Cloudera และ MapR  จะมีส่วนติดต่อผู้ใช้ที่เป็น Hue ที่ค่อนข้างง่ายต่อการใช้งาน ส่วนของ Hortonworks ใช้ Ambari ที่มี Feature เพียงบางส่วน ส่วนของ Apache Hadoop จะต้องติดตั้ง Hue เองซึ่งค่อนข้างยาก
  • Opensource Compatibility: กรณีนี้ Hortonworks จะดีกว่ารายอื่นมากเพราะจะสอดคล้องกับ Apache Hadoop ที่เป็น Opensource ขณะที่ Cloudera จะเป็น Vendor Lockin หลายตัว อาทิเช่น Cloudera Manager หรือ Impala เช่นเดียวกับ MapR ที่ Lockin ตั้งแต่ MapR-FS และ MapR Streaming
  • Sandbox: ถ้าต้องการหาตัวทดลองเล่น Cloudera มีจุดเด่นที่มี Docker Image ให้เลยสามารถเล่นกับเครื่องใดก็ได้ ขณะที่ Hortonworks จะเน้นให้เล่นกับ VMware/VirtualBox หรือจะรันผ่าน Microsoft Azure เท่านั้น ส่วน distributation อื่นๆ (MapR, Apache Hadoop) ก็ไม่มี Official Docker Image  เช่นกัน
  • คู่มือเอกสารต่างๆและ Community:  ในแง่นี้ทั้งสามรายที่เป็น  Commercial Distribution ต่างก็มีเอกสารพอๆกัน แต่ถ้าพูดถึง Community เราอาจเห็นจำนวนคนที่จะแชร์ข้อมูล Cloudera มากกว่า Hortonworks แต่ทั้งนี้เราสามารถใช้ Community กลุ่มเดียวกับ Pure Apache Hadoop เพราะ Hortonworks จะมีความ Opensource Compatibity ค่อนข้างสูงแต่สองรายใหญ่ต่างก็มีงานประจำปีหลายที่คือ Hadoop Summit ของ Hortonworks และ Hadoop World ของ  Cloudera ส่วน MapR จำนวน  Community น้อยสุด
  •  การสนับสนุนจากผู้ผลิต: ถ้ามองในแง่ประเทศไทย การสนับสนุนจากผู้ผลิตของ Cloudera ยังนำรายอื่นๆอยู่มาก ทำให้หน่วยงานในประเทศไทยรายแห่งสนใจใช้ Cloudera

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว เราสรุปกันว่า ถ้าจะทำ Product ที่มีราคาถูกสุดและสอดคล้องกับ Pure Apache Hadoop มากที่สุดควรเลือกใช้ Hortonworks ทั้งนี้เพราะ  Commercial Distribution จะมีค่าใช้จ่ายในแง่ License หรือ Subscribtion แต่ถ้ามีงบประมาณค่อนข้างเยอะก็อาจเลือกใช้ได้ แต่ไม่ควรใช้ Free Version ของสองรายดังกล่าว (Cloudera และ  MapR) ทั้งนี้เนื่องจากไม่ใช่ Full Features และบางอย่างขาดความเสถียร

แต่ถ้าต้องการทดลองหรือใช้เพื่อทำ Development โดยผ่าน Hadoop Sandbox ก็จะแนะนำให้ใช้  Cloudera Quickstart ซึ่งผมเองก็ใช้ตัวนี้ในการอบรม ดังตัวอย่างเอกสารอบรมของผมดังนี้ >> Big data processing using Cloudera Quickstart

สุดท้ายผมมี  Slide ทีนักฝึกงานของ IMC Institute ได้ทำขึ้นเพื่อเปรียบเทียบ Hadoop Distribution ต่างๆดังนี้

 

ธนชาติ นุ่มมนท์

IMC Institute

มิถุนายน 2559

Slide สำหรับการเรียนรู้ Big Data Hadoop ของ IMC Institute

 

IMC Institute จัดอบรม Big Data Hadoop มาหลายรุ่นและมีคนผ่านอบรมมาจำนวนมาก และเคยทำเอกสารประกอบการบรรยายหลายชุด วันนี้ผมเลยรวบรวม Slide  ต่างๆมาเพื่อให้ทุกท่านได้เรียนรู้ Apache Hadoop + Spark ที่มี Service ต่างๆมากมาย โดยได้เป็นแบบฝึกหัดที่ผู้อ่านสารมารถนำไปฝึกและทดลองใช้งานได้จริง ทั้งนี้ Slide  ต่างๆเหล่านี้จะอ้างอิงกับ Cloudera Quickstart ที่ใช้ Docker Image  ดังนั้นผู้ที่สนใจจะเรียนรู้จาก Slide ชุดนี้จะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์หรือ Server ที่มี Docker Engine  อยู่ โดยสามารถไปดูขั้นตอนการติดตั้งได้ที่ >> https://docs.docker.com/engine/installation/

Screenshot 2016-06-23 16.23.06

รูปที่ 1  Hadoop Ecosystem

สำหรับ Service ต่างๆที่เคยทำเอกสารการสอนมาก็เป็นไปดังรูปที่ 1  โดยมีเอกสารดังนี้

Service  ด้านเก็บข้อมูล

Service ด้านการประมวลผล

Service ด้านการนำข้อมูลเข้า

Apache Spark

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

มิถุนายน 2559

วิกฤติบุคลากรไอซีทีไทย สุดท้าย Digital Economy คงไปไม่ถึงไหน

 

ผมเคยเขียนลงบล็อกบ่อยๆเรื่องปัญหาของบุคลากรด้านไอทีไทยว่าเราขาดกำลังคนที่มีคุณภาพ และมองดูแล้วว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ถึงแม้ว่าภายใต้แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ทางคณะรัฐมนตรีจะได้อนุมัติไปเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2559 จะมียุทธศาสตร์ที่ 5 ว่าด้วยการ พัฒนากำลังคนให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล  แต่ก็ยังไม่เห็นรูปธรรมชัดเจนว่าจะมีแนวทางในกำลังดำเนินการอย่างไรใน แผน 20 ปี

ปัญหาด้านบุคลากรไอทีที่เป็นวิกฤติของอุตสาหกรรมอย่างยิ่งในเวลานี้พอสรุปได้ดังนี้

  • บริษัทด้านไอทีต่างๆไม่สามารถหาบุคลากรที่มีความสามารถเข้าทำงานได้
  • จำนวนบุคลากรไอทีที่มีคุณภาพมีจำกัด หน่วยงานต่างๆต้องแย่งตัวกัน ทำให้เงินเดือนของบุคลากรบางกลุ่มอยู่ค่อนข้างสูง
  • เด็กรุ่นใหม่ที่สามารถทำงานด้านนี้ได้มีจำนวนจำกัด มักจะมีทัศนคติที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนงานบ่อยและขาดความอดทน
  • ค่านิยมของคนรุ่นใหม่นิยมที่จะประกอบอาชีพอิสระ และบางส่วนฝันที่จะเป็น Startup
  • บริษัทด้านไอทีขนาดใหญ่มีจำนวนน้อยมาก เพราะเป็นเรื่องยากที่จะหาบุคลากรจำนวนมากมาทำงานในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ดังนั้นความเป็นไปได้ในการขยายหรือสร้างบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพนักงานด้านไอทีจำนวนเป็นพันคนในประเทศ ย่อมเป็นไปได้ยากมาก จนแทบเป็นไปไม่ได้
  • นักศึกษารุ่นใหม่ไม่นิยมเรียนด้าน Computer Science หรือ Computer Engineer เพราะเป็นสาขาที่ยาก
  • บัณฑิตด้านไอทีจำนวนมากไม่สามารถหางานตรงกับสาขาที่เรียนมาได้ เนื่องจากจบมาไม่ตรงกับความต้องการ
  • มหาวิทยาลัยจำนวนมากเปิดสอนสาขาไอที แต่ขาดคุณภาพเน้นที่ปริมาณ

เพื่อให้เห็นภาพว่า เรามีการผลิตบัณฑิตมากน้อยเพียงใด ผมขอเริ่มต้นด้วยการนำข้อมูลของคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.)  ที่แสดงจำนวนบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาในแต่ละสาขาดังรูปที่ 1 ซึ่งอาจแบ่งตามประเภทของกลุ่มสถาบันได้ดังรูปที่ 2 นอกจากนี้ก็ยังมีข้อมูลของจำนวนนักศึกษาในสาขาต่างๆที่รับเข้ามาใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2553-2557 ดังรูปที่  3

Screenshot 2016-06-17 17.39.28

รูปที่ 1 ข้อมูลการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรีสาขา ICT ปีการศึกษา  2553-2556 [ข้อมูล สกอ.]

Screenshot 2016-06-17 17.39.02

รูปที่ 2ข้อมูลการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรีสาขา ICT แยกตามกลุ่มสถาบันการศึกษา[ข้อมูล สกอ.]

Screenshot 2016-06-17 17.42.18

รูปที่ 3 ข้อมูลการรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขา ICT ปีการศึกษา  2553-2557 [ข้อมูล สกอ.]

จากข้อมูลที่นำเสนอจะเห็นว่าบัณฑิตด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศส่วนใหญ่จะมาจากสาขา คอมพิวเตอร์ธุรกิจ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ขณะที่บัณฑิตด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่สามารถจะพัฒนาซอฟต์แวร์และเข้าสู่อุตสาหกรรมไอทีได้มีจำนวนน้อยกว่ามาก และที่น่าสนใจคือกลุ่มที่ผลิตบัณฑิตสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจจะมาจากมหาวิทยาลัยราชภัฎและมหาวิทยาลัยเอกชน ส่วนบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่จำนวนมากหากพิจารณาดูจากเนื้อหาหลักสูตรแล้วคงมีเพียงมหาวิทยาลัยชั้นนำเพียงไม่กี่แห่งที่มีหลักสูตรที่สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์หรือทำงานในอุตสาหกรรมได้

สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราสังเกตุจากข้อมูลในรูปที่  3 คิอจำนวนนักศึกษาเข้าใหม่ในสาขาไอซีทีมีน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะการเกิดของประชากรน้อยลง แต่ขณะเดียวกันค่านิยมของเด็กรุ่นใหม่ก็สนใจงานทางนี้น้อยลงเพราะรู้ว่าเป็นเรื่องยากและได้รายได้ไม่สูงมากในระยะแรก ข้อสำคัญเด็กไทยจะอ่อนด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการเรียนด้านไอซีที

นอกจากนี้หากพิจารณาดูข้อมูลด้านบุคลากรจาก TDRI  จะทราบว่าประเทศไทยมีพนักงานด้านพัฒนาซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ไม่เกิน  40,000  คน ดังรูปที่ 4 ซึ่งถ้าดูจำนวนบัณฑิตที่จบมาในสาขานี้จะไม่แปลกใจที่พบว่า จำนวนมากไม่เข้าสู่อุตสาหกรรม ทั้งนี้ก็เพราะว่าแต่ละปีมีเพียงแค่ไม่กี่พันคนที่จะทำงานได้

Screenshot 2016-06-17 18.38.00

รูปที่ 4 จำนวนบุคลากรในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์[ข้อมูล TDRI]

และหากเจาะลึกเข้าไปในกลุ่มที่สำเร็จการศึกษาเราก็จะพบว่ามีเพียงจำนวนน้อยมากที่มีความสามารถที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งผมเคยเขียนไว้ว่าเราสามารถ

  • กลุ่ม  Top คือสถาบันที่มีสาขาวิชาที่มีนักศึกษาพร้อมที่จะเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์กลุ่มนี้มีไม่เกิน 10 แห่ง กลุ่มนี้นักศึกษาส่วนมากเก่งจำนวนรวมกันอาจประมาณไม่เกิน  1.000 คน แต่พบว่าจำนวนมากเมื่อจบออกมาก็ไม่ได้ทำงานด้านไอที และหลายๆคนไปศึกษาต่อสาขาอื่น
  • กลุ่มระดับกลางอาจมีประมาณ 20  แห่ง ซึ่งจะได้นักศึกษาที่มีคุณภาพพอใช้ได้ในห้องประมาณ  20-30%ซึ่งจำนวนคนเหล่านี้มีประมาณรวมกันซัก  1,000 คน แต่ที่เหลือก็ไม่เก่งพอและขาดพื้นฐานที่ดี
  • กลุ่มสุดท้ายซึ่งเป็นสถาบันส่วนใหญ่ที่เปิดสอน จะมีนักศึกษาที่มีคุณภาพน้อยมาก บางทีทั้งห้องหานักศึกษาที่พอจะทำงานและเรียนทางด้านไอทีไม่เกิน 3-5  คนในชั้นเรียน

จากจำนวนที่กล่าวมาจะเห็นว่ารวมๆต่อปีเรามีบัณฑิตที่พร้อมจะเข้าสู่วิชาชีพประมาณ 2  พันคนแต่เราเล่นผลิตบัณฑิตด้านนี้ออกมาเป็นหมื่น ดังนั้นจึงไม่แปลกใจหรอกครับว่าทำไม บัณฑิตจำนวนมากไม่มีคุณภาพ ไม่เก่ง และบางทีเราก็ได้ยินบ่อยๆว่าจบไอทีเขียนโปรแกรมไม่เป็น บางครั้งก็เป็นแค่  Superuser ทั้งนี้บัณฑิตในในกลุ่ม Top บางคนอาจไม่ได้พร้อมทำงานทันทีแต่พอเขามีพื้นฐานที่ดี แต่พวกเขาก็พร้อมจะปรับตัวเรียนรู้สิ่งใหม่ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงของเด็กเก่งคือแนวคิดที่เปลี่ยนไป การเปลี่ยนงานง่าย ความซื่อสัตย์และจริยธรรมที่น้อยลง ส่วนหนึ่งก็เพราะสังคมที่เปลี่ยนไปและเขาเห็นแบบอย่างที่ไม่ดี ที่สำคัญกระแส Startup คงจะทำให้เขาอยากออกไปทำอะไรเอง สุดท้ายคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็อาจล้มเหลวและกลับเข้าสู่อุตสาหกรรมไม่ได้เพราะไม่ได้เข้าใจการทำงานจริงมาก่อนที่จะออกไปทำงานอิสระและเข้าสู่อุตสาหกรรมช้าไป

จากที่กล่าวมาทังหมดนี้ วิกฤติของอุตสาหกรรมอยู่ที่เราไม่อยู่กับความจริง ไม่อยู่กับข้อมูลและตัวเลข เราไปสร้างภาพและการตลาดว่าเราจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ได้ เราคิดว่าเรามีบุคลากรที่เก่ง ซึ่งจริงๆมีน้อยมาก เราพยายามจะบอกว่าเด็กเราจบใหม่เก่งไปเป็น  Startup  ได้ ทั้งๆที่มันจะเป็นไปได้ยังไงละครับในเมื่อเด็กเราอ่อนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ บัณฑิตเราเขียนโปรแกรมไม่เป็น มีบัณฑิตที่มีคุณภาพจำนวนไม่เกิน  2 พันคนต่อปี ถ้าจะมาทำธุรกิจเองก็คงรอดเพียงไม่กี่รายและยากที่จะ Scale เปิดบริษัทขนาดใหญ่ได้เพราะไม่มีทางที่จะหาคนได้ ทางแก้ก็คือยอมรับความจริงและวางแผนสร้างคนในอนาคต

  • เราต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านนี้ตามแนวทางทีถูกต้อง ถ้าต้องการคนไอทีจำนวนมากๆในระยะนี้เราอาจต้องไปทำในต่างประเทศหรือต้องออกกฎหมายให้เอื้อต่อคนไอทีต่างชาติ มาทำงานในไทยได้ง่ายขึ้น
  • เรามีกลุ่มเด็กเก่งๆจำนวนหนึ่งที่กำลังจะสร้างธุรกิจตัวเอง พัฒนาโปรแกรม เราต้องส่งเสริมคนเหล่านี้ให้เขาไปสู้บนเวทีโลก แต่เมื่อเขาต้องการขยายบริษัทต้องการโปรแกรมเมอร์จำนวนมากๆเราอาจต้องให้เขาเอาต่างชาติมาช่วยงาน และหา Mentor จากต่างชาติ จนกว่าเราจะพร้อม
  • ต้องหยุดกระแสเพ้อฝันว่าเรามีคน เด็กเราเก่งจะส่งเสริม Startup จำนวนเป็นพันเป็นหมื่นต่อปี ทั้งๆที่เด็กเราจบมาทำงานได้ยังมีเพียงแค่หลักพันต้นๆ และพร้อมที่ทำงานและเก่งจริงๆเผลอๆแค่หลักร้อยต้นๆ
  • เราต้องลดการรับนักศึกษาเข้าเรียน ปีหนึ่งรวมกันไม่ควรเกิน  4-5 พันคน และต้องปิดหลักสูตรทางด้านนี้ในหลายๆสถาบันครับ เพื่อลดปัญหาการมีบัณฑิตจบออกมามากอย่างขาดคุณภาพ บางสาขาเช่นคอมพิวเตอร์ธุรกิจควรจะปิดไปได้แล้ว
  • เราต้องปฎิรูประบบการศึกษากันใหม่ พัฒนาหลักสูตรใหม่ๆ อาจต้อง ฝึกอบรมอาจารย์กันใหม่ และต้องส่งเสริมให้ทำ R&D รวมถึงการเรียนการสอนทำหรับเทคโนโลยีใน 10-15 ปีข้างหน้า
  • หากเราต้องการสร้างบุคลากรทางด้านนี้ต้องวางแผนในระยะยาว ส่งเสริมการเรียนคณิตศาสตร์  วิทยาศาสคร์ ตั้งแต่เด็กๆครับ ต้องใช้เวลา  15  ปีเป็นอย่างน้อยในการสร้างคนรุ่นใหม่ออกมา

 

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute