ทุกๆปลายปี สำนักวิจัย Gartner  จะประกาศให้เห็นถึง Top 10  แนวโน้มของเทคโนโลยีในปีต่อไป แต่ปีนี้ Gartner ประกาศออกมาค่อนข้างเร็วตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้ และก็ได้ระบุถึงเทคโนโลยีไอทีต่างๆ 10  ด้าน ตามที่แสดงในรูปที  ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับปีที่แล้วหรือ 2-3  ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าในปีนี้ไม่ค่อยมีคำว่า Cloud Computing, Mobile Technology, Social Networks  หรือ Big Data  ทั้งนี้ก็เพราะว่า Mega Trends  เหล่านี้ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในระบบไอทีที่เราใช้อยู่ทุกวัน และแทบทุก Strategic IT Trends ที่ Gartner พูดถึงก็จะเกี่ยวข้องกับ Mega Trends  เหล่านี้ สำหรับ IT Trends ในปีนี้มีเรื่องต่างๆที่น่าสนใจดังนี้

10649099_396528190494527_5178840512740960137_o

1) Computing Everywhere: การใช้งานอุปกรณ์ smartphone  ที่แพร่หลาย ทำให้เกิดผู้ใช้้ที่เป็น mobile มากขึ้น และต้องสามารถเข้าถึงการใช้งานได้ทุกที่ ระบบการใช้งานก็จะต้องคำนึงสภาพแวดล้อมที่จะมีอุปกรณ์หลากหลายต่อมาจากทุกๆที่มากกว่่าที่จะพัฒนามุ่งมาให้อุปกรณ์เดี่ยวใช้งาน และยิ่งมีกระแสของอุปกรณ์อย่าง  waerable technology ก็จะยิ่งทำให้การประมวลผลผ่านอินเตอร์เน็ตมีการใช้งานอย่างกว้างขวางขึ้นที่ผู้คนจะเข้าถึงจากทุกๆที่ และต่อไปการออกแบบที่เน้นประสบการณ์ของผู้ใช้ (User Experience Design) จะมีความสำคัญยิ่งขึ้น

2) The Internet of Thing (IoT): Gartner ให้ความสำคัญกับ IoT อย่างต่อเนื่องมาสามปีแล้ว ซึ่งการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุปกรณ์จะทำให้เกิดข้อมูลที่มากขึ้นและก็จะมีบริการต่างๆเพิ่มมากขึ้นตาม เราจะเห็นการนำอุปกรณ์มาใช้งานในเชิงธุรกิจมากขึ้น อาทิเช่น การนำโมเดลการจ่ายเงินตามการใช้งาน (Pay-per-use )มาใข้กับการบริการอย่างระบบประกันภัยที่อาจชำระเฉพาะเมื่อมีการขับรถโดยเราใช้อุปกรณ์ IoT ตรวจจับ  หรือที่จอดรถที่อาจมีอุปกรณ์ IoT ติดอยู่

3)  3D Printing: ตลาดการพิมพ์สามมิติในปี 2015 จะโตขึ้นถึง 98% และคาดการณ์ว่าจำนวนเครื่องพิมพ์สามมิติจะถูกจำหน่ายเพิ่มเป็นสองเท่าและจะมีจำนวนเป็นสามเท่าในอีกสามปีข้างหน้า โดยเครื่องก็จะมีราคาถูกลงและถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆมากขึ้น ซึ่งการนำ 3D Printer มาใช้ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการออกแบบหรือการพัฒนาอุปกรณ์ต้นแบบ

4) Advanced, Pervasive and Invisible Analytics: Analytics จะกลายเป็นเรื่องสำคัญเพราะเราจะมีข้อมูลทั้งที่เป็น  structure และ unstructure มากขึ้น Application ต่างๆก็ต้องมีระบบที่มีความสามารถด้าน Analytics อยู่ใน และองค์กรก็ต้องเตรียมรองรับกับข้อมูลมหาศาลที่จะมาจาก IoT, Social Media และ อุปกรณ์ Wearable ซึ่ง Analytics จะมีความสำคัญในการจะหาคำตอบต่างๆมากกว่าเพียงแค่ Big Data

5) Context-Rich Systems: Gartner ได้กล่าวถึง Ubiquitous embedded intelligence ซึ่งจะเป็นการพัฒนาระบบต่างๆที่จะช่วยเตือนและคาดการณ์เรื่องต่างๆที่อยู้รอบตัวได้ล่วงหน้า อาทิเช่นระบบอย่าง  Context-Aware Security

6) Smart Machines: เมื่อปีที่แล้ว  Gartner ก็กล่าวถึง smart machine ที่เป็นระบบที่สามารถเรียนรู้เองได้ (เช่น IBM Watson) ซึ่งจะมีระบบ  Analytics ที่ชาญฉลาด โดยยุคของ smart machine ที่จะมาถึงนี้ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ไอที ซึ่งในปัจจุบันก็เริ่มมีการพัฒนาต้นแบบของ รถยนต์แบบautonomous, หุ่นยนต์ที่ก้าวหน้าขึ้น หรือผู้ช่วยอัจฉริยะเสมือนจริง (virtual personal assistant)

7) Cloud/Client Architecture:  เทคโนโลยี Mobile และ Cloud กำลังเข้ามารวมกัน โดยฝั่ง Client จะเป็น Rich Application ที่ทำงานบนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตเช่นอุปกรณ์พีซี smartphone หรือ Tablet ส่วนฝั่งของ Server ก็จะเป็น Applications หลากหลายที่ทำงานอบู่บนระบบ Cloud Computing ที่ยืดหยุ่น (Elastic) และพร้อมที่จะรองรับผู้ใช้จำนวนมากได้ (Scability) นอกจากนี้ความต้องการการใช้งานฝั่ง Client ผ่านอุปกรณ์โมบายจะยิ่งทำให้ระบบ Server และ Storage มีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ผู้พัฒนา Application ก็ต้องต้องเตรียมรองรับกับผู้ใช้จำนวนมากจากอุปกรณ์ที่มีหน้าจอที่หลากหลาย และจะต้องสามารถ sync ข้อมูลของ App ในทุกๆอุปกรณ์ได้

8) Software Defined Infrastructure and Applications: ต่อไปเราจะเห็นการโปรแกรมที่ยืดหยุ่น (Agile Programming)  สำหรับทุกๆอย่างตั้งแต่การพัฒนา Application ไป จนถึงการทำ Infrastructure ที่จะมีเรื่องของ Software-defined networking, storage, data centers และ security โดยจะมีการใช้ Application Programming Interface (APIs) ที่จะเข้าถึงข้อมูลและระบบเหล่านี้ผ่านบริการที่อยู่บน Cloud

9) Web-Scale IT: การให้บริการไอทีกำลังเปลี่ยนไปเพราะมีผู้ใช้จำนวนมหาศาล ระบบอย่าง Facebook, Amazon และ Google ทำให้ Enterprise Data Center ต่างๆต้องออกแบบระบบที่จะรองรับผู้ใช้จำนวนมากที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ ซึ่งจะเป็นเรื่องยากที่องค์กรส่วนใหญ่จะทำระบบแบบนั้นได้ ดังนั้นในอนาคตเราอาจจะเห็นองค์กรต่างๆมาใช้ระบบ Cloud มากขึ้น และขั้นตอนแรกขององค์กรต่างๆที่จะเข้าสู่่  Web-Scale IT คือการใช้ DevOps  ซึ่งเป็นการรวมกันของ Development กับ  Operation

10) Risk-Based Security and Self-Protection: สุดท้าย Gartner ก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของระบบความปลอดภัยและเชื่อว่าไม่มีองค์กรใดป้องกันได้  100%  ดังนั้นการประเมินความเสี่ยงและการใช้กระบวนการและเครื่องมือในการลดความเสี่ยงจะเป็นเรื่องที่สำคัญ ในมุมทางเทคนิคการออกแบบ Application ที่มีการป้องกันความปลอดภัยอยู่ในตัวจะมีความสำคัญยิ่งขึ้น

ธนชาติ นุ่มนนท์

IMC Institute

Screenshot 2014-10-11 12.05.57

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s